เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา - ตอนที่ 155 คนรักกันย่อมได้ครองคู่กัน (ตอนที่สอง)
วันที่สิบห้า เดือนแปด เทศกาลไหว้พระจันทร์ และยังเป็นวันมงคลของจวิ้นอ๋องแห่งฝานลั่วจวิ้น
จวนจวิ้นอ๋องจัดเลี้ยงสามสิบโต๊ะ จวนพักตากอากาศลั่วสุ่ยจัดเลี้ยงยี่สิบโต๊ะ เส้นทางหลวงจากจวนจวิ้นอ๋องไปถึงจวนพักตากอากาศลั่วสุ่ย จัดโต๊ะเลี้ยงชาวบ้านในฝานลั่วจวิ้นทั้งหมด ทั้งฝานลั่วจวิ้นฉลองกันสามวันสามคืน
“ฮู่ว์! เหนื่อยจัง โชคดีชีวิตนี้มีแค่ครั้งเดียว ไม่อย่างนั้นทนไม่ไหวจริงๆ!” เดินตามหลังส่งแขกชุดส่งท้ายเสร็จ เหลียงเอินไจ่ก็กลับมาห้องหอ ถอดชุดแต่งงานตัวนอกออก มองไปทางหยางจิ้งจือที่กำลังกินอาหารและขนมบนโต๊ะราวกับเขมือบ
“วางใจ หากเจ้ายังคิดทนรับอีกรอบ ข้าต้องช่วยให้เจ้าสมหวัง” หยางจิ้งจือค้อนใส่ชายหนุ่ม ปากก็กล่าวอย่างไม่ไว้หน้า
“เจ้าคนเดียวข้าก็แทบไม่ไหวแล้ว ยังจะกล้ามีอีกหรือ ไม่มีวาสนารับ…เอ่อ ไม่ใช่ ไม่ใช่ สามีเจ้าแต่ต้นจนบัดนี้ ในใจก็มีแต่เจ้าคนเดียว สตรีอื่นไม่เกี่ยวข้องอันใดกับข้า!” เหลียงเอินไจ่เห็นหยางจิ้งจือหน้าบึ้ง ก็รีบเอาใจโอบนางขึ้นเตียง
เฮ้อ คิดแล้วก็เสียหน้า คิดดูว่าเขาเป็นถึงจวิ้นอ๋อง ประมุของค์กรจอมยุทธ์ จะจัดการภรรยาตนเองสักคน กลับได้แต่อาศัยเรื่องบนเตียง…
……
“เอ๋? ดึกขนาดนี้แล้ว ทำไมยังมีคนมาอีก โอ คุณหนูเจี้ยนเยว่ ขอโทษ บ่าวคิดว่าไปกันหมดแล้ว กำลังคิดจะลงกลอนประตูเลย” สาวใช้สองคนที่มาตรวจประตูเห็นเงาร่างคนที่มุมหนึ่งก็ตกใจไม่น้อย
“ไม่เป็นไร ข้าจะไปแล้ว” เจี้ยนเยว่ยกไหสุราในมือค่อยๆ ก้าวโงนเงนไป
“คุณหนูเจี้ยนเยว่ ต้องให้บ่าวตามรถม้ามาส่งท่านไหม” เห็นท่าเดินเจี้ยนเยว่ สาวใช้เดาว่านางต้องเมาแน่แล้ว จึงเสนออย่างมีน้ำใจ
“ไม่ต้อง” เจี้ยนเยว่ส่ายหน้า เมากี่ส่วนนางรู้ดี ยังไม่ถึงกับเดินไม่ถึงที่พักในจวนพักตากอากาศชิงเถียน
มองร่างเงาโงนเงนยิ่งไกลออกไป สองสาวใช้ก็แอบเป็นห่วง หันกลับไปมองงานเลี้ยงอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี
วันไหว้พระจันทร์ปีก่อน ในงานแต่งเจี้ยนเหิงกับเซียงหลันยังมีแม่นางโสดเป็นเพื่อนนางหลายคน แต่เทศกาลตวนอู่ปีนี้ หลังงานแต่งเจียงอิ้งอวิ๋นก็ยังมีหยางจิ้งจือกับนางเป็นเพื่อนกัน ไหว้พระจันทร์พร้อมหน้า ตอนนี้ หลังงานเลี้ยงเหลือนางเพียงคนเดียว อดทนสิบห้าปีแห่งค่ำคืนเงียบเหงามา อาศัยเพียงสุราดับทุกข์
เดินไปคิดไป ไม่ทันระวังก้อนหินกลมข้างหน้า ลื่นสะดุดกำลังจะล้ม
“ระวัง!” เงาร่างหนึ่งรับร่างนางที่เกือบจะล้มเอาไว้
พอเงยหน้าขึ้นมอง เจี้ยนเยว่มองเห็นคนที่มาชัด นางตาฝาดหรือเปล่า ทำไมเป็นเขาไปได้ เขาไม่ใช่ออกไปปฏิบัติภารกิจหรือ ในงานเลี้ยงก็ไม่เห็นเขา หรือว่าจำคนผิด?
นางเอื้อมมือออกไปประคองใบหน้าคมสันชัดเจนเย็นเยียบของเขา “เหอๆ…เหมือนจริง!”
“เจ้าเมาแล้ว” ซือทั่วขมวดคิ้ว ประคองนางขึ้นมา ให้นางได้พิงร่างตนเอง พานางไปที่พักในจวนพักตากอากาศชิงเถียน
“เมา? ก็จริง หากไม่เมา จะเห็นเขาได้อย่างไร เขาไม่อยู่แล้ว…”
คิ้วดาบซือทั่วกระตุก “อะไรคือข้าไม่อยู่แล้ว” เขารีบสะสางงานทุกอย่างเพื่อจะได้รีบย้ายหอเฟิงเหยามาอยู่ฝานลั่วจวิ้น จะได้เริ่มต้นใหม่กับนาง สตรีผู้นี้ถึงกับไม่สนใจเขา
“เหอๆ…ไม่อยู่แล้ว…ก็คือ…ข้าคิดจะลืมเจ้าให้หมดสิ้น…ถือเสียว่า…ไม่เคยพบเจ้าอย่างไร…ไม่เคยพบ…” เจี้ยนเยว่งึมงำกล่าวการตัดสินใจออกมา พลางคอตกหลับลงในอ้อมกอดเขา
ซือทั่วถอนหายใจเบาๆ อุ้มนางกระโดดทะยานพานางกลับไปส่งที่พัก เขาวางนางลงบนเตียงเบาๆ ห่มผ้าให้นาง เอียงหน้าลงจุมพิตริมฝีปากหอมกลิ่นสุราของนาง จนนางเริ่มครางเบาๆ หน้าท้องเขาเกร็งแน่น จึงได้ปล่อยนาง “ไม่อนุญาต ไม่อนุญาตให้ลืมข้า” เขากระซิบเตือนนางน้ำเสียงแน่วแน่
……
วันรุ่งขึ้นตื่นมายังไม่ทันได้คิดว่าเมื่อคืนกลับมาได้อย่างไร ก็ได้ยินเสียงประตูรั้วด้านหน้าดังปึง
นางกุมศีรษะที่ยังไม่สร่างเมาดี เจี้ยนเยว่เปิดประตูออกไปดู
“เจี้ยนเยว่ เจ้าป่วยหรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นสีหน้าซีดเผือด เห็นเจี้ยนเยว่คิ้วขมวดมุ่น ก็ตกใจรีบเข้าไปประคองนางไว้
“เปล่า แค่ดื่มมากไป” เจี้ยนเยว่ส่ายหน้า “ฮูหยินมีธุระหรือ” ไม่เคยเห็นซูสุ่ยเลี่ยนมาหานางที่นี่มาก่อน แม้ว่ามีเรื่องก็จะให้ซิ่นจือมาบอก ไม่ใช่ดูแคลนนาง แต่เพราะนางรู้ว่าฮูหยินงานยุ่งมาก
“เดิมคิดมาหาเจ้าเข้าเมืองด้วยกัน เจ้าก็รู้ อาเย่าเขาไม่วางใจให้ข้าออกไปจากเหอหยวนคนเดียว แต่เขาก็งานยุ่งมาก สองสามวันนี้อวิ๋นเอ๋อร์ก็ไปเมืองฮ่วนซาแล้ว คิดไปคิดมา ก็ต้องรบกวนเจ้าแล้ว”
“ไม่เป็นไร” เดิมนางก็เป็นองครักษ์ เซวี่ยลี่ให้นางอยู่เหอหยวนก็เพราะคำนึงถึงความปลอดภัยที่นี่ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ค่อยได้มาที่นี่ แต่ตอนนี้นางก็คือองครักษ์เหอหยวนด้วย ตำแหน่งภารกิจนี้นางไม่ลืม แม้การออกไปอารักขาเช่นวันนี้ไม่เคยมีมาก่อนก็ตาม
บางทีอย่างที่ฮูหยินว่า ซือถูอวิ๋นไม่อยู่ นางหาคนอื่นที่เหมาะสมไม่ได้กระมัง
“เจี้ยนเยว่ ซือทั่วกลับมาแล้ว เจ้ารู้ไหม” ตลอดทางมีแต่เสียงรถม้า จนออกจากเหอหยวน ซูสุ่ยเลี่ยนจึงได้ทำลายความเงียบขึ้น
เขากลับมาแล้ว? เช่นนั้นเมื่อคืนเงาร่างนั้นก็เป็นเขาจริงหรือ เขาส่งนางกลับบ้าน?
“เขากลับมา ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า” สูดลมหายใจลึกแล้วเจี้ยนเยว่ก็แสร้งทำเย็นชากล่าว
“ข้ารู้ว่าไม่เกี่ยว ก็แค่คุยเล่น” ซูสุ่ยเลี่ยนรับคำด้วยรอยยิ้มละมุน “หอเฟิงเหยาย้ายมาฝานลั่วจวิ้น วันนี้จะทำพิธีเซ่นสรวงใหญ่ ซือทั่วไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ ได้แต่ให้ข้าไปดู เจ้าว่าตลกไหม ข้าจะไปรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร…” ขณะที่พูด ซูสุ่ยเลี่ยนก็แอบลอบสังเกตสีหน้าเจี้ยนเยว่ เฮ้อ พักนี้เป็นอะไรกันไปหมด แต่ละคนล้วนมาให้นางเป็นตัวกลาง หรือว่าแท้จริงแล้วนางเชี่ยวชาญงานแม่สื่อ?
“ตลกจริง” เจี้ยนเยว่ขยับริมฝีปากตอบด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่ในใจมีคลื่นถาโถมซัดสาดแล้ว เขาย้ายหอเฟิงเหยามาฝานลั่วจวิ้น? เพื่อนาง? โอย…คิดมากไปแล้ว เจี้ยนเยว่ เขามาไม่มาที่นี่ เกี่ยวอะไรกับเจ้า ไม่ใช่ตัดสินใจว่าจะปล่อยวางเขาแล้วหรือ ถือเป็นคนแปลกหน้าก็ดี อายุยี่สิบแปดถือว่าเป็นวัยฉกรรจ์ของชายปกติทั่วไป นางไม่คิดว่าเขาจะให้ความสำคัญกับนาง ไม่คิดให้สถานะนางได้อยู่เคียงข้างเขาให้เสียเวลา ทำไมกล้าคิดไปว่าเขาย้ายมาที่นี่เพื่อนางกัน?!
ในฝานลั่วจวิ้น บ้านเดิมตระกูลลู่ห่างจากจวนจวิ้นอ๋องราวสองแยก ตอนนี้เปลี่ยนเจ้าของเป็นประมุขหอเฟิงเหยาชื่อเสียงโด่งดังแล้ว ป้ายชื่อสลักอักษรอยู่บนประตูสีแดงชาด พอเข้าประตูใหญ่ไป ข้างในเป็นเรือนสามชั้น ตอนนี้เป็นที่รวมตัวกันของหัวหน้าหน่วยหอเฟิงเหยาสามสิบคน ด้านนอกยังมีเรือนเล็กแยกเดี่ยวอีกสี่เรือน เป็นที่พักผ่อนของทั้งพวกสี่ซือยามมาที่นี่
ศิษย์หอเฟิงเหยาอีกราวสามร้อย กระจายไปยังเมืองใหญ่ต่างๆ บนแผ่นดินต้าหุ้ย สามสิบคนจัดเป็นหนึ่งกลุ่ม ไปดูแลกิจการส่งสินค้า ประกันสินค้า คุ้มกันสินค้าในเมืองใหญ่สิบเมือง
หลังหอเฟิงเหยาเปลี่ยนรูปแบบ ก็กลายเป็นสำนักคุ้มกันขนส่งสินค้าที่รุ่งเรือง ไม่ว่าคุ้มกันคนหรือสิ่งของ หอเฟิงเหยารับงานหมด สำหรับงานสังหารคน พวกสี่ซือหารือกันแล้วตัดสินใจว่าให้รับงานโดยประมุข แม้จะรับก็ต้องเป็นสำนักใหญ่หอเฟิงเหยารับ สำนักงานย่อยอื่นให้รับแค่งานคุ้มกัน
“พวกเจ้ามาแล้ว? รีบเข้ามา” ซือชงยิ้มร่าปรี่เข้ามาต้อนรับ เชิญซูสุ่ยเลี่ยนกับเจี้ยนเยว่เข้าไป
ประสานมืออวยพรแล้ว ซูสุ่ยเลี่ยนก็หันไปช่วยแม่ครัว เตรียมของเซ่นสรวงบูชา “ใช่แล้ว เจี้ยนเยว่ ช่วยไปหยิบจอกสุราที่ห้องครัวมาให้ข้าหน่อยได้ไหม” นางชี้ไปทางเดินเล็กๆ ทางซ้ายนอกห้องโถง
เจี้ยนเยว่พยักหน้า สีหน้าไร้ความรู้สึกเดินออกไป
แม่ครัวเห็นเจี้ยนเยว่ไปเส้นทางคนละทางกับไปห้องครัว ก็เบิกตาโตอึ้งมองซูสุ่ยเลี่ยน “ฮูหยิน จอกสุราอยู่นี่ไม่ใช่หรือ และห้องครัวก็ไม่ได้อยู่ทางนั้น เอ่อ…” นางจำได้ว่าฮูหยินเคยไปห้องครัว ทำไมบอกทางผิด
ซูสุ่ยเลี่ยนมองแม่ครัวตาปริบๆ “ข้าลืม” นางจงใจ
เจี้ยนเยว่ไปตามเส้นทางที่ซูสุ่ยเลี่ยนบอก เดินตรงไปจนมาถึงสุดทาง ก็เห็นลานบ้านตกแต่งประณีตงดงามตรงหน้า ทั้งลานมีแต่ดอกเบญจมาศหงส์บานสะพรั่ง เหมือนครั้งแรกที่พบเขา จึงได้พบว่าไม่ใช่ห้องครัวที่นางหา ไม่มีจอกสุราที่นางมาเอา
“มายืนทำอะไรที่นี่” น้ำเสียงทุ้มของซือทั่วดังขึ้นจากด้านหลังนาง เขายืนสง่าผึ่งผายพิงต้นไหวไม่ไกลจากด้านหลังนาง จ้องมองนางเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม
เจี้ยนเยว่กัดริมฝีปาก ทำเป็นนิ่งกล่าวว่า “ข้าหาห้องครัว มาเอาจอกสุรา”
“ห้องครัวอยู่อีกทาง ที่นี่คือลานหน้าเรือนข้า” ซือทั่วอธิบายน้ำเสียงราบเรียบ
เจี้ยนเยว่เลิกคิ้ว ไม่รู้ว่าฮูหยินบอกทางผิด หรือว่าจงใจ พอคิดว่านางอาจจะจงใจเปิดโอกาสให้นาง นางก็เริ่มร้อนใจขึ้นมาทันที
“ข้ากลับมาเมื่อวาน พอกลับมาก็เก็บผีน้อยเมาสุราได้” ซือทั่วกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แต่น้ำเสียงเหมือนเจือเสียงหัวเราะ แสดงให้เห็นว่าเขาอารมณ์ดีมาก
เจี้ยนเยว่ได้ยินก็เบิกตากว้างทันที จ้องมองเขาอึ้งไป ที่เขาเรียกว่าผีน้อยเมาสุรา คงไม่ได้หมายถึงนางกระมัง โอ…สวรรค์! เมื่อคืนวานถูกเขาส่งกลับไปจริงหรือ คงไม่ใช่อุ้มกระมัง…พอคิดภาพเขาอุ้มนาง สองแก้มก็ร้อนผ่าวแดงระเรื่อ
“ในเมื่อห้องครัวไม่อยู่ที่นี่…ขออภัย…รบกวนแล้ว” นางหลุบตาเดินอ้อมเขาไป คิดจะเดินกลับไปทางทางที่มา
ซือทั่วค่อยๆ ตระกองกอดนางเข้าแนบอก นางปกติฝีมือไม่ธรรมดา แต่ต่อหน้าเขาไม่มีแรงต่อต้านขัดขืนแม้แต่น้อย
“ข้าคิดว่าเจ้ารู้” เขาถอนหายใจเบาๆ
รู้? รู้อะไร? เจี้ยนเยว่ดิ้นรนลุกขึ้นออกจากอ้อมกอดเขา แต่ก็ไม่อาจพ้นไปจากอ้อมแขนทรงกำลังของเขาได้ ถูกเขากอดกลับเข้ามาแน่นอีกครั้ง
“หลายปีนี้ ข้ายุ่งแต่กับงานในหอเฟิงเหยา ข้ารู้เจ้ารับคำสั่งอารักขาเหอหยวน ไม่อาจไปจากที่นี่ ข้าคิดว่าจะรีบจัดการงานในหอให้เรียบร้อย แล้วรีบกลับมา” หอเฟิงเหยาต้องจัดการชำระล้างใหม่หมด จัดคนออกไปประจำสาขาตามเมืองใหญ่เพื่อรับงานคุ้มกัน และยังต้องทำให้พ่อค้าและชาวบ้านไว้ใจอีก ไม่ใช่เรื่องง่าย
“เจ้า…กลับมา ไม่ใช่เพราะถูกพี่ใหญ่ข้ากับองค์ชายใหญ่เกลี้ยกล่อม?” นางกล่าวคำถามค้างคาใจออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบายิ่ง
“ข้อเสนอพวกเขาเพียงแค่เร่งการตัดสินใจของข้าเท่านั้น” ซือทั่วยิ้มบาง ประคองใบหน้าเล็กน่ารักของนางไว้ นางอายุเท่ากับเขา ตอนนี้ก็ยี่สิบแปดแล้ว มีผู้หญิงที่ไหนเหมือนนาง ไม่ถือสาอายุสักนิด ไม่ถือสาว่าถูกเขาพูดจาเหลวไหลใส่ บางทีนางอาจไม่ใช่ไม่ถือสา แต่ที่นางใส่ใจไม่ใช่อายุ แต่เป็นเขา
“เจี้ยนเยว่ หากแต่งงานปลายปี เจ้าเตรียมตัวทันไหม” น้ำเสียงเขาอ่อนโยนถามขึ้น เป็นครั้งแรกที่ซือทั่วพบว่าเขาเองถึงกับมีเวลาอ่อนโยนเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน เมื่อก่อนเคยแอบเยาะเย้ยซือหลิง ก็เพราะเขายังไม่ทันได้พบกับนาง
“เจ้าว่า ข้า…กับเจ้า?” นางตาโต เงยหน้ามองเขาแทบไม่อยากจะเชื่อ
“ไม่อย่างนั้นล่ะ? เจ้าคิดแต่งกับผู้ใด” เขาหัวเราะขำราวกับดอกเบญจมาศหงส์บานเต็มสวน
นางคิด จากนี้ไปไม่ว่างานเลี้ยงใด ก็ไม่ใช่มีนางดื่มสุราตัวคนเดียวแก้กลุ้มอีกแล้ว…