เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา - ตอนที่ 146 สามจวนรวมเป็นหนึ่ง (ตอนที่สอง)
ไปตามเส้นทางหลวงกว้างที่มีเพียงเส้นทางเดียวก็จะไปถึงทางเข้าที่สองปีก่อนขยายเส้นทางเอาไว้ เป็นสะพานโค้งก่อจากศิลาหิน พอข้ามสะพานโค้งไปก็จะเป็นพื้นที่สามเมืองเดิมแล้ว แต่ตอนนี้ถูกรวมเข้าด้วยกัน เรียกว่า เหอหยวน ที่แปลว่ารวมสวน ความหมายจากความว่า รวมสามเมืองเป็นหนึ่ง สร้างสวนธรรมชาติงดงาม
ข้างสะพานหินมีป้ายไม้ใหญ่สูงราวครึ่งตัวคนตั้งอยู่โดดเด่นเป็นสง่า เขียนว่า ‘นักท่องเที่ยวห้ามผ่าน’
รถม้าผ่านสะพานหินไปก็จะพบกันภาพป่าดอกเหมยตรงหน้า ตะวันออก ใต้ ตะวันตก สามด้านล้วนมีทางลาดด้วยหินชิงสือให้รถม้าแล่นผ่าน มุ่งไปยังสามจวนพักตากอากาศที่คนละเจ้านาย
เมืองลั่วสุ่ยตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ดังนั้นรถม้าแล่นมาตามเส้นทางปูลาดหินชิงสือตะวันออกสุด
มาตามเส้นทางลาดหิน สองข้างทางก็มีต้นนุ่นที่ให้ดอกสีขาวปลูกเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากฤดูใบไม้ผลิไปยังฤดูร้อน ดอกนุ่นกำลังแย่งกันบานสะพรั่งต้อนรับเจ้านายกลับบ้าน
ผ่านมาได้ราวสามลี้ก็จะเห็นหมู่อาคารตั้งสลับกันอย่างมีเอกลักษณ์เบื้องหน้า หยางจิ้งจือรู้ว่าที่นี่ก็คือเมืองลั่วสุ่ยมาก่อน เป็นเมืองเล็กๆ ที่มีชาวบ้านสามสิบกว่าครัวเรือน พอเหลียงเอินไจ่ซื้อไป ก็มีบางครอบครัวที่เห็นแก่เงินที่เขาจะให้ เลยย้ายไปจากเมืองลั่วสุ่ย สุดท้ายเหลือแค่ยี่สิบห้าครัวเรือนที่บรรพบุรุษตั้งรกรากอยู่ที่นี่ จึงร่วมมือกับเหลียงเอินไจ่ ทำให้เมืองลั่วสุ่ยเป็นจวนพักตากอากาศส่วนตัวที่ไม่แพ้กับเมืองฝานฮัวและเมืองชิงเถียน
เขาใช้เวลาถึงหนึ่งปีเต็มๆ สร้างเรือนหลักของเขางดงามไม่แพ้สวนดอกไม้สี่ฤดู ยังซ่อมแซมบ้านเรือนให้พวกชาวบ้านไม่คิดเงิน ปูลาดพื้นด้วยหินชิงจวนเป็นทางเดิน ให้กล้าไม้ดอกที่หายาก ให้ชาวบ้านปลูกรอบบ้านพวกเขา ปรับปรุงเมืองลั่วสุ่ยให้กลายเป็นสวนดอกไม้สี่ฤดูที่สวยงาม แต่ละแห่งงามราวกับฤดูใบไม้ผลิ ทุกอย่างที่นี่เขาต้องการแค่แบ่งปันความสุขร่วมกับนางคนเดียว
ที่ตั้งจวนของเขาอยู่ทางมุมตะวันตกเฉียงเหนือสุดของเมืองลั่วสุ่ย หลังจวนก็คือทะเลสาบใสกระจ่างธรรมชาติ ก็คือแม่น้ำที่ไหลมาจากยอดเขาซิ่วเฟิง เป็นสายน้ำไหลผ่านเมืองฝานฮัว อ้อมไปเมืองชิงเถียน สุดท้ายมาลงทะเลสาบงดงามธรรมชาติที่มุมตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองลั่วสุ่ย เป็นทะเลสาบธรรมชาติอันงดงาม ชื่อว่า ทะเลสาบลั่วหู
จวนเหลียงเอินไจ่สร้างติดทะเลสาบ สองด้านพิงภูเขา หน้าหนึ่งติดน้ำ อีกด้านก็ปลูกป่าดอกไม้นานาพันธุ์ มีร่มไม้คลุมเส้นเชื่อมต่อไปยังเส้นทางหลวงเมืองฝานลั่ว
บนทะเลสาบยังมีเรือลำงามจอดอยู่ลำหนึ่ง พายทวนน้ำขึ้นไปจวนพักตากอากาศชิงเถียนที่มีทิวทัศน์งดงาม และยังไปถึงทางด้านใต้ของจวนพักตากอากาศฝานฮัว ไปยังสระบัวตระกูลหลินที่ผู้ใหญ่และเด็กล้วนชื่นชอบ
ฤดูร้อนยามดอกบัวผลิบาน นั่งอยู่บนเรือชื่นชมใบบัวสีเขียวและดอกบัวบาน เป็นที่แสนหวานที่สุดเรื่องหนึ่งที่เขาได้ทำกับนาง
“ไปพักผ่อนก่อนสักครู่ อีกสักครู่ค่อยนั่งเรือไปบ้านหลินกัน วันนี้เทศกาลตวนอู่ คืนนี้ทุกคนจะได้รวมตัวกันพร้อมหน้า” เขาพานางไปยังห้องรับรองแขกพิเศษ ซึ่งก็คือห้องที่ติดกับห้องนอนของเขา มองดูขอบตาดำคล้ำของนางอย่างนึกสงสาร เมื่อคืนนางถูกเขาโรมรันทั้งคืน เช้าวันนี้ตื่นมาก็รีบไปตรวจที่โรงหมอ หากไม่พานางกลับมาพักผ่อนก่อน ไม่แน่นางอาจจะอดทนถึงคืนนี้จึงจะยอมพัก
“เจ้า…พาข้ามา…ก็เพื่อ…ให้ข้าพักผ่อน?” นางอึ้งมองเขา ในใจอยู่มีความรู้สึกซาบซึ้งใจผุดขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
สองภพรวมกันก็ไม่เคยถูกใครบีบให้พักผ่อน แม้เป็นบิดามารดาของนาง ตอนนางเรียนหมออยู่เจ็ดปีก็ไม่เคยใส่ใจสุขภาพนางสักนิด เอาแต่กำชับให้นางขยันเรียนหนังสือ ให้จบการศึกษาอย่างสวยงาม หางานดีที่ใครๆ ต่างอิจฉา จะได้ทำให้พวกเขามีหน้ามีตา
นางผ่านชีวิตจริงมาเช่นนี้
นานเข้านางก็เริ่มลืมไปนานแล้วว่าตนเองก็เป็นผู้หญิง ต้องการคนมาเอาใจใส่ ต้องการคนมาทะนุถนอมเช่นกัน สามปีมานี้เผชิญหน้ากับเหลียงเอินไจ่ที่สารภาพรักบอกความในใจกับนางไม่เพียงแค่ครั้งเดียว นางก็ได้แต่หลบเลี่ยงหลบซ่อน ไม่รู้ควรจะตอบรับอย่างไร
นางควรยินดีจึงจะไม่ผิดต่อเขา
“ไม่อย่างนั้นล่ะ?” ใบหน้าหล่องามกระจ่างของเขาเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้มจ้องมองนาง ระงับความต้องการเบื้องล่างของตน ส่งนางเข้าห้องพักกล่าวว่า “นอนหลับดีๆ สักตื่น ตื่นมาหิวก็ไปกินข้าวที่บ้านหลินกันสักมื้อ”
หยางจิ้งจือแอบนึกขำ มีพี่ชายภรรยาที่ไหนกัน ที่เอาแต่คิดจะไปกินไปดื่มที่บ้านน้องเขยอยู่เรื่อย ไม่พอยังคิดจะเอาสุราดีที่พวกเขาบ่มเองกลับบ้านอีก
เหลียงเอินไจ่จ้องมองประตูห้องพักที่ปิดลง เงียบไปเป็นนานก่อนจะถอนหายใจเบาๆ กลับห้องหนังสือไป
จ้องมองข่าวที่โหลวสยาเอ่อร์ฝากหอกว่างชื่อโหลวส่งมาจากเมืองหลวงไม่กี่วันก่อน ใจไม่อาจนิ่งสงบได้อยู่เป็นนาน
ฮ่องเต้ประชวรหนัก ในวังวุ่นวาย
แน่นอนเขารู้ ที่ว่าวุ่นวายนั้นหมายถึงอะไร ฮ่องเต้โอรสมาก แต่ที่มีความสามารถแท้จริง แทบจะ…ไม่มี…
ไม่ว่ามอบให้ผู้ใด ก็ล้วนส่งผลต่อความสงบสุขแผ่นดินต้าหุ้ย รอบด้านมีแต่แผ่นดินเพื่อนบ้านที่จ้องจะเขมือบเนื้อก้อนอวบอย่างแผ่นดินต้าหุ้ย…ดังนั้นเขาเป็นผู้อยู่ในสถานะกุมอำนาจหลักทางการทหาร ไม่อาจไม่เคลื่อนกำลังขึ้นเหนือในตอนนี้
สำหรับเมืองฝานลั่ว เขาจัดการหาคนดูแลงานเจ้าเมืองแทนแล้ว ตอนเขาไม่อยู่ มีอำนาจจัดการและรับผิดชอบความปลอดภัยเมืองฝานลั่วทั้งหมด
เพียงแต่ เขาไม่อาจตัดใจไปจากนาง! หากเขาไป วาสนาเขาและนางก็คงขาดกัน นางอาจแค้นใจเขา กว่าจะทำให้นางเปิดใจยอมรับเขา แต่เขากลับทิ้งนางแล้วก็ไป…นี่คือผลที่เขาไม่อยากเห็นที่สุด แต่กลับต้องให้เขาเลือก…
……
สารถีลงแส้ให้ม้าหยุดตรงปากทางเข้าจวนพักตากอากาศชิงเถียน
“เถ้าแก่ใหญ่ ไม่ต้องให้ส่งท่านเข้าไปจริงหรือ” พอสารถีโดดลงจากรถมาก็รีบลากม้านั่งมารอรับ เลิกม่านรถม้าขึ้น มองสตรีที่เหยียบม้านั่งลงมาอย่างระมัดระวังด้วยความเป็นกังวล
“ไม่ต้องแล้ว ข้าอยากจะค่อยๆ เดินไปเอง เดี๋ยวเจ้ายังต้องวิ่งไปอีกสองที่ รีบกลับไปละกัน” เซียงหลัน ยิ้มโบกมือบอกให้คนขับกลับเข้าเมือง อุ้มท้องที่เห็นเด่นชัดแล้วค่อยๆ เดินไปที่บ้าน
เมืองชิงเถียนหลังจากปรับปรุงแล้วก็กลายเป็นจวนพักตากอากาศส่วนตัวของเซวี่ยลี่ หลังจากนางแต่งงานกับเจี้ยนเหิง เซวี่ยลี่ก็มอบเรือนสี่ประสานงดงามหลังหนึ่งให้พวกนางสองสามีภรรยาเป็นของขวัญ
หลังแต่งงาน ซูสุ่ยเลี่ยนถามนางว่าจะยังยอมไปเป็นเถ้าแก่ดูแลร้านผักดองเหอหยวนที่เมืองฝานลั่วไหม นางเห็นด้วย หนึ่ง ร้านผักดองถือเป็นกิจการของเหอหยวน ในร้านมีขายผักดองและเนื้อดองซีอี๊ว ร้านผักดองเหอหยวนรับผักผลไม้และเนื้อสัตว์ของชาวบ้านสามจวนพักตากอากาศ เพราะตั้งแผงขายผักสดก็ขายไปได้ไม่มากเท่าไร และยังเน่าเสียง่าย ดังนั้นซูสุ่ยเลี่ยนจึงเสนอขึ้น พวกชาวบ้านตอบรับแข็งขัน สองปีก่อนร้านผักดองเหอหยวนร้านแรกก็เปิดกิจการในเมืองฝานลั่ว ขายผลิตภัณฑ์ดองซีอิ๊วที่ปลูกเองดองเองของร้านผักดองเหอหยวน นางกับเจียงหลิน คนหนึ่งดูแลบัญชี อีกคนดูแลสินค้า และเรียกรับสมัครชาวบ้านจากสามจวนพักตากอากาศที่ยินดีมาทำงาน ปีหนึ่งมานี้กิจการดีอย่างมาก
ดังนั้นปีก่อน ร้านผักดองเหอหยวนก็ขยายกิจการ พร้อมกันควบรวมกิจการร้านข้างๆ ที่เป็นคู่แข่งแต่สู้พวกเขาไม่ได้ไปด้วย จากร้านค้าสองห้องก็ขยายเป็นสี่ห้อง ผักดองแต่ละอย่างก็เพิ่มชนิดขึ้น และยังรับสมัครคนงาน คนแบกหาม คนต้อนรับ และคนเก็บเงินมาเพิ่ม…
ร้านผักดองเหอหยวนจึงได้กลายเป็นกิจการดองซีอี๊วที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฝานลั่วด้วยเหตุนี้
สำหรับการแปรรูปอาหารดองก็ไม่ได้ทำที่ร้านอาหารดอง แต่ไปทำกันทางตะวันออกสุดของจวนพักตากอากาศชิงเถียน โรงแปรรูปผลิตภัณฑ์ดองซีอี๊วบนพื้นที่สองหมู่ แต่หากคนไม่รู้ มองจากกำแพงด้านนอก ยังคิดว่าเป็นจวนพักส่วนตัว เพราะว่ากำแพงล้อมรอบด้วยต้นไหวเขียวขจี ในนั้นแบ่งออกเป็นด้านหน้าและด้านหลัง ด้านหน้ามีห้าห้อง ไว้ดองผักดองที่กรรมวิธีต่างกัน ด้านหลังมีอีกห้าห้องและห้องใต้ดิน ล้วนเป็นห้องเก็บ แบ่งแยกเก็บตามอุณหภูมิผักดองที่ต้องการแตกต่างกัน
งานต่างๆ ในโรงแปรรูปล้วนเป็นแรงงานชาวบ้านสามจวนพักตากอากาศ เป็นแรงงานสัญญาระยะยาว ส่วนใหญ่ก็เป็นชาวบ้านเดิมในจวนพักตากอากาศชิงเถียน
หนึ่ง เดิมเมืองชิงเถียนที่นาดีน้อย ชาวบ้านครึ่งหนึ่งอาศัยอาชีพอื่นยังชีพ เช่นล่าสัตว์ ช่างปูน ช่างไม้ ช่างหินอะไรพวกนี้ ดังนั้นจึงไม่ค่อยยุ่งงานเพาะปลูกกันเท่าไร พวกป้าๆ น้าๆ แต่ละบ้านก็มีเวลาว่างมาก โดยเฉพาะตอนกลางวัน เด็กๆ ทุกบ้านไปเรียนกันที่สำนักศึกษาฝานฮัว พวกนางก็จะยิ่งว่างเข้าไปอีก
โรงแปรรูปตั้งอยู่ที่นี่ ก็เพื่อสะดวกให้พวกนางมาทำงานกันทุกวัน ทุกห้าวันก็จะไปเก็บผักสดจากสามจวนพักตากอากาศ สำหรับเนื้อสัตว์อย่างหมูเป็ดไก่วัวอะไรพวกนี้ก็จะรับซื้อเดือนละครั้ง ราคารับซื้อก็จะกำหนดโดยเจ้านายสามจวนพักตากอากาศ ฤดูเก็บเกี่ยวให้ราคาต่ำหน่อย แต่หากเจอภัยแมลงศัตรูพืชหรือภัยธรรมชาติอื่น ผลผลิตได้น้อย ก็จะให้ราคาสูงหน่อยที่ชาวบ้านพอจะรับได้
กิจการเปิดมาได้สองปี อาหารดองของร้านผักดองเหอหยวนก็มีชื่อเสียงไปไกลต่างเมือง มีร้านค้าต่างเมืองได้ยินกิตติศัพท์ก็มาเจรจาการค้ากับร้านอาหารดอง ถึงกับลากรถม้าใหญ่ม้าเทียมสี่ตัวข้ามสะพานมาจอดหน้าร้านผักดองเหอหยวนเพื่อขนสินค้ากันเลยทีเดียว
จวนพักตากอากาศชิงเถียนมีโรงแปรรูปอาหารดองทำให้ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านได้มาก
ตอนแรกยี่สิบสามครัวเรือนที่ไม่ได้เห็นแก่เงินสามสิบตำลึงทีเดียวแล้วก็ยอมทิ้งเมืองไป ตอนนี้ทุกคนล้วนหน้าบานยิ้มแย้ม
เหอหยวนจ้างชายจากตระกูลนายพรานมาลาดตระเวน ห้าวันพักหนึ่งวัน ผลัดกันกลุ่มละสองคน มาลาดตระเวนในและนอกเหอหยวน ดูแลชาวบ้านเหอหยวน แน่นอนหอกว่างชื่อโหลวเองก็ส่งคนมาทุกวัน รับหน้าที่อารักขาหลักเหอหยวน
พอเป็นเช่นนี้ ก็ลดความกังวลของชาวบ้านที่ทำงานให้เหอหยวนลงได้
“เถ้าแก่ใหญ่ วันนี้กลับมาเร็วจัง?” นางเซียวที่เพิ่งกลับมาจากโรงแปรรูปเตรียมกลับบ้านทำอาหารกลางวัน เข้าไปประคองเซียงหลันที่เดินมาตามเส้นทางต้นนุ่น หรี่ตามองพลางทักทาย
“ใช่แล้ว” เซียงหลันยิ้มพยักหน้าตอบ จากสาวใช้เลื่อนเป็นเถ้าแก่ จนมาเป็นเถ้าแก่ใหญ่ การเปลี่ยนแปลงสามขั้นตอนนี้ทำให้บางครั้งนางยังตั้งตัวไม่ทัน ยังไม่ชิน ยังมีอีกสถานะ ก็คือภรรยาของเจี้ยนเหิง แม้ว่าแต่งงานมาได้สองปี ลูกในท้องอีกสามเดือนก็จะคลอดแล้ว นางกับเขายังคงรักกันไม่ได้จืดจางไปตามกาลเวลา
บางทีการพบกันของพวกเขาสองคนนั้นเร็วเกินไป สองปีก่อน ตอนที่กว่านางจะปล่อยวางความคิดถึงที่มีต่อเจี้ยนเหิงลงได้ อยู่ๆ เขาก็กลับมาจากเซวี่ยหมิง
ไม่เพียงแต่กลับมา แต่จากนี้ไปจะตั้งรกรากที่นี่ ไม่ไปไหนอีกแล้ว การนี้ได้รับการสนับสนุนจากเซวี่ยลี่ ในทันที นางแต่งงานกับเจี้ยนเหิง เป็นภรรยาของเขาแล้ว
นางยืนอยู่หน้าประตูบ้านตนเองที่ปิดสนิท มองลอดผ่านรั้วเขียวขจีเข้าไปด้านในเป็นเรือนสี่ประสานขนาดเล็กกระทัดรัดสี่เหลี่ยม ต้นท้อที่ลานบ้านออกลูกดกเต็มต้นกำลังรอคนเก็บ
ดอกหลันฮวาเขียวชอุ่มสะพรั่งหลายพุ่มข้างกำแพงต้องลมพลิ้วไหว
“คิดอะไรอยู่” เสียงทุ้มดังขึ้นด้านหลังนาง นางรีบหันกลับไปมองอย่างดีใจ ตามคาด เป็นเจี้ยนเหิงอมยิ้มยืนอยู่ด้านหลังนาง เขาคว้าห่อผ้าไปคล้องไว้ที่ไหล่เขา
“เจ้ากลับมาแล้ว!” นางกระซิบแผ่วเบา ออกไปทำงานมาครึ่งเดือน ทำให้นางคิดถึงจนแทบทนไม่ไหว
“อืม กลับมาแล้ว” เขายื่นมือออกไปประคองนางไว้ “ทำไมไม่ให้พวกเขาเข้ามาส่ง”
“ข้าชอบเดิน คุณหนูบอกว่าเดินให้มากๆ ตอนคลอดลูกก็จะได้ราบรื่น” นางอธิบายเอียงอาย
“อืม อย่างนั้นเข้ามาพักก่อน อีกสักครู่ไปเมืองฝานฮัวฉลองเทศกาลตวนอู่กัน”
“ได้!” นางยิ้มทำตามอย่างว่าง่าย เขารั้งนางเดินเข้าบ้านไป