เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา - ตอนที่ 142 ใกล้ปีใหม่
ปีใหม่ใกล้มาถึง จวนพักตากอากาศฝานฮัวผ่านการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงมาหนึ่งเดือน ก็เข้าสู่การเตรียมการปีใหม่แล้ว
ช่วงนี้เมืองฝานลั่วเกิดเรื่องขึ้นไม่น้อย
เรื่องที่เป็นที่กล่าวขานกันมากที่สุดในเมืองฝานฮัวก็คือเมืองข้างๆ…เมืองชิงเถียน…ถูกชาวต่างเมืองผู้หนึ่งซื้อไปทั้งหมด
ราคาที่จ่ายไปกับงานปรับปรุงที่ตามมา เรียกได้ว่าแทบจะเหมือนกับเมืองฝานฮัว
เรื่องนี้ทำให้เมืองฝานลั่ววิจารณ์คึกคักกันอยู่นาน จนมีเรื่องใหม่มา ก็คือเรื่องเปลี่ยนเจ้าเมืองฝานลั่ว ทำให้เมืองฝานลั่วที่ไม่มีข่าววงการขุนนางอยู่นานก็เริ่มเซ็งแซ่กันขึ้น หนึ่งเดือนมานี้ก็ยังไม่สงบ
ว่ากันว่าเจ้าเมืองใหญ่สามสิบเอ็ดเมืองในปกครองแผ่นดินต้าหุ้ย ล้วนฮ่องเต้ต้าหุ้ยแต่งตั้งจากการคัดเลือกของบรรดาขุนนางบุ๋นบู๊ ว่ากันตามคุณธรรม ความสามารถ ฝีมือ การจัดการและด้านต่างๆ พอผ่านคุณสมบัติก็จะคัดเลือกออกมา
แน่นอน ในนี้ย่อมมีตัวเลือกเจ้าเมืองที่มาอย่างไม่ขาวสะอาด แต่ส่วนใหญ่ก็นับว่าไว้ใจได้จริง
อย่างไรการคัดเลือกของบรรดาขุนนางบุ๋นบู๊ก่อนหน้านี้ยังต้องผ่านการสอบรวมทั้งบุ๋น บู๊ สติปัญญาและอารมณ์ ทุกปีคนชนะสามอันดับแรก ก็จะได้เข้าไปสู่คลังคัดเลือกเจ้าเมืองของฮ่องเต้
ปีหนึ่งๆ ในคลังตัวเลือกเต็มจนแทบทะลัก ดังนั้นหลังจากฮ่องเต้หลี่เหวินซิวองค์ปัจจุบันครองราชย์ ก็เปลี่ยนระบบใหม่ กล่าวคือ ให้ตำแหน่งเจ้าเมืองจากเดิมมีอายุงานสิบห้าปี ลดเหลือแปดปี และการสอบปีละครั้งก็ให้สอบสามปีครั้ง เพื่อลดจำนวนสะสมในคลังตัวเลือก
แต่เจ้าเมืองเมืองฝานลั่วนี่ยังไม่ครบแปดปีก็จะถูกปลดแล้ว อ้อ ควรเรียกว่าย้าย เจ้าเมืองสุ่ยเยว่ครบวาระพอดี เจ้าเมืองฝานลั่วเหลือวาระอีกสามปี ก็ย้ายไปเมืองสุ่ยเยว่ ที่เรียกว่าย้ายก็ย่อมเป็นเพราะว่าเมืองสุ่ยเยว่มีเกียรติกว่าเมืองฝานลั่วหลายเท่า ควรกล่าวว่าเมืองฝานลั่วเล็กๆ ห่างไกลเป็นเมืองเล็กปลายแถวในสามสิบเอ็ดเมืองใหญ่
ใช่เลย เจ้าเมืองคนใหม่นี้ ทุกคนในเมืองฝานลั่วต่างคาดเดาว่าผู้ใดช่างโชคร้ายนัก ถูกฮ่องเต้เลือกให้มาอยู่เมืองฝานลั่วปลายแถวเช่นนี้
“กล่าวเช่นนี้ ข่าวลือข้างนอกก็จริงหรือ นั่นต้องยินดีกับใต้เท้าเจ้าเมืองแล้ว ว่ากันว่าเมืองสุ่ยเยว่ใหญ่กว่าเมืองฝานลั่วไม่เพียงแค่เท่าหนึ่ง”
ณ โถงกลาง ‘ร้านผ้าปักเยว่อวิ๋น’ เถ้าแก่ใหญ่เจียงอิ้งเยว่ยิ้ม ใช้ชาแทนสุราคำนับสีโหย่วเต้าเจ้าเมืองเมืองฝานลั่วที่มาอำลาไปประจำเมืองอื่น
“เถ้าแก่ใหญ่เกรงใจไปแล้ว ที่มาครั้งนี้ หนึ่ง อำลาก่อนเดินทาง สอง ก็คือ ข้ามีเรื่องขอร้อง ไม่ทราบเถ้าแก่ใหญ่…”
“เจ้าเมืองเกรงใจไปแล้ว มีอันใดสั่งการมาได้เลย หากอิ้งเยว่ทำได้ ก็จะทุ่มเทเต็มที่”
“แค่ก…เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว คืออย่างนี้…แค่ก…ลูกชายคนเล็กข้าแต่ไรมาก็ปักใจต่อแม่นางอิ้งอวิ๋น พอคำสั่งย้ายครั้งนี้มาถึง เขาก็ต้องการให้ข้ามาสู่ขอให้ได้ แต่เพราะว่าที่บ้านหมั้นหมายให้เขาไว้แล้ว อีกฝ่ายเป็นถึงบุตรสาวขุนนางราชสำนัก ข้าไม่กล้ายกเลิก พอเป็นเช่นนี้ หากแต่งแม่นางอิ้งอวิ๋นเข้าเรือน ก็คงต้องลำบากแม่นางแล้ว แต่ทว่าเถ้าแก่ใหญ่วางใจ ข้าจะต้อง…”
เจียงอิ้งเยว่ฟังถึงตรงนี้ ก็รู้ว่าสีโหย่วเต้าจากนี้จะกล่าวอันใด ก็แค่รับรองว่าจะดีต่อน้องสาวนาง แต่ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ และไม่ใช่สิ่งที่น้องสาวนางต้องการ
“เจ้าเมือง ขอข้ากล่าวแทรกสักคำ น้องข้าก็เลยยี่สิบสี่แล้ว ข้าจำได้ว่าคุณชายสีปีนี้แค่สิบเก้า อายุนี่คือ…” คงไม่ได้แต่งอิ้งอวิ๋นไปเป็นแม่นมกระมัง
“แค่ก…เถ้าแก่ใหญ่ไม่ทราบ เหตุผลพวกนี้ข้ากับแม่เขาก็บอกไปไม่รู้กี่รอบแล้ว แล้วอย่างไร ลูกชายข้าก็ยังคงรั้น ทำให้ข้าต้องแบกหน้ามาสู่ขอกับเถ้าแก่ใหญ่”
นี่เรียกว่าสู่ขอ? ฮา! น่าขันจริง! ยังคิดว่าเขาเพียงแค่จะแอบพาอิ้งอวิ๋นไปมอบให้ลูกชายเขาเป็นภรรยาน้อยเสียอีก
พอคิดถึงตรงนี้ ในใจเจียงอิ้งเยว่ก็แอบนึกโมโห เกือบจะระเบิดอารมณ์ออกไปทันที
“เจ้าเมือง ท่านคงไม่รู้ว่า แท้จริงแล้วน้องสาวของข้าได้หมั้นหมายแล้ว ไม่เช่นนั้นเงื่อนไขที่ดีอย่างเช่นนี้ ทำไมจึงได้ยังไม่ออกเรือนเสียที?! ท่านก็รู้ ข้ามีน้องสาวที่รักแค่คนเดียว ไม่อาจตัดใจให้นางแต่งงานออกไปไกลได้ ต้องให้ฝ่ายชายย้ายมาตั้งรกรากที่เมืองฝานลั่วจึงยอมให้พวกเขาแต่งงาน ฝ่ายชายอยู่ตอนเหนือมีกิจการใหญ่โต จะให้ย้ายมาทันทีก็คงไม่อาจทำได้ จึงได้ยืดเยื้อมานานหลายปีเช่นนี้ ก็ล้วนเป็นเพราะข้าคนเดียว แต่ทว่าตอนนี้ได้ยินว่าจัดการเรียบร้อยแล้ว รอแค่พ้นปีนี้ไปก็จะมาตั้งรกรากที่นี่แล้ว ดังนั้นท่านว่า…”
“จริงหรือ แต่ข้าได้ยินว่า…” ข้างนอกไม่ใช่ลือกันว่าเถ้าแก่ใหญ่ร้านผ้าปักเยว่อวิ๋นเอาแต่เลือกเฟ้นหาคู่ครองให้น้องสาวไม่ใช่หรือ หรือว่าเป็นความเท็จ
“พวกนั้นล้วนเป็นข่าวลือ ไม่อาจจริงจัง” เจียงอิ้งเยว่โบกมือ แสดงให้เห็นว่าแท้จริงแล้วล้วนเป็นนางที่หาเรื่องรั้งไว้ก็เพื่อรั้งให้น้องเขยได้มาอยู่ที่นี่
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ขอแสดงความยินดีกับเถ้าแก่ใหญ่แล้ว เหอๆ…ลูกชายข้าจะได้ยอมตัดใจเสียที”
สีโหย่วเต้าย่อมไม่ได้คิดมาสู่ขอจริงจัง เพียงแต่ขัดลูกชายคนเล็กเขาไม่ได้ จึงได้มาสักครั้ง ตอนนี้เห็นเจียงอิ้งอวิ๋นมีคู่หมายที่สัมพันธ์ใกล้ชิดแล้ว ย่อมดีใจกลับไปเตือนลูกชายที่ไม่ยอมฟังคำของเขาให้รู้เรื่อง แม้ว่าสองพี่น้องตระกูลเจียงหลายปีนี้จะสะสมเงินทองไว้ไม่น้อย แต่อย่างไรก็แค่ตระกูลพ่อค้า จะมีคุณสมบัติมาอาจเอื้อมเกี่ยวดองกับตระกูลสีของเขาได้อย่างไร
“เฮ้อ!อะไรกันนี่! ก่อนไปยังจะทิ้งทวนอีกที!” เจียงอิ้งเยว่เอาภาพดอกโบตั๋นออกมามอบให้สีโหย่วเต้าอย่างสุภาพเกรงใจ เขากลับไปอย่างยิ้มแย้ม นางล้มตัวพิงพนักเก้าอี้ ปากก็สบถด่าออกมาไม่หยุด
ขออย่าให้สีจิ่งรุ่ยรออยู่ที่นี่ต่อเลย อย่ามารอดูคนที่นางเรียกว่าน้องเขยเลย หากเป็นเช่นนี้จริง นางจะไปหาชายที่ไหนที่เหมาะสมกับอิ้งอวิ๋นทัน
เฮ้อ ดังนั้นจึงกล่าวว่าไม่ควรโกหก ทันทีที่โกหกออกไปก็ต้องมีคำโกหกต่อมาเรื่อยๆ เพื่อปกปิด
เพียงแต่อิ้งอวิ๋นระยะนี้เป็นอะไรไป ช่วงก่อนเห็นนางเอาแต่ยุ่งไม่หยุด แต่ปีใหม่ใกล้เข้ามาแล้ว ก็ไม่ควรมีอะไรให้ยุ่งนี่นา แต่นางเหมือนว่าเอาแต่ทำงานไม่ยอมพัก แปลกจริง
วันไหว้พระจันทร์ก่อนหน้านี้ยังชอบแอบไปเมืองฝานฮัว บอกว่าไปกล่อมสุ่ยเลี่ยนร่วมทุน คิดจะนำพาร้านผ้าปักเยว่อวิ๋นให้ขยายกิจการใหญ่โตออกไปอีก
แต่พอหลังวันไหว้พระจันทร์ก็ไม่ได้เห็นนางไปเมืองฝานฮัวอีก เกิดเรื่องอะไรขึ้น หรือว่าทะเลาะกับสุ่ยเลี่ยน
แต่ว่าไม่น่านะ นังหนูสุ่ยเลี่ยนแม้ว่ามีลูกสองแล้ว แต่นิสัยก็ยังคงเรียบร้อยเหมือนเดิม ย่อมไม่มีเรื่องทะเลาะกับผู้อื่นแน่ แม้เอาดาบพาดคอนางก็ไม่แน่ว่านางจะยอมมีปากเสียงด้วย
เช่นนั้นเรื่องอะไรกัน แต่อิ้งอวิ๋นปากแข็งเหมือนง้างเปลือกหอย คิดจะฟังจากปากนาง ช่างยากราวกับขึ้นสวรรค์ ใช่แล้ว ทำไมนางลืมไปได้…
“เจ้าเจ็ด เตรียมรถม้า ข้าจะออกไปข้างนอกหน่อย” เจียงอิ้งเยว่ลุกขึ้นทันที จัดแจงเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็เรียกผู้ช่วยในโถงมาสั่งการ ก่อนจะออกไปจากร้าน
……
ระยะนี้โรงหมอชิงหยางยุ่งมาก
ใกล้ปีใหม่ คนป่วยก็ยิ่งมาก น่าจะเพราะลมหนาว
ส่วนใหญ่เป็นหวัดเพราะอากาศหนาว กินยาไม่กี่เทียบก็เห็นผล เรียกได้ว่ากินยาก็หายขาด
ดังนั้นเวลาไม่กี่เดือน ชื่อเสียงโรงหมอชิงหยางก็ขจรไกลไปทั่วในและนอกเมืองฝานลั่ว
ทำเอาหยางจิ้งจือกับชิงหลันสองคนยุ่งกันจนแทบไม่มีเวลานอน
“พี่อิ้งเยว่ วันนี้ข้าเป็นครั้งแรกในสามวันที่ได้ขึ้นเตียงนอนพักสบายสักวัน ท่านมีเรื่องด่วนอันใดมาปลุกข้ากัน” หยางจิ้งจือหาวติดๆ กันพลางบ่นไม่พอใจ
“ผอมลงไม่น้อยนะเนี่ย ไว้พี่อิ้งเยว่จะให้แม่ครัวทำอาหารเสริมมาให้พวกเจ้าสองคนบำรุงกันนะ”
“ไม่ต้อง ให้ข้าได้นอนพักสะใจสักเต็มที่งีบก็ถือเป็นมงคลใหญ่ยิ่งแล้ว”
“เช่นนี้…อย่างนั้นนางหนู พี่อิ้งเยว่ถามสักคำ หากเจ้ารู้ก็ตอบข้ามาตามตรง เจ้ารู้ใช่ไหมว่าอิ้งอวิ๋นระยะนี้เป็นอะไรไป ทำไมไม่เห็นนางไปเมืองฝานฮัว เอาแต่ทำงานในร้านไม่หยุด แม้แต่โอกาสจะตามนางมาคุยด้วยสักคำก็ไม่มี เห็นแล้วน่าห่วงจริง”
เจียงอิ้งเยว่เห็นหยางจิ้งจือท่าทางเหนื่อยล้าจริงๆ ก็ไม่คิดอ้อมค้อม กล่าวตรงประเด็นทันที
“อืม…น่าจะเกี่ยวข้องกับชายหนุ่มคนหนึ่ง แต่ความจริงเป็นเช่นไร ข้าเองเพราะไม่กระจ่างนัก ทุกเดือนข้าไปที่นั่นหนึ่งวัน ก็ถูกชาวบ้านรุมล้อมอยู่ที่ห้องตรวจ ไหนเลยมีเวลาไปสนใจเรื่องชาวบ้าน ไม่เอาแล้ว พี่อิ้งเยว่ ข้าง่วงจะตายแล้ว ไปนอนแล้ว ชิงหลัน ช่วยข้าต้อนรับพี่อิ้งเยว่…”
เกี่ยวข้องกับกับชายหนุ่ม? อิ้งอวิ๋นแอบคบหาชายหนุ่มไม่บอกนาง? แต่ทำไมไม่พามาให้นางดูหน่อย หรือว่า…นางแอบชอบเขาเพียงแค่ฝ่ายเดียว เทศกาลไหว้พระจันทร์บอกความในใจแล้ว ฝ่ายชายปฏิเสธ ดังนั้นจึงได้เปลี่ยนไปเช่นนี้หรือ
เป็นครั้งแรกที่เจียงอิ้งเยว่มาเมืองฝานฮัวด้วยความสงสัย ตอนนี้จวนพักตากอากาศฝานฮัวหากไม่มีคนนำทาง และไม่รู้ทางเข้าว่ามีค่ายกลป่าเหมยบังตา รถม้าหรูหราของนางกับเจ้าเจ็ดสองคนก็ถูกขังในป่าเหมยครึ่งชั่วยาม ก่อนเมิ่งเฉียวที่ออกลาดตระเวนจะมาพบเข้า
“ฮูหยิน ที่นี่ก็คือที่พักอาจารย์ป้าแล้ว อ้อ นั่นเซียงหลันสาวใช้อาจารย์ป้ามาพอดี แม่นางเซียงหลัน…” เมิ่งเฉียวพาเจียงอิ้งเยว่มายังประตูบ้านซูสุ่ยเลี่ยน เห็นเซียงหลันออกมาจากโถงพอดี
“ชายหนุ่ม?” ซูสุ่ยเลี่ยนเพิ่งฟังเจียงอิ้งเยว่เล่าจบก็งุนงง จากนั้นก็คิดถึงว่าตอนแรกเจียงอิ้งอวิ๋นสนใจซือเล่ามาก แต่สองคนไม่ได้มีอะไรกันนี่ หรือว่าชายหนุ่มที่พี่อิ้งเยว่พูดว่าทำให้เจียงอิ้งอวิ๋นเปลี่ยนไปมากจะเป็นซือเล่า แต่ซือเล่าตั้งแต่วันไหว้พระจันทร์มาก็ออกไปจากบ้านแล้ว ตอนนี้ยังไม่กลับมา
“สุ่ยเลี่ยน เจ้ารู้ใช่ไหม พี่อิ้งเยว่เพียงแค่อยากเห็นคนผู้นั้น ไม่ได้จะพูดอะไรเกินเลย อย่างไรเรื่องแต่งงานชายหญิง ก็ควรให้สองฝ่ายยินยอมพร้อมใจ”
“แต่ว่า…พี่อิ้งเยว่ ข้าก็ไม่รู้ว่าเดาถูกไหม หากเป็นจริง…ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่รู้จะกลับมาเมื่อไร” ซูสุ่ยเลี่ยนอธิบายสีหน้าลำบากใจ นางรู้จักซือเล่าไม่มาก รู้แค่นิสัยเขากับอาเย่าเหมือนกันหลายส่วน กับเรื่องหรือคนที่ไม่อยากเข้าใกล้ แยกแยะชัดเจนมาก นอกจากอาเย่า ซือทั่ว ซือชง คนที่เขายอมใกล้ชิดด้วย ก็มีแค่ทารกแฝดชาย เช่นนี้หากชอบสตรีคนหนึ่ง จะมีปฏิกิริยาอย่างไรกัน
พอเจียงอิ้งเยว่จากไปอย่างผิดหวัง ซูสุ่ยเลี่ยนก็เท้าคางมองไปยังหิมะด้านนอกหน้าต่าง ยังคงคิดไม่ตก
แต่พอหลินซือเย่าได้ยินเรื่องที่เจียงอิ้งเยว่มาแล้ว ก็ทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่งที่แทบทำเอาซูสุ่ยเลี่ยนกระโดดผึงลุกขึ้นมาทันที “เขากำลังหลบหนีความจริง”