เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา - ตอนที่ 143 มากกว่าชอบก็คือรัก
“พี่ใหญ่?” ซูสุ่ยเลี่ยนฟังหลินซือเย่าเล่าข่าวใหม่จากหอกว่างชื่อโหลว ก็ตกใจอ้าปากค้าง “เป็นไปได้อย่างไร!”
“ไม่อยากจะเชื่อ?” หลินซือเย่ารั้งนางลงนั่งอย่างนึกขำ เอื้อมมือไปลูบหน้าท้องที่เริ่มนูนเด่นของนาง เอียงตัวลงแนบฟังเสียงเตะเบาๆ ที่ ดังมาเป็นระยะ
“ตกใจอยู่บ้างเหมือนกัน” ซูสุ่ยเลี่ยนได้สติประคองใบหน้าเขา ลูบผมหยาบกระด้างเล็กน้อยของเขาเบาๆ ในสมองยังคงกำลังพยายามย่อยข่าวที่เพิ่งได้รับมา “พี่ใหญ่ทำไมต้องทำเช่นนี้ ไม่มีเหตุผล ที่นี่ห่างจากเมืองหลวงตั้งไกลไม่ว่า ยังไม่นับว่าเป็นเมืองเจริญ มาเป็นเจ้าเมืองฝานลั่ว เห็นชัดๆ ว่า เป็นการลดตัวลงมาเอง หรือว่า…
“พี่ใหญ่…ห่างเหินกับฮ่องเต้แล้ว” นี่คือความเป็นไปได้มากที่สุดที่นางพอจะคิดออก
“ไม่รู้ เขาไม่ได้บอก” ที่ท้องของนางมีเสียงหลินซือเย่าตอบมาอย่างเกียจคร้าน เขาแนบหน้าอยู่บนท้องของนาง ฟังเสียงเคลื่อนไหวในท้อง เอียงตัวลงนอนแนบข้างกายนาง หลับตาพักผ่อน
“…เอาเถอะ อย่างไรแม้ว่าจริง ข้าเองก็ไม่อาจช่วยอะไรเขาได้” ซูสุ่ยเลี่ยนถอนหายใจกล่าวขึ้นแผ่วเบา
“ทำไมช่วยไม่ได้?! เขาต้องการให้พวกเราหาซื้อบ้านให้” หลินซือเย่ากอดเอวนางไว้ ค่อยๆ ลูบเบาๆ ปลอบใจไร้สำเนียง
“ซื้อบ้าน? เจ้าเมือง…ไม่ใช่มีจวนเจ้าเมือง?” ว่ากันว่าอยู่ใจกลางเมืองฝานลั่วด้วย จวนหรูหราบนที่ห้าหมู่ บ้านที่อลังการที่สุดในเมืองฝานลั่ว
“ไม่เหมือนกัน” หลินซือเย่าหัวเราะเบาๆ รั้งนางลุกมานอนทับหน้าอกเขา กอดร่างเล็กนุ่มนิ่มของนาง ลองเอาฝ่ามือไปเทียบดูฝ่ามือดำคล้ำสองมือของเขา ไม่น่าเชื่อว่าแตกต่างกันได้เพียงนี้
“หากออกนอกเมือง มาอยู่กับพวกเราที่นี่ไม่ดีหรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนขมวดคิ้วไม่เข้าใจ จวนพักตากอากาศฝานฮัวก็มีชื่อว่าเป็นอาณาเขตจวนอ๋องจิ้ง หรือว่าเหลียงเอินไจ่ไม่คิดจะพักที่จวนพักตากอากาศฝานฮัว
“ความต้องการพี่ใหญ่เจ้าก็คือคิดเลียนแบบพวกเรา หาเมืองเล็กๆ ใกล้ๆ สร้างจวนพักตากอากาศของเขาเอง” หลินซือเย่าค่อยๆ เล่าจุดประสงค์เหลียงเอินไจ่ เมืองเล็กๆ ใกล้เมืองใหญ่ฝานลั่วสามแห่งเป็นพื้นที่ดีจริงหรือ จึงได้ดึงดูดคนมาได้ไม่ขาด แต่ละคนคิดจะมาสร้างจวนพักตากอากาศกันที่นี่
ท่านพ่อที่เขาเพิ่งยอมรับนั่น หนึ่งเดือนก่อนใช้ชื่อคหบดีต่างแดนซื้อเมืองชิงเถียน สองสามวันนี้ก็เริ่มลงมือปรับปรุงก่อสร้างแล้ว ตอนนี้พี่ชายภรรยาเขาอย่างเหลียงเอินไจ่ก็คิดมาเลียนแบบ ดูท่าเมืองลั่วสุ่ยคงหนีไม่พ้นแล้ว
“จวนพักตากอากาศ?” อ้อ ปล่อยนางไปเถอะ เช่นนี้ในปีหนึ่งมานี้ เมืองย่อยรอบเมืองใหญ่ฝานลั่วก็จะ ถูกพวกเขาซื้อไปหมดแล้วไหม?!
“พี่ใหญ่ไยต้องทำเช่นนี้!” ช่างสิ้นเปลืองเงินทอง บ้านน่ะพออยู่ก็พอไหม ทำไมต้องซื้อทั้งเมือง แล้วยังก่อสร้างทั้งหมดอีก
“เช่นนี้ก็ดี วันหน้าสามเมืองเล็กๆ รวมกันก็เป็นเมืองขนาดกลางได้เมืองหนึ่ง ปลอดภัยยิ่งขึ้น” หลินซือเย่าแต่ไรมามักมองแต่ความปลอดภัยของบ้านเป็นหลัก
ตั้งแต่ได้รับข่าวนี้จากเหลียงเอินไจ่ ในสมองของเขาก็มีความคิดกระจ่างชัด และพอเดาวัตถุประสงค์ที่เขาของมาเป็นเจ้าเมืองฝานลั่วได้
อาจกล่าวได้ว่า ตอนแรกเหลียงเอินไจ่เพียงแต่คิดว่าจะสร้างจวนพักตากอากาศที่เป็นของเขาที่นี่ แต่ก็รู้ว่า หากสามเมืองเล็กๆ รวมกัน อยู่ในมือพวกเขาที่เป็นดังเครือญาติ ก็ย่อมเพราะต้องการความปลอดภัย สุดท้ายก็ต้องทำให้สามรวมเป็นหนึ่ง จากนั้นอาณาเขตนี้ก็จะกลายเป็นความกังวลของเจ้าเมืองฝานลั่ว
ดังนั้นเหลียงเอินไจ่จึงได้ขอมาเป็นเจ้าเมืองที่นี่ อย่างน้อยเขาอยู่ที่นี่แปดปี พวกเขาก็มีเวลาเพียงพอที่จะทำให้อาณาเขตจวนพักตากอากาศวันหน้าได้รวมกันกลายเป็นที่เจ้าเมืองฝานลั่วกังวลมาก แต่ไม่อาจจัดการอะไรได้ และไร้กำลังจะจัดการ
“แต่ว่าชาวบ้านพวกนั้นยอมหรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนแอบเป็นห่วง
“ความจริงไม่ได้พิสูจน์แล้วหรือ” เมืองฝานฮัวเป็นตัวอย่าง เมืองชิงเถียนก็เป็นตัวอย่าง ดูสีหน้าชาวบ้านมีแต่ดีใจไม่มีทุกข์ใจสักคน
หลินซือเย่าหัวเราะเบาๆ ประคองนางลุกขึ้น “ไปกันเถอะ เวลาพอสมควรแล้ว กลับมาค่อยกินข้าวกัน”
ตั้งแต่นางท้องครบสามเดือน หยางจิ้งจือก็เสนอให้นางเดินไปกลับระเบียบยาวรอบหนึ่งทุกวันวันละสองครั้ง เพื่อทำให้อีกสี่เดือนคลอดง่าย
แม้ว่าครั้งนี้ไม่ใช่ท้องแฝด แต่ก็เป็นการลดอันตรายในการคลอดลูก ท้องนางเห็นชัดว่าเล็กกว่าท้องแรก แต่เทียบกับท้องแฝดของเฟิ่งรั่วเอ๋อร์แล้วต่างกันไม่มาก
ที่ทำให้เขากังวลมาก็คือท้องใหญ่เกินไป ร่างกายแม่ก็เล็กบอบบาง ตอนคลอดลูกอาจไม่ราบรื่น ดังนั้นขอเพียงเขาอยู่บ้าน ทุกวันก็จะเป็นเขามานางออกมาเดินตามกำหนดัวนละสองรอบ
“อาเย่า ปีใหม่ซือเล่ากลับมาไหม” คิดถึงเรื่องที่เจียงอิ้งเยว่เมื่อวานมาหานาง ซูสุ่ยเลี่ยนก็อดถามไม่ได้
“ทำไม มีธุระกับเขา?” หลินซือเย่าเลิกคิ้ว ภรรยาตัวน้อยเขาไม่ค่อยได้เอ่ยชื่อชายอื่นต่อหน้าเขา ครั้งนี้จึงทำเขาแปลกใจมาก
ซูสุ่ยเลี่ยนฟังออกว่าเขาหึงก็ขำ ตบหลังมือเขาปลอบใจ “เจ้าคิดไปถึงไหนกันนี่ ข้าแค่รู้ว่าอิ้งอวิ๋นรู้สึกดีกับซือเล่า แต่คิดไม่ถึงนางจะถลำลงไปลึกเช่นนี้แล้ว หากซือเล่าคิดเหมือนนาง…มีความรู้สึกพิเศษน่ะ สองคนทำไมไม่พูดกันตรงๆ ล่ะ” คนหนึ่งเอางานมาบังหน้าให้ผ่านไปวันๆ อีกคนก็ใช้การหลบหนีมาแก้ปัญหา
“ซือเล่ามีข้อกังวลของเขา” หลินซือเย่าเดินเป็นเพื่อนนางไปตามระเบียงยาวยามเที่ยง นอกระเบียงมีกองหิมะทับถม ยกมือกระชับเสื้อคลุมกันหิมะให้นางแน่นขึ้น ดึงหมวกขึ้นคลุมศีรษะ กลัวว่านางจะโดนลมหนาว
“กังวลอะไร สถานะนักฆ่า? เรื่องพวกนี้อิ้งอวิ๋นล้วนรู้” นางเบ้ปากอย่างไม่ได้คิดอะไรมาก
“…” หลินซือเย่าก้มหน้าลงมองแล้วนางอย่างไร้วาจาจะกล่าว หรือว่าสตรียุคนี้ไม่กลัวสถานะนักฆ่า นางที่ยอมแต่งเป็นภรรยานักฆ่าเช่นพวกเขาจึงมีไม่น้อย
“อิ้งอวิ๋น นางเพียงแค่ชอบซือเล่าอย่างบริสุทธิ์ใจ” ซูสุ่ยเลี่ยนคิดแล้วก็สำทับอีกคำ
“ชอบ?” ซือเล่าทำอะไรที่ทำให้สตรีผู้นั้นชอบ ตอนนั้นเขากับสุ่ยเลี่ยนพึ่งพากันและกันบนเขาต้าซื่อหลายเดือน ด้วยเหตุนี้จึงเกิดเป็นความผูกพันที่พอเข้าใจได้ แต่สตรีผู้นั้นกับซือเล่าเจอกันไม่กี่ครั้ง พูดกันก็ไม่กี่คำ อะไรที่ทำให้นางชอบซือเล่า ยากเข้าใจจริง
“ข้าคิดว่าน่าจะใช่ หรือไม่ก็ยิ่งกว่าชอบกระมัง…” ไม่อย่างนั้นทำไมทุกครั้งที่เอ่ยถึงซือเล่า หรือพบเขาที่บ้าน เจียงอิ้งอวิ๋นที่แต่ไรมาก็เปิดเผยเสียงดัง อยู่ๆ ก็เขินอายหลายส่วน
“อืม…เจ้าล่ะ” พอฟังถึงตรงนี้ หลินซือเย่าอยู่ก็มองนางอย่างสนใจ พลางถามอย่างอ่อนโยน
“ข้า? ข้าทำไม” ซูสุ่ยเลี่ยนเงยหน้าอึ้ง ตั้งตัวไม่ทันอยู่นาน
หลินซือเย่าหยุดเดิน จ้องมองนางเขม็ง แต่ไรมาเขามีสีหน้าเย็นเยียบ พอยิ้มออกมาทีก็สะกดใจนางได้ทันที “เจ้ากับข้า คือชอบ…หรือว่ายิ่งกว่าชอบ…” น้ำเสียงเขาแหบพร่านุ่มนวล จ้องมองนางนิ่ง ดวงตาดำขลับมีรอยยิ้มที่ทำเอาไม่กล้ากะพริบตากลัวจะพลาดภาพนี้ไป
“ทำไม” เขาค่อยๆ หุบรอยยิ้มลง แววตาลึกๆ เริ่มแอบกังวลหนักขึ้น “ไม่สบายตรงไหนไหม” ควรตายจริง เขาให้นางตากลมหนาวนานเกินไปแล้ว
“ไม่ใช่…” นางส่ายหน้าเบาๆ ยกมือซ้ายที่เป็นอิสระขึ้นประคองแก้มที่เย็นเยียบของเขาไว้ บอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าเพียงแต่กำลังคิดคำถามของเจ้า…” รู้สึกว่ามือขวาถูกเขากำแน่น นางเม้มปากหัวเราะ “เจ้าเครียดมาก?”
นางแต่งกับเขามาเกือบสามปี ลูกสองจะครบปีแล้ว ในท้องยังมีอีกหนึ่งตอนนี้ เขายังคงเคร่งเครียดคำตอบนางอีก แสดงให้เห็นอะไร ก็คือเขาใส่ใจนาง ใส่ใจจิตใจนางว่ามีเขาหรือไม่…เหมือนในใจเขาที่มีแต่นางคนเดียว วางนางไว้เพียงหนึ่งเดียวกลางใจ…ใช้ใจทะนุถนอมนาง เอาใจนาง รักนาง…
“โง่งม!” นางกระซิบเบาๆ จากนั้นก็เขย่งปลายเท้า ริมฝีปากแดงแตะใบหูเขา พ่นลมร้อนใส่ เกือบทำเอาเขาขาดการควบคุม
“อาเย่า…ข้ารักเจ้า…”
เขาสะดุ้งงัน นางบอกว่า…รักเขา..รักเขา…ไม่ใช่ชอบ ไม่ใช่ยิ่งกว่าชอบ แต่ยิ่งกว่าคำว่าชอบไม่รู้กี่เท่า…รัก…
ภรรยาตัวน้อยที่แต่ไรมาเขินอายง่าย ถึงกับท่ามกลางหิมะในฤดูหนาว…ถึงกับกล่าวออกจากปากนางเองว่า รักเขา…ทำให้หน้าหนาวนี้ไม่หนาวอีกต่อไปแล้ว…
……
“ดังนั้นเจ้าอยากบอกข้า…รักเขาก็ควรแสดงออกไป?” เจียงอิ้งอวิ๋นดื่มชาขู่เฉียวร้อนกรุ่นไปคำหนึ่งแล้วก็หรี่ตาถาม
“อืม…อาเย่าบอกว่านิสัยซือเล่าดูเหมือนจะร่าเริงที่สุดในพวกเขาสี่คน แต่ความจริงไม่ใช่ เขาเพียงแค่กลบเกลื่อนได้ดีกว่าพวกเขาสามคนต่างหาก” ซูสุ่ยเลี่ยนถือแก้วนมร้อนที่เซียงหลันเอามานางโดยเฉพาะไว้ จิบไปคำหนึ่ง แม่วัวสามตัวในจวนพักตากอากาศเริ่มผลิตน้ำนมแล้ว ทุกวันก็จะมีน้ำนมหลายถังไม้ไว้กินได้ นางกับแม่สามีต่างเป็นสตรีมีครรภ์ เป็นผู้บริโภคนมพวกนี้เป็นหลัก โชคดีที่เติมพวกถั่วอัลมอนด์บดกับน้ำผึ้งลงไปก็ไม่คาวอีก ไม่อย่างนั้นนางคงดื่มไม่ลงจริงๆ
“ขอบคุณเจ้าที่เตือน แต่ว่า…ตอนนี้เขาหลบหน้าข้า…” เจียงอิ้งอวิ๋นยิ้มเฝื่อน
ควรโทษนางเองกระมัง แต่ไรมาเขาก็รักษาระยะห่างกับนาง เป็นนางเองที่ไม่เข้าใจเขา กว่าจะรวบรวมความกล้าไปบอกรักเขาได้ กลับเลือกเอาตอนเขาเมา ฉวยโอกาสตอนเขาเมา ฝืนใจเขา…เฮ้อ…นางสูญเสียความเป็นเด็กสาวใสซื่อไปแล้ว นางทำตัวเอง แต่ว่าเขา…ไม่ควรมีปฏิกิริยาเช่นนั้น พอสร่างเมา ปฏิกิริยาแรกก็คือไม่พูดจาอะไรก็ไปเลย…มันทำให้นางคิดแล้วก็โมโหตัวเอง นางตอนนั้นเหมือนกับนางคณิกาที่ไร้ยางอาย ส่งตัวเองไปถึงที่
“อิ้งอวิ๋น…” ซูสุ่ยเลี่ยนถอนหายใจเบาๆ แทนนาง ไปชอบคนที่ไม่ได้ชอบตนเช่นกัน ก็ถูกกำหนดให้ต้องเดินไปบนเส้นทางแห่งความผิดหวังเสียใจแล้ว
“เอาเถอะ…ข้าก็ไม่ใช่ดรุณีน้อยแล้ว พ้นปีนี้ไปก็ยี่สิบสี่แล้ว…เขารังเกียจข้า ก็ควรอยู่…” แม้เขากลับมา ก็ไม่ได้เห็นว่าจะเป็นเพราะว่าชอบนาง ด้วยคุณสมบัติของเขา จะหาดรุณีน้อยวัยสิบห้าสิบหกสักคนก็ง่ายมาก จะมาเพราะว่านางมอบครั้งแรกให้เขายามเมา ก็ต้องให้เขามารับผิดชอบนางหรือ นางเจียงอิ้งอวิ๋นไม่ต้องการเขามารับผิดชอบ…
“อิ้งอวิ๋น…“ เป็นครั้งแรกที่เห็นเจียงอิ้งอวิ๋นสลดเช่นนี้ ในใจซูสุ่ยเลี่ยนแอบปวดปลาบแทน แต่กลับไม่รู้ว่าควรปลอบอย่างไร นางเองก็ไม่ใช่เพื่อนสนิทรู้ใจที่ดี ที่จะหาวิธีช่วยเพื่อนสนิทยามที่พวกนางตกทุกข์ได้ ได้แต่ปลอบบรรเทาความเจ็บปวดในใจนาง
“ข้าไม่เป็นไร…” เจียงอิ้งอวิ๋นหัวเราะเยาะตนเอง จากนั้นก็เปลี่ยนบทสนทนา “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ไป…ไปดู เด็กน้อยที่น่ารักสองคนกัน…” ในเมื่อนางได้รุกไปก่อนแล้ว แต่เขายังต่อต้านเช่นนี้ เช่นนั้นก็ได้แต่บอกว่านางและเขาสองคนไร้วาสนาต่อกัน จากนี้ไปนางก็ต้องพยายามที่จะลืมเขา…หากว่าทำได้…