เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา - ตอนที่ 149 เทศกาลตวนอู่ (ตอนที่สอง)
“อืม…เล่า…ข้าไม่ไหวแล้ว…” ขาขาวละมุนพาดอยู่บนบ่าเขา ทั้งร่างบอบบางไร้เรี่ยวแรงน่าสงสาร ทำให้ส่งเสียงครางอยู่ใต้ร่างเขา
“ทนอีกนิด…” ซือเล่าแทรกตัวอยู่ในกายนาง เหงื่อยังคงหยดจากหน้าผากลงบนร่างเปลือยแดงระเรื่อของนาง ความรู้สึกต้องการกำลังโหมกระหน่ำ
“อา…” เสียงสุดท้ายจบลง นางและเขาได้ถึงความอภิรมย์ที่วาดหวังมาครึ่งปีอย่างไม่อาจถอนตัว…
ใช่แล้ว ครึ่งปี เขาจากไปได้ครึ่งปี ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปไหน บางทีอาจไม่มีคนต้องการบอกนาง เขาอยู่ร่วมกับผู้ใดไปแล้ว หรือว่า ยังเหมือนกับนาง ค่ำคืนเงียบเหงาเดียวดาย…
เขายอมอยู่ในกายนานนิ่งอยู่พักหนึ่งก่อนจะถอยออกไป ลุกขึ้นเดินไปชำระล้างร่างกายห้องน้ำข้างห้องนอน
เจียงอิ้งอวิ๋นหลับตา พยายามระงับน้ำตาที่กำลังจะไหลพราก ตั้งแต่คืนในฤดูใบไม้ร่วงเมื่อสามปีก่อน นางฉวยโอกาสที่เขาเมา มอบกายให้เขา ทุกครั้งยามเทศกาลที่เหอหยวน นางก็จะลอบพบกับเขา และร่วมอภิรมย์…เรื่องนี้ทำให้นางคิดถึงเมื่อใดก็รู้สึกต่ำต้อยในใจ แต่ทุกครั้งที่เห็นเขากลับมาก็อดคิดมากอดเขาไว้ไม่ได้ อยากจะจุมพิตเขา อยากจะ…ต้องการเขา…แม้ว่าในใจเขาจะเห็นนางเป็นสตรีหอคณิกาก็…ไม่เป็นไร…
“ร้องไห้ทำไม” เสียงกระชากดังขัดความคิดนางขึ้น นางยกมือขึ้นปาดน้ำตา พยายามระงับแล้วระงับอีก ก่อนจะลืมตาขึ้น
ซือเล่าขมวดคิ้วนั่งหัวเตียงจ้องมองนางไม่กะพริบ เห็นขอบตานางมีหยาดน้ำตา ในใจก็มีความรู้สึกประหลาด เป็นความทะนุถนอมหรือ ฮา…นักฆ่าเย็นเยียบไร้ใจอย่างเขารู้สึกทะนุถนอมด้วย? อย่ามาล้อเล่นน่า
แต่ทำไมพอเห็นนางแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรและปาดน้ำตาตนเอง ยิ้มลุกขึ้น เสื้อผ้าตัวในถูกเขาฉีกขาด ตอนนี้คลุมด้วยเสื้อตัวนอกที่ยับยู่ยี่ ในใจเขาก็แอบปวดปลาบขึ้นมาทันที
“มาครั้งนี้…จะไปตอนไหน” เจียงอิ้งอวิ๋นแอบสูดลมหายใจเต็มแรง แสร้งถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
ซือเล่ามองนางอย่างแปลกใจ ในใจแอบขัดใจ แต่ปากกล่าวออกไปทันทีว่า “ทำไม คิดอยากไล่ข้าไปแล้ว?”
ไล่เขาไป? ไม่ ไม่ ไม่ นางอยากให้เขาอยู่เสียด้วยซ้ำไป
“เจ้า…ไม่ไปแล้ว?” เป็นดังที่นางเข้าใจใช่ไหม
“ค่อยว่ากัน เจ้าถามทำไม” เขาหลบแววตาเป็นประกายของนาง หันเดินไปที่หน้าต่าง คว้าหนังสือบนโต๊ะมาพลิกไปมาเล่มหนึ่ง หนึ่งคน หนึ่งกระบี่ ท่องยุทธภพ ทำให้เขาเหนื่อยแล้ว สามปีก่อน เขาก็คิดผละออกจากยุทธภพมาแล้ว จึงได้มาอยู่ที่นี่ แต่สามปีต่อมา ไม่ว่ากลับมาครั้งไหน นางก็จะมาหาให้เขาโอบกอดเอง ทุกครั้งที่จากไป ในใจก็มีเริ่มมีนาง แม้ว่ายังคงเป็นคนเดิม แต่ความคิดถึงไม่ได้น้อยเหมือนเดิม นับประสาอันใดกับเขาเกินเลยนางไปหลายรอบแล้ว หากยังไม่ให้สถานะนางอีก ใช่ว่าจะเกินไปหน่อยไหม
“ไม่มีอะไร คือว่า…ข้ากลับก่อน” นางเก็บของเสร็จก็เดินอ้อมด้านหลังเขาไปเบาๆ อยากจะกอดเขาอีกสักครั้ง แต่เขาจงใจเว้นระยะห่าง ทำให้นางมองอย่างขลาดกลัว คิดไปคิดมา สุดท้ายได้แต่ยิ้มบาง หันหลังเดินจะออกจากประตูไป
“กลับมา” เขาหันมาเรียกนางไว้ เห็นนางตกใจ พลันรู้สึกพึงใจ นางต่อหน้าคนอื่นเป็นเถ้าแก่รองที่ทำการค้าคล่องแคล่ว แต่ต่อหน้าตนเองเป็นเพียงสตรีตัวน้อย
“เจ้า…เจ้าว่าอะไรนะ” เจียงอิ้งอวิ๋นกะพริบตา แววตาเว้าวอนอย่างไม่เข้าใจ นางไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม เขาถึงกับให้นางกลับไป กลับไปข้างกายเขา ไม่ให้นางจากไป จริงหรือนี่
ซือเล่าไม่กล่าวต่อ หากก้าวเข้ามาดึงนางกลับไปนั่งที่เตียง ไม่รู้ว่าควักเอากำไลหยกมรกตมีประกายใสกระจ่างออกมาตอนไหน สวมเข้าที่ข้อมือนาง
“นี่…” เจียงอิ้งอวิ๋นจ้องมองกำไลหยกไม่กะพริบ เงยหน้าขึ้นมองเขา “เจ้า…”
“ทำไม ไม่ชอบ?” เขาขมวดคิ้ว คิดจะถอดมันออก เห็นนางรีบดึงมือกลับ “ไม่ให้ถอด” นางแอบเขินอาย “ในเมื่อให้ข้าแล้ว ก็เป็นของข้า” นางจะไม่ยอมให้การกระทำที่ยากกว่าที่เขาจะก้าวออกมาทำเช่นนี้ ถูกอาการตกตะลึงของนางทำพังลง
“ข้าดีใจมาก…ซือเล่า…” นางหรี่ตาลงสะอื้นแสดงความในใจนาง เพียงแต่น้ำตาที่น่าตายนี่ทำไมเอาแต่ไหลรินออกมาอย่างน่าตายเช่นนี้
“ที่แท้ คนดีใจแสดงอาการกันเช่นนี้…” ซือเล่ายิ้มมุมปาก ปฏิกิริยาของนางเหนือกว่าที่เขาคาดไว้ และก็ทำให้เขาที่ไม่ค่อยได้รู้สึกอะไรกับสิ่งใดมานานแล้ว คิดจะทำให้นางได้ดีใจเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ
“เจ้าหัวเราะเยาะข้าได้เลย ขอเพียงเจ้าไม่จากข้าไปอีก ไม่ปฏิเสธข้าเข้าใกล้อีก…แม้ว่าหัวเราะเยาะข้าก็ไม่เป็นไร…” นางเข้ากอดเอวเขาไว้ ซุกศีรษะลงหน้าอกอบอุ่นแข็งแกร่งของเขา วาจาตื่นเต้นยินดีพรั่งพรูไม่หยุด
“เฮ้อ…” เขาประคองใบหน้านางขึ้นกระซิบว่า “ข้าไม่ใช่คนดี…”
“ข้าไม่สนใจ…” นางส่ายหน้าสะอื้น
“อายุสิบสองข้าก็เริ่มฆ่าคนแล้ว สองมือเปื้อนเลือด…”
“ข้าไม่สนใจ…”
“ข้าดูแลคนไม่เป็น…”
“ข้าจะดูแลเจ้าเอง…”
“…”
“ไม่ว่าเจ้าคิดทำอะไร ข้าก็ย่อมสนับสนุน ขอเพียงอย่าทิ้งข้าไป ให้ข้าไม่เจอเจ้ามาครึ่งปีเช่นนี้อีก…ขอร้อง…”
เฮ้อ เขาจะพูดอะไรได้อีก มีคนยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อเขา เขาจะปรารถนาอะไรอีก
“พวกเราแต่งงานกันเถอะ อิ้งอวิ๋น…” เขากระซิบให้คำมั่นสัญญาข้างใบหูนาง “วาจานี้ ข้าติดค้างเจ้ามาสามปีแล้ว”
……
คืนเทศกาลตวนอู่ที่เหอหยวน สุดท้ายเปลี่ยนเป็นพิธีแต่งงานของเจียงอิ้งอวิ๋นกับซือเล่า ทำเอาทุกคนที่ไม่รู้มาก่อนพากันตกใจ นอกจากซูสุ่ยเลี่ยน
“แม้เขาเอ่ยปากต้องการแต่งกับเจ้า ก็จะแต่งวันนี้ มันเร็วไปไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง พิธีแต่งงานยังมีฤกษ์ยาม นางอยู่กับเจียงอิ้งอวิ๋นในห้องตระกูลหลินเพื่อรอฤกษ์มงคลไปไหว้ฟ้าดินที่เรือนสวนไผ่
“ไม่เป็นไร ก็แค่พิธีการ” เจียงอิ้งอวิ๋นยิ้มบาง ทำให้เขาเอ่ยปากออกมาได้ก็ทำให้นางดีใจมากแล้ว นางย่อมไม่สนใจพิธีการใหญ่โตอะไร
“แต่อย่างไร…พี่สาวเจ้าคงโมโหน่าดู” คิดถึงว่าซือถูอวิ๋นเล่าตอนนำข่าวไปบอกเจียงอิ้งเยว่แล้วก็อดหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้
“พี่ใหญ่ควรดีใจ” เจียงอิ้งอวิ๋นยิ้มมุมปาก มองไปยังตนเองในกระจกที่แต่งหน้าเรียบง่าย นางรู้สึกพึงพอใจแล้วจริงๆ
“นางเตรียมสินออกเรือนให้เจ้าหลายคันรถม้า” ซูสุ่ยเลี่ยนหัวเราะเบาๆ ให้กับเจียงอิ้งอวิ๋นอย่างอดไม่ได้ “เจ้านี่นะ ใจกล้ากว่าจิ้งจืออีก” ถึงกับกล้าปิดบังทุกคนคบหากับซือเล่ามาสามปี อ้อ ไม่ควรเรียกว่าคบหา ปีหนึ่งพบกันแค่สองสามครั้ง แต่ละครั้งยังถึงกับ…
“เจ้าควรชำนาญยิ่งกว่าถึงจะถูก ทำไมหน้าแดงล่ะ” เจียงอิ้งอวิ๋นมองหน้าแดงก่ำของนาง อดสัพยอกค้อนใส่นางไม่ได้
“แค่ก…” ซูสุ่ยเลี่ยนแสร้งทำกระแอมไอ ลูบใบหน้าแดงจัดของตนเอง “ข้าออกไปดูหน่อย มีเรื่องอะไร มีเฟิ่งถิงอยู่หน้าห้องนะ”
“ได้ ข้าไม่เป็นไร ก็แค่รอฤกษ์ ฤกษ์มงคลถึงก็แต่งงานเท่านั้น” เจียงอิ้งอวิ๋นโบกมือไหวๆ เร่งให้ซูสุ่ยเลี่ยนออกไปจัดการงานของนาง
ถึงกับจะแต่งงานแล้ว ห่างจากที่เขาเอ่ยขอนางไม่ถึงสามชั่วยาม นางก็จะแต่งเป็นภรรยาเขาแล้ว นางกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจ ไม่ยอมกลับร้านปักและไม่คิดเตรียมตัวมาก ให้สุ่ยเลี่ยนส่งคนไปบอกพี่สาวนาง ให้นางมาร่วมงาน พิธีคำนับก็รับแค่คำนับจากนางและเขาสามทีก็พอ
พี่สาวย่อมโมโหไม่น้อย แต่อย่างไรนางก็คงคิดได้เอง อย่างไรนางก็ควรยินดีที่น้องสาวนางแต่งออกแล้ว จากนี้ไปนางก็ไม่ต้องลงแรงหาคู่แต่งงานให้น้องอีก…
……
“จัดการเรียบร้อยหมดแล้วหรือยัง” ซูสุ่ยเลี่ยนออกจากห้องมาก็เห็นชุนหลันโบกมือให้สาวใช้และบ่าวชายรีบออกไปที่เรือนต้นสน
“เจ้าค่ะ จัดการตามที่ฮูหยินสั่งการไว้หมดแล้ว เหลือแค่อักษรมงคลและกลอนมงคล บ่าวจะรีบหาคนมาแปะ” ชุนหลันยิ้มตอบ โชคดีที่เป็นช่วงเทศกาลตวนอู่ ในจวนมีคนไม่น้อย ให้ชาวบ้านแบ่งงานกันทำ ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็จัดการเก็บกวาดสะอาดทั้งหมด ในจวนไม่ได้มีเรื่องครึกครื้นเช่นนี้มานานแล้ว พอได้ยินว่าคืนนี้มีงานมงคล ก็ยิ้มแย้มหน้าบานกันทุกคน
“อืม ส่งคนไปรอที่หน้าประตู ข้าคิดว่าสินออกเรือนจากร้านผ้าปักจะมาถึงแล้ว” ซูสุ่ยเลี่ยนพยักหน้าสั่งการเสร็จ ก็รีบก้าวไปยังศาลาแปดเหลี่ยมริมสระบัว ตามคาด พวกสี่ซือนอกจากไม่มีซือทั่วที่ยังมาไม่ถึง ที่เหลืออีกสามคนล้วนยืนหารืออะไรกันอยู่สักอย่าง
“อาเย่า” นางกวักมือเรียกหลินซือเย่า
“ทำไมหรือ” หลินซือเย่าทะยานออกมาจากศาลาแปดเหลี่ยม ประคองนางเข้ามาในศาลา
“คือว่า ซือเล่า เจ้าควรกลับไปเปลี่ยนชุดเจ้าบ่าวไหม” ซือถูอวิ๋นนำชุดเจ้าสาวเจียงอิ้งอวิ๋นกลับมา และยังมีของซือเล่าด้วย ไม่ว่าโมโหน้องสาวอย่างไร ก็ควรจะดำเนินการให้สมฐานะ
“ชุดเจ้าบ่าว? ใช่ ใช่ ใช่ อาเล่า ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้า” ซือชงได้ยินก็รีบดึงซือเล่าที่ยืนตัวแข็งทื่อออกจากศาลาแปดเหลี่ยม
“เรือนหออยู่ที่เรือนต้นสน อย่าเดินผิดทาง” ซูสุ่ยเลี่ยนรีบกำชับบอกพวกเขาสองคน
“เหนื่อยไหม” หลินซือเย่าประคองนางค่อยๆ เดินกลับไปยังห้องโถง
“ไม่เหนื่อย เพียงแต่รู้สึกว่าซือเล่าไม่รู้ความ” ซูสุ่ยเลี่ยนแอบบ่นไม่พอใจ
“ไม่รู้ความ? เอ่อ…” หลินซือเย่ายิ้มกอดนางแน่น กระซิบถามนางว่า “ตอนแรกท่าทีข้าดีกว่าเขาใช่ไหม”
หูนางร้อนผ่าว หวนคิดถึงภาพงานแต่งของเขาและนางราวกับยังกระจ่างอยู่ในความทรงจำ
นางและเขาตอนนั้นก็ไม่รู้อะไร ล้วนคลำเอาจากเพื่อนบ้านจนมีประสบการณ์เอง
“ซือเล่าเขาอาย แต่ไรมาเขาไม่เคยคิดแต่งงาน หรืออาจบอกได้ว่านักฆ่าอย่างพวกเรา แต่ไรมาไม่เคยคิดแต่งภรรยา”
“แต่อิ้งอวิ๋นรอเขามาสามปี” นางขมวดคิ้วอย่างรู้สึกไม่ยุติธรรม
“แต่นางก็ไม่เคยบอกให้เขารู้ว่าควรทำอะไรนี่ อย่าคิดว่าแค่รอก็จะได้มา” หลินซือเย่าเม้มปากอย่างไม่เห็นด้วย
“อย่างนั้นเจ้าล่ะ ตอนแรกทำไมเสนอเช่นนั้น…คิดแต่งกับข้า?”
“ข้ารู้ความกว่าซือเล่าหน่อย…” แววตาเขาแอบหัวเราะนาง รอยยิ้มที่ทำให้นางหลงใหล ล้วนเป็นแม่คนแล้ว ยังถึงกับมองเขาแล้วเขินอายอีก…
……
ตามคาด ยามเซินผ่านมาได้ครึ่งชั่วยาม รถม้าจากร้านผ้าปักเยว่อวิ๋นสิบแปดคันรถก็มาจอดที่เหอหยวน นำสินเดิมเจ้าสาวมาส่งมอบเต็มคันรถ ขนกันจนคนงานมือไม้อ่อนหมดแรง
“ในเมื่ออวิ๋นเอ๋อร์ต้องตาเจ้า ข้าเป็นพี่สาวนาง นอกจากเห็นด้วยแล้วจะพูดอะไรได้ หวังแค่ว่าเจ้าจะดีต่อนาง” เจียงอิ้งเยว่นั่งอยู่ตรงกลาง รับน้ำชาจากซือทั่วที่ส่งมาให้นางดื่ม ความไม่พอใจที่อัดแน่นเริ่มคลายลง ใช่แล้ว ยังจะกล่าวอะไรได้ แต่งงานง่ายๆ อย่างไรก็ดีกว่าให้น้องสาวนางต้องอยู่อย่างไร้วิญญาณแบบสามปีที่ผ่านมา
“แต่งงานแล้ว อวิ๋นเอ๋อร์จะกลับมาร้านผ้าปักหรือไม่ข้าไม่ว่า แต่วันสิ้นปีทุกปีต้องกลับมาเยี่ยมข้า ไม่มีความเห็นเรื่องนี้ใช่ไหม” รู้ว่าแต่งกับเขาแล้ว น้องสาวก็ย่อมตามเขาออกท่องยุทธภพ ไม่อยู่ติดบ้าน เจียงอิ้งเยว่ถอนหายใจอย่างไร้หนทาง หากท่านพ่อท่านแม่ยังอยู่ คงไม่ยอมให้อวิ๋นเอ๋อร์แต่งงานรันทดเช่นนี้กระมัง ดีที่กิจการร้านผ้าปักไม่เลว นางเก็บกำไรปีละสองส่วน หนึ่งส่วนให้อวิ๋นเอ๋อร์สองสามีภรรยา คงไม่อาจปล่อยให้ร่อนเร่ยุทธภพแล้วต้องหิวท้อง แต่หารู้ไม่ว่าซือเล่าที่ดูภายนอกแล้วไม่มีอะไร แต่สะสมเงินทองไว้ไม่น้อยกว่าร้านผ้าปัก
“พี่ใหญ่วางใจ ข้าต้องพานางกลับไปแน่” ซือเล่าพยักหน้า ตอนนี้เขารู้สึกจริงๆ ถึงความสำคัญขอเจียงอิ้งอวิ๋นในใจเขา คิดว่าสามปีที่ผ่านมา นางคงบอกกับพี่สาวนางกระจ่างหมดแล้ว ไม่อย่างนั้น บิดามารดาพี่สาวที่ไหนจะยอมมอบผู้อันเป็นที่รักให้แต่งงานกับนักฆ่าโหดเหี้ยมเย็นชา
พอเห็นทุกอย่างพร้อมแล้ว ฤกษ์มงคลก็พร้อมแล้ว
เจียงอิ้งอวิ๋นในชุดเจ้าสาวคลุมหน้าก็ถูกเจียงอิ้งเยว่ส่งมือให้กับซือเล่า ซูสุ่ยเลี่ยนที่เป็นคนนอกยังอดขอบตารื้นไม่ได้
หลินซือเย่ากอดนางไว้แน่นอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรดี รู้ว่านางดีใจแทนเจียงอิ้งอวิ๋น แต่น้ำตาหยดแหมะนี่ ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากเห็น
เจี้ยนเยว่ที่ยืนอยู่ข้างซูสุ่ยเลี่ยนแอบนึกเฝื่อนขมในใจ สามปีมานี้ความพยายามของเจียงอิ้งอวิ๋น นางเห็นด้วยตานางเอง แต่กลับไม่อาจเลียนแบบ อย่างน้อยซือเล่าก็กลับมาปีละหลายครั้ง อย่างน้อยก็ไม่หลบหน้าเจียงอิ้งอวิ๋น ซือทั่วล่ะ ไม่เพียงพอเห็นนางก็หลบหน้า เทศกาลตวนอู่ปีนี้ แม้แต่มาก็ไม่มา
สามปีก่อน นางยังขอบคุณฮ่องเต้เซวี่ยหมิงที่ยอมให้นางอยู่ที่นี่ต่อ ด้วยสถานะคอยดูแลจวนพักตากอากาศชิงเถียน ช่วยงานจวนพักตากอากาศฝานฮัว ความจริงพวกเขาหวังให้นางได้มีความสุขตามที่นางปรารถนา แต่น่าเสียดาย เขาไม่ต้องการนาง…
งานเลี้ยงยิ่งใหญ่ แม้รู้ว่างานเลี้ยงจัดอย่างเร่งรีบ แต่อย่างไรก็เป็นคืนวันเทศกาลตวนอู่ที่จัดเลี้ยงพอดี ก็แค่มีคนจากร้านปักเพิ่มมา มีโต๊ะเพิ่มมาอีกสองสามโต๊ะ สองปีก่อนพื้นที่ด้านหลังก็ว่างลงจัดโต๊ะได้สิบกว่าโต๊ะพอดี และนี่ก็แค่งานเลี้ยงหกโต๊ะเท่านั้น
หลังคำนับสุราไปสามจอก แขกก็ทยอยกลับ บ่าวสาวก็ถูกซือชงรุกไล่เข้าห้องหอไป
ซูสุ่ยเลี่ยนกับหลินซือเย่าพาลูกๆ กลับบ้านหลิน ทั้งลานนอกจากบ่าวเก็บกวาดแล้ว ก็เหลือแค่เจี้ยนเยว่ที่นั่งซึมอยู่มุมหนึ่งคนเดียว
“เอ๋? เจี้ยนเยว่? ทำไมยังอยู่?” หยางจิ้งจือลืมเสื้อตัวนอกไว้เลยรีบกลับมาเอา พอเห็นเจี้ยนเยว่ ก็ตกใจถามขึ้น
“อ้อ ไปละ” เจี้ยนเยว่พยักหน้าลุกขึ้น
หยางจิ้งจือมองเห็นร่างบางเดินออกไปเดียวดายก็อดถอนใจไม่ได้ ก่อนจะรีบไล่ตามนางไป “คืนนี้พักกับเจ้าสักคืน ได้ไหม” นางอยู่ๆ ก็คิดเลียนแบบคืนโต้รุ่งตอนเรียนมหาวิทยาลัย อยากคุยกับนางตลอดทั้งคืนนี้
“ตามใจเจ้า” เจี้ยนเยว่กวาดตามองนาง ก่อนจะกล่าวออกมา บ้านใหญ่เพียงนี้มีแค่นางคนเดียว นางเองก็ไม่ได้รู้สึกเงียบเหงามานานแล้ว
“อย่างนั้นก็ดี ไป…พวกเราไปดื่มกันต่อ ข้าลักสุราดอกกุ้ยมาไหหนึ่ง” หยางจิ้งจือหัวเราะร่า ในมือมีไหสุราดอกกุ้ยชั้นดีที่ยังไม่เปิด
ผู้ชาย อยากมาก็มา อยากไปก็ไป…ล้วนไม่ใช่ของดี
มีแต่ผู้หญิงที่จะปลอบใจกันและกัน อาศัยสุราดับความกลัดกลุ้มในใจ…