เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา - ตอนที่ 14 หญิงชาวนาสูงวัยเมืองฝานฮัว
เมืองฝานฮัวมีชื่อว่าเมือง แต่ไม่ควรนับว่าเป็นเมือง มีเพียงหมู่บ้านเล็กๆ ที่พื้นที่ไม่กี่ร้อยลี้ เพราะเมืองฝานลั่วไม่มีอำเภอในสังกัด ดังนั้นหมู่บ้านโดดเดี่ยวรอบๆ จึงถูกเรียกว่าเมืองไปด้วยความเคยชิน ส่วนชื่อฝานฮัวนั้น ต้องย้อนกลับไปหลายสิบปีก่อน ตอนแรกสุดที่มีชาวนามาตั้งรกรากที่นี่ ทั่วหมู่บ้านมีแต่ต้นท้อ ฤดูใบไม้ผลิเดือนสาม ต้นท้อผลิดอกบานไปไกลสิบลี้ได้ มองไกลๆ ทั้งหมู่บ้านมีแต่ดอกไม้บานสะพรั่งงดงามอย่างที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงได้ชื่อว่าเมืองฝานฮัวที่แปลว่าดอกไม้ผลิบานมากมาย
เมืองฝานฮัวตอนนี้มีชาวนาแซ่ต่างกันอาศัยอยู่ราวยี่สิบแปดครัวเรือน แม้ว่าไม่มาก แต่เทียบกับเมืองชิงเถียนและเมืองลั่วสุ่ยที่มีแค่สิบกว่าครัวเรือนแล้ว เมืองฝานฮัวนับว่าคึกคักแล้ว
“คิดไม่ถึง ทัศนียภาพที่นี่จะดีเช่นนี้!” ซูสุ่ยเลี่ยนชื่นชมต้นท้อเรียงรายแน่นสองข้างถนนกว้างราวสองเมตร ยังมีต้นหลิวทิ้งกิ่งก้านลงมาริมรอบสระน้ำใหญ่ใจกลางเมืองก็อดชื่นชมไม่ได้
“แม่นางไม่ใช่คนที่นี่กระมัง” ชายชาวนาสูงวัยผู้หนึ่งแบกจอบเสียมเตรียมไปทำนา เดินผ่านมาทางริมสระน้ำ ได้ยินซูสุ่ยเลี่ยนส่งเสียงชื่นชมก็อดส่งยิ้มบางกล่าวทักขึ้นไม่ได้
“ใช่แล้ว ท่านลุงไปทำนาหรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มทักทายเขา
“ใช่แล้ว อาศัยตอนเช้าที่ยังอากาศยังเย็นอยู่ รีบลงท้องนาก่อน ไม่อย่างนั้นพอพระอาทิตย์ขึ้นแล้วก็จะร้อนมาก” ชายชาวนาสูงวัยยิ้มพยักหน้าให้ซูสุ่ยเลี่ยนและหลินซือเย่า ก่อนจะหันหลังจะเดินไปทางท้องนาทางตะวันตกของหมู่บ้าน
“ใช่แล้ว ท่านลุง ท่านรู้ไหมว่าในหมู่บ้านนี้มีบ้านจะขายไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนนึกถึงจุดประสงค์ที่มาที่นี่ได้ ก็ยิ้มถามชายชาวนาสูงวัย หากใช้รูปแบบการถามของหลินซือเย่า นางรับประกันได้ว่านางและเขากับหมาป่าสองตัวคงไม่ได้ตั้งรกรากที่นี่แน่ เอาเถอะ นางจัดการเองแล้วกัน
“แม่นางอยากซื้อบ้าน?” ชายชาวนาสูงวัยตกใจมองเขาและนาง ผู้ชายท่าทางเซ่อซ่าราวท่อนไม้ แต่เทียบกลับชายหนุ่มในเมืองฝานฮัวก็รูปหล่อกว่าอย่างไม่ต้องพูดถึง ผู้หญิงยิ่งสวยราวดอกไม้แรกแย้ม ท่าทางเขาสองคนไม่เหมือนกับชาวเมืองฝานฮัวที่กิริยาโหวกเหวกพวกนั้น
“กล่าวตามตรง พวกเราคิดเช่นนี้จริง” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มแย้มตอบ
“อืม พูดยาก” ชายชาวนาสูงวัยคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้า แม้ว่าได้ยินภรรยาที่บ้านเคยเอ่ยถึงว่ามีบ้านตาแก่ฮัวทางตะวันออกเหมือนอยากจะย้ายบ้านไปในเมือง แต่ตอนนี้ยังอยู่ จะย้ายไหมก็บอกยาก จะว่าไปตระกูลฮัวอยู่ในเมืองฝานฮัวก็ขึ้นชื่อว่าช่างคิดเล็กคิดน้อย หากตนเองนำเขาสองคนไป ดีไม่ดีอาจถูกนังเฒ่าฮัวไล่ตะเพิดออกมาแทน
“ท่านลุง พวกเราอยากหาบ้านตั้งรกรากที่นี่จริงๆ หากท่านลุงได้ยินว่าบ้านไหนจะขาย ช่วยบอกหน่อยได้ไหม ชี้ทางให้พวกเราไปสอบถามดู พวกเราไปถามเองก็ได้ ดีไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินวาจาชายชาวนาสูงวัยก็เหมือนรู้ว่ามีบ้านจะขาย จึงรีบสอบถามทันที
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากบอก แต่บ้านนั่น…เอ่อ หรือเอาอย่างนั้น เจ้าสองคนไปนั่งที่บ้านข้าก่อน ข้าให้นางเฒ่าข้าที่บ้านไปลองถามบ้านนั้นก่อน แม่นางว่าอย่างไร” ชายชาวนาสูงวัยเห็นสองคนอยากจะตั้งรกรากในเมืองฝานฮัวมากจริงๆ จึงคิดช่วยเหลือ คิดดูว่าจะลองให้ภรรยาที่บ้านลองไปสอบถามตระกูลฮัวดูก่อน หากว่าใช่ค่อยให้พวกเขาไปคุยเอง
“ดี แน่นอนว่าดี เพียงแต่รบกวนท่านลุงแล้ว” ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็เห็นด้วยทันที คำนับชายชราอย่างรู้สึกรบกวน ดึงหลินซือเย่าให้ตามไปบ้านชายชาวนาสูงวัย
บ้านชายชาวนาสูงวัยหลังไม่ใหญ่นัก ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเมืองฝานฮัว กำแพงดินรอบๆ สูงแค่ราวตัวคน เขย่งเท้าก็มองเข้าไปด้านในได้ มีสามห้องหลัก ทางซ้ายขวาอย่างละห้องเดาว่าเป็นห้องครัวและห้องเก็บของอะไรพวกนั้น ลานบ้านมุมหนึ่งก็มีเล้าเป็ดเล้าไก่ อีกมุมหนึ่งมีต้นพลับสูงใหญ่ต้นหนึ่ง หลังบ้านยังล้อมรั้วไว้ปลูกผักสีเขียวขจีทั้งลาน มองแล้วทำให้รู้สึกเบิกบานใจ
“ท่านลุง บ้านท่านสะอาดจริง” พอตามชายชาวนาสูงวัยเข้าไปในบ้าน ซูสุ่ยเลี่ยนมองไปรอบๆ ลานบ้านที่ไม่ได้รกรุงรังหากเก็บกวาดเรียบร้อยก็ยิ้มกล่าวกับชายชาวนาสูงวัย
“ฮาๆ หากนางเฒ่าข้ามาได้ยินเข้าคงต้องดีใจแน่ พวกนี้นางเป็นคนทำ” ชายชาวนาสูงวัยยิ้มไปเกาหัวแกรกๆ ไป
“พูดอะไรอยู่ เหลวไหล ไม่ใช่ว่าไปลงนาหรือ ทำไมกลับมาเร็วจริง” น้ำเสียงดังทักขึ้น จากนั้นม่านในห้องทางซ้ายก็เลิกขึ้น มีสตรีวัยราวห้าสิบต้นๆ เดินออกมา ก็เห็นด้านหลังสามีนางมีชายหญิงคู่หนึ่งท่าทางไม่เลวตามมาด้วย ผู้หญิงดูแล้วเหมือนอายุน้อยกว่าลูกตนเอง
“โอ๊ะโอ นี่สาวน้อยบ้านไหนเนี่ย งามกว่าเทพธิดาอีก จุ๊ๆ!” สตรีชาวนาเดาะปากพลางดึงซูสุ่ยเลี่ยนเข้ามามองไปมาครู่หนึ่งก็แย้มยิ้มกล่าวชมไม่หยุด
ซูสุ่ยเลี่ยนถูกนางชมจนรู้สึกเขิน สองแก้มเริ่มแดงระเรื่อขึ้นมา
“พอแล้ว เร็ว ไปยกน้ำมาให้แขกสองท่านนี้ดื่ม ไม่เคยเห็นสตรีหรือ ถูกเจ้าชมจนหน้าแดงเลย” ชายชาวนาสูงวัยบ่นภรรยาตนเองสองสามคำ กวักมือเรียกซูสุ่ยเลี่ยนกับเขาเข้าไปนั่งในห้อง
“ขอบคุณ” ซูสุ่ยเลี่ยนรับน้ำเปล่าจากสตรีสูงวัยมากก่อนจะกล่าวขอบคุณจิบไปคำหนึ่ง พอจะเงยหน้าขึ้นก็เหลือบเห็นหญิงชาวนาสูงวัยยังคงหรี่ตามมองนางอย่างสำรวจ ใบหูนางจึงแดงเรื่อขึ้นทันที
“จุ๊ๆ ตาแก่ เจ้าดูหน้าตาแม่นางสิ สวยจริง! ใสกระจ่าง! ใช่แล้ว แม่นาง ปีนี้เจ้าอายุเท่าไรแล้ว” หญิงชาวนาสูงวัยหันไปเอ่ยชื่นชมกับชายชาวนาสูงวัยก่อนจะดันชายชาวนาสูงวัยไปอีกทาง ตนเองเข้าไปนั่งข้างซูสุ่ยเลี่ยนดึงมือนางมาวางไว้บนขาตนเอง ค่อยๆ ตบเบาๆ ในใจเริ่มคิดขึ้นมา
“…” ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็มองนางอย่างไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่านางเอ่ยถึงอายุตนทำไมกัน เพียงแต่ตนเองก็ไม่รู้แน่ชัดว่าตนเองอายุเท่าไรกันแน่ สิบสาม? สิบสี่? หรือว่าสิบห้า?
ซูสุ่ยเลี่ยนแอบส่ายหน้า เอาเถอะ พูดมั่วๆ ไปละกัน
“สิบห้า” พูดมากเข้าไว้ไม่ผิดแน่ ซูสุ่ยเลี่ยนคิดเช่นนี้ เอ่ยอายุที่ตนเองมั่วเองออกไป
“พอดีเลย! ฮาๆ!” นางได้ยินก็ตบหน้าขาอย่างยินดี หันไปกล่าวกับชายชาวนาสูงวัยว่า “ตาแก่ เจ้าว่าลูกชายรองของเราไม่คู่ควรกับนางหรือ”
ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินเข้าก็แอบอุทาน แย่แล้ว! นางผู้นี้มองดูแล้วเป็นหญิงเก่ง ทำไมจึงเหลวไหลเช่นนี้ได้ ถึงกับคิดจะจับตนแต่งกับลูกชายคนรองของนางหรือ โอ สวรรค์ นางคงไม่ได้เข้าถ้ำหมาป่ามาใช่ไหม
พอคิดเช่นนี้ ก็แอบเอนตัวไปทางหลินซือเย่าที่นั่งอยู่อีกทาง หันไปมองเขา สบตาเข้ากับหลินซือเย่าพอดี ดูสายตาเย็นเยียบของเขาแล้ว ซูสุ่ยเลี่ยนกลับรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาทันที ใช่แล้ว ยังมีเขาอยู่นี่ นางกังวลมากไปแล้ว
ชายชาวนาสูงวัยข้างๆ ได้ยินภรรยาตนเองเอ่ยเช่นนี้ ก็แทบสำลักน้ำชาออกมา ติดคอไม่หยุด
“ทำไม เจ้าว่าไม่เหมาะหรือ ที่ไหนกัน? ข้าดูแล้วไม่เลว ขาวใส หน้าตาดี วันหน้ามีลูกต้องไม่น่าเกลียดแน่ สำคัญที่สุดก็คืออายุเหมาะสมพอดี ลูกรองเราอายุสิบแปด แม่นางนี่สิบห้า ห่างกันสามปี พอดีเลย ฮาๆ” หญิงชาวนาสูงวัยเห็นสามีนางไม่ตอบ ยังคิดว่ารังเกียจแม่นางผู้นี้ เลยเอ่ยความเหมาะสมดีงามของซูสุ่ยเลี่ยนไม่หยุด
ฟังจนซูสุ่ยเลี่ยนอึดอัดจนแทบอยากจะร้องไห้ คิดจะอธิบาย ในที่สุดชายชาวนาสูงวัยก็หายใจทัน ได้เวลาหยุดวาจาเหลวไหลจับคู่มั่วซั่วของภรรยาตนแล้ว หากยังไม่หยุดนางไว้อีก คุณชายข้างๆ คงใกล้โมโหแล้ว กระแสเย็นเยียบรอบกายเริ่มแผ่ออกมาแล้ว ชายชาวนาสูงวัยแม้ไร้การศึกษา แต่สายตามองคนนั้นนับว่าไม่เลว
“เจ้าอย่าจับคู่มั่วซั่ว ถามแม่นางก่อนว่ายินยอมไหม” ชายชาวนาสูงวัยหันไปขยิบตาให้ภรรยาตน บุ้ยใบ้ให้นางดูองครักษ์พิทักษ์ข้างกายแม่นางน้อย
“โอ๊ะ ข้าเหลวไหลจริง พอเห็นเจ้าก็ไม่คิดอะไรเลย คุณชายท่านนี้คือ?” สตรีชาวนาจึงได้สติมองเห็นหลินซือเย่าที่ตนมองข้ามไปมาตั้งแต่ต้น รีบหัวเราะกลบเกลื่อน
“ท่านป้า ข้าชื่อซูสุ่ยเลี่ยน เขาชื่อหลินซือเย่า วันนี้พวกเรามาเพื่อถามดูว่า เมืองฝานฮัวมีผู้ใดจะขายบ้านต่อไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นนางเริ่มพูดไม่หยุดก็รีบรับคำเปลี่ยนบทสนทนาทันที
“พวกเจ้า…คิดจะมาตั้งรกรากที่เมืองเรา?” หญิงชาวนาสูงวัยได้ยินก็อึ้งไป ยังคิดว่าพวกเขามาพึ่งพาญาติที่นี่เสียอีก ไม่คิดว่าคิดจะมาตั้งรกรากที่นี่ ก็ดี ตั้งรกราก งานแต่งลูกชายรองตนเองก็คงสะดวกขึ้น แต่คุณชายท่านนี้ ใช่ละ ลูกสาวตนอีกปีก็อายุสิบหกปีเต็มแล้ว ก็ได้เวลาออกเรือนแล้ว
พอคิดเช่นนี้ ในใจสตรีชาวนาก็เบนไปทางหลินซือเย่า ลืมคำถามซูสุ่ยเลี่ยนไปทันที
“คุณชายหลินใช่ไหม ไม่ทราบว่าคุณชายหลินแต่งงานหรือยัง” สตรีชาวนาลองสอบถามดู อย่างไรถามให้ละเอียดไว้ก่อนค่อยพูดดีกว่า อย่างไรดูแล้วก็น่าจะอายุราวยี่สิบต้นๆ แล้ว ไม่แน่ที่บ้านอาจมีคู่หมายแล้ว
พอกล่าวออกไป ซูสุ่ยเลี่ยนกับชายชาวนาสูงวัยต่างสะดุ้งโหยง สีหน้าหลินซือเย่าดูย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม
“นังเฒ่านี่ วันนี้ทำไมพูดแต่เรื่องนี้นะ หน้าไม่อายไหมเจ้านี่” ชายชาวนาสูงวัยหน้าแดง เสียงดังตำหนิภรรยาตน
“มีอะไรน่าอาย ชายโสดหญิงโสด หาคู่ให้ลูกเราเองจะเป็นอะไรไป มีแต่พ่ออย่างเจ้านี่แหละ ชั่วชีวิตลูกคงหาสะใภ้ดีไม่ได้!” สตรีชาวนาเห็นสามีตนเองดุว่าตนต่อหน้าคนแปลกหน้าก็โมโหขึ้นมาทันที
ซูสุ่ยเลี่ยนแอบเงยหน้ามองชายข้างๆ เห็นใบหน้าบึ้งตึงเย็นเยียบของเขาบึ้งขึ้นไปอีก ราวกับกำลังจะใกล้ระเบิดแล้ว ก็รีบดึงแขนเสื้อเขาไว้ เห็นหลินซือเย่าหันหน้ามาพอดีก็ยิ้มกว้างให้เขา พร้อมกับทำปากกล่าวว่า “ไปกันเถอะ”
ซูสุ่ยเลี่ยนดึงหลินซือเย่าลุกขึ้น ยิ้มบางก้มกายคำนับนางที่ยังพูดไม่หยุดเหมือนเดิมกับชายชาวนาสูงวัยที่เอาแต่ก้มหน้านิ่งเงียบ กล่าวขอบคุณว่า “ท่านลุง ท่านป้า น้ำใจพวกท่าน พวกเราขอน้อมรับด้วยใจ แต่วันนี้พวกเรามาเพื่อหาบ้านจริงๆ หากท่านทั้งสองรู้ว่าบ้านไหนจะขายก็รบกวนช่วยชี้ทางให้พวกเราด้วยได้ไหม”
“เอ๋?” สตรีชาวนี้จึงได้ฟังเข้าใจว่าพวกเขามาเพื่อซื้อบ้านตั้งรกราก มองดูใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนของซูสุ่ยเลี่ยน มองไปยังหลินซือเย่าที่คอยปกป้องข้างกายซูสุ่ยเลี่ยน เขาไม่พูดอะไรตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ไม่ว่าสตรีหยาบกระด้างหัวทื่อเพียงใดก็ย่อมมองเรื่องพวกนี้ออก