เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา - ตอนที่ 22 ผู้ใหญ่บ้านมีบ้านจะขาย
“แม่นางซู ขอโทษจริงๆ! ทำเจ้าวิ่งไปมาเก้อ ล้วนโทษข้าที่จัดการไม่ดี คือว่านะ แม่สามีข้าสุขภาพไม่ดี ข้าไม่ส่งละนะ สองท่านค่อยๆ เดิน!” นางฟางหน้าตายิ้มแย้มส่งซูสุ่ยเลี่ยนกับหลินซือเย่าออกจากรั้วบ้านไปได้หันกลับมองบรรดานางทั้งหลายที่มามุงดูกันยังไม่จากไป ก็เท้าเอวตะโกนดังว่า “พวกเจ้าแต่ละคนมาดูเรื่องสนุกบ้านข้าใช่ไหม แยกย้ายได้แล้ว! น่ารำคาญจริง!”
“ชิชะ! สะใภ้ตระกูลฮัว ตระกูลพวกเจ้าทำเรื่องใจดำเช่นนี้ ยังไม่เลี้ยงข้าวพวกเขาสักมื้อ ไม่เห็นว่าแดดกำลังร้อนกลางหัวหรือ” หนึ่งในนั้นมีคนหนึ่งนิสัยตรงไปตรงมา ทนเห็นการกระทำตระกูลฮัวเช่นนี้ไม่ได้ ฉีกสัญญายังไม่รู้จักเลี้ยงข้าวพวกเขาสักมื้อ ก็ไล่หนุ่มสาวผิวพรรณดีสองคนกลับไปท่ามกลางอากาศร้อนเช่นนี้ได้
“โย! พี่เถียน หากพี่สงสาร พี่ก็รับไปกินข้าวที่บ้านสิ! บ้านข้าต้องเลี้ยงคนตั้งหกปาก” สะใภ้ใหญ่ตระกูลฮัวได้ยินนางเถียนกล่าววาจาเสียดสีว่านางขี้เหนียวเช่นนี้ก็โมโหฮึดฮัดขึ้นทันที ตั้งแต่เมื่อคืนวานมาถึงตอนนี้ นางเองถูกคนในบ้านทั้งหัวหงอกหัวดำผลัดกันด่า ตอนนี้ดีเลย กว่าจะแก้ไขเรื่องยุ่งยากได้สำเร็จ ถึงกับถูกนางที่ฐานะไม่ได้ดีเหมือนตนมาเสียดสีตำหนิทั้งต่อหน้าและลับหลังเช่นนี้ ย่อมไม่ยอมเก็บกดอารมณ์ไว้อีกต่อไป
“จุ๊ๆ ข้าว่านะ พี่เถียน พี่มีเรื่องกับนางก็ย่อมไม่ได้อะไรขึ้นมา เอาเถอะ ไม่สนใจนางก็แล้วกัน ลงนามสัญญาซื้อขายรับเงินแล้ว ยังบีบให้คนเขาคายออกมาอีก เห็นชัดว่าเป็นคนที่พวกเราไม่ควรไปหาเรื่องด้วย” นางเถียนที่ตอนแรกคิดจะมีเรื่องด้วย แต่พอได้ยินคนข้างๆ เตือนนาง ก็ได้แต่แอบได้หันไปด่าสะใภ้ตระกูลฮัวให้นางสุ่ยฟังแทน มองดูใบหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาวสลับกันของนางฟางแล้วก็รู้สึกสะใจ ทำท่าทำทางกระชับคอเสื้อตนเอง เชิดหน้าสะบัดใส่ “เชอะ” ก่อนจะก้าวออกจากตระกูลฮัวไปพร้อมกับนางสุ่ย ได้ยินเสียงโยนที่โกยผงกับไม้กวาดไล่ตามหลังมา พร้อมกับเสียงกัดฟันด่าทอสาปแช่งตามมา นางเถียนยิ้มสบตากับนางสุ่ย ความขัดแย้งภายในตระกูลฮัวกำลังจะเปิดฉากอีกแล้ว
……
ซูสุ่ยเลี่ยนกับหลินซือเย่าออกจากตระกูลฮัวมาก็เดินไปตามเส้นทางสะอาดสะอ้านตรงไปปากทางเข้าเมืองอย่างสบายอารมณ์
ที่แท้เมืองฝานฮัวก็ไม่เลวจริงๆ ทิวทัศน์งดงาม อากาศก็ปลอดโปร่งบริสุทธิ์ ทั้งหมู่บ้านยังสะอาดสะอ้านเช่นนี้อีก น่าเสียดายแค่พอถามป้าเหลาถึงเรื่องบ้านอีกหลายรอบ ที่นี่ไม่มีบ้านหลังอื่นที่คิดจะขายอีกแล้ว
ซูสุ่ยเลี่ยนถอนหายใจ หันหน้าไปมองหลินซือเย่าที่เดินอยู่ข้างๆ นาง ก่อนจะหันไปมองสองลูกหมาป่าที่แบกของอยู่ พลางยิ้มอ่อน “ดูเหมือนพวกเราเตรียมตัวกันเร็วไป ทำเอาเสี่ยวฉุนกับเสี่ยวเสวี่ยต้องลำบากแบกไปมา”
ลูกหมาป่าสองตัวเหมือนฟังเข้าใจ วิ่งพันรอบขานางสองรอบพลางส่งเสียงร้องโบร๋วๆ ราวกับกำลังบอกว่า ใช่สิๆ พวกเราลำบากจริงนะ! เจ้านาย ท่านต้องเห็นใจพวกเราหน่อยนะ คืนนี้ให้เนื้อพวกเราเพิ่มนะ! โบร๋ว โบร๋ว โบร๋ว…
……
“นางหนู!” มีเสียงร้องทักดังมาจากด้านหลัง ซูสุ่ยเลี่ยนหันไปมอง ถึงกับเป็นผู้ใหญ่บ้านหวังเกิงฟา ตลอดทางเร่งรีบเดินตามมา ตอนนี้ได้แต่ยืนหอบไม่หยุด
“ท่านอาหวัง?” ซูสุ่ยเลี่ยนมองผู้ใหญ่บ้านอย่างไม่เข้าใจ
“นางหนูซู ท่านอาหวังมองออกว่าเจ้าเป็นคนดี เอาอย่างนี้ ข้าหารือกับเจ้าสักหน่อย เมืองฝานฮัวเรายังมีบ้านว่างหลังหนึ่ง นางหนูอยากลองไปดูไหม” หวังเกิงฟาพูดเหตุที่ไล่ตามมาอย่างเร่งรีบออกไปในอึดใจเดียว ก่อนจะหยิบกล้องยาขึ้นอัดควันเข้าปอดอีกเฮือกหนึ่ง รอคำตอบซูสุ่ยเลี่ยน
“เอ๋?” ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็แปลกใจ “จริงหรือ แต่เมื่อครู่ป้าเหลายังว่าไม่มีนี่”
“เอ่อ บ้านนั่น นางเหลาไม่รู้ หากเจ้าสนใจ ข้าพาพวกเจ้าไปดูตอนนี้เลย” หวังเกิงฟาเคาะกล้องยาสูบ เงยหน้ามองซูสุ่ยเลี่ยน
ซูสุ่ยเลี่ยนผินหน้าไปมองหลินซือเย่า “อาเย่า?”
“ไปดูหน่อยก็ได้” หลินซือเย่าเอื้อมมือไปจับผมที่ยุ่งระแก้มไปไว้หลังใบหูนาง พยักหน้าแววตาละมุน
ซูสุ่ยเลี่ยนถึงกับใบหูแดงขึ้นทันที ก้มหน้าขยับศีรษะออก พยักหน้าให้หวังเกิงฟา “ท่านอาหวัง เช่นนั้นก็รบกวนท่านแล้ว!”
“ไม่รบกวนๆ อย่างนั้นไปกันเถอะ คาดว่าต้องเดินไปอีกสักพัก เป็นทางผ่านบ้านข้า กินข้าวสักมื้อค่อยไปกัน?” หวังเกิงฟาถือกล้องยาสูบเดินนำหน้า เชื้อเชิญซูสุ่ยเลี่ยนกับเขาไปกินข้าวกลางวันที่บ้านเขาแล้วค่อยไปดูบ้าน
“ข้าเกรงใจท่านอาหวังจริงๆ” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มเขิน ส่ายหน้าปฏิเสธ
“นางหนู ในเมื่อมาเมืองฝานฮัวเราก็ถือเป็นแขก ตระกูลฮัวนั้นใช้ไม่ได้ ฉีกสัญญาพวกเจ้า ยังไม่รั้งพวกเจ้าอยู่กินข้าวต่อ ข้าทนดูไม่ได้” หวังเกิงฟาปากคาบกล้องยา สองมือไพล่หลัง เดินไปคุยไปกับพวกซูสุ่ยเลี่ยน
ซูสุ่ยเลี่ยนเอาแต่ยิ้ม หากไม่ตอบ นางถูกเลี้ยงดูมาดีทำให้นางไม่กล่าววิจารณ์คนอื่นลับหลัง
“นางหนูนี่ไม่เลว! เป็นคนดี” หวังเกิงฟาเห็นเช่นนี้ก็ยกนิ้วโป้งให้ซูสุ่ยเลี่ยน
“ท่านอาหวัง บ้านหลังที่ท่านว่าไม่ทราบว่าเป็นของผู้ใด” ซูสุ่ยเลี่ยนแปลกใจมาก ทำไมผู้ใหญ่บ้านอยู่ๆ ถึงวิ่งมาบอกตน ยังเชื้อเชิญอย่างมีน้ำใจให้ไปกินข้าวที่บ้านเขาด้วย
“แหะๆ…” หวังเกิงฟาได้ยินซูสุ่ยเลี่ยนถามเช่นนี้ก็แอบเกาหัวท่าทางเก้อๆ “บอกเจ้าตรงๆ บ้านนั่นเป็นบ้านที่พ่อข้าทิ้งเอาไว้ เดิมคิดจะขาย แต่ว่า…คือว่า ลูกชายข้าปีนี้จะแต่งงาน ตามที่คิดไว้ก็คือผ่านปีนี้ไปก็จะแต่งแล้ว พอได้ยินเจ้าต้องการตั้งรกรากที่เมืองฝานฮัวเรา ก็เลยคิดว่าหรือจะขายบ้านให้พวกเจ้า ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เหอๆ…” หวังเกิงฟาแอบหัวเราะเก้อๆ เล่าสิ่งที่คิดไว้ให้ซูสุ่ยเลี่ยนฟังอย่างหมดเปลือก ด้วยประสบการณ์การเป็นผู้ใหญ่บ้านของเขามาหลายปี เห็นก็รู้ทันที่ว่าซูสุ่ยเลี่ยนไว้ใจได้ ให้นางซื้อบ้านเก่าตนเองไปก็คงมีแต่ทำให้บ้านเก่าตนดูดีขึ้น คงไม่ปล่อยให้บ้านทรุดโทรมจนดูไม่ได้
หวังเกิงฟามีลูกชายสุดที่รักคนเดียว ยังได้ลูกมาตอนเขาอายุสามสิบ ดังนั้นยามปกติจึงรักลูกชายมาก ให้มากที่สุดเท่าที่จะให้ได้ คู่แต่งงานครั้งนี้ก็เป็นแม่นางคนงามจากเมืองชิงเถียน เป็นลูกชายตนถูกตาต้องใจเข้าโดยบังเอิญ ก่อนหน้านี้ส่งแม่สื่อหยางไปสู่ขอหมั้นหมาย ผู้ใดจะคิดว่าอีกฝ่ายเอ่ยสินสอดทีสิบตำลึง รอปีหน้าแต่งงานก็ต้องใช้เงินอีกไม่น้อย ที่บ้านสะสมไว้แค่แปดตำลึง หลายวันนี้กำลังกลุ้มใจอยู่เลย พอดีวันนี้ได้มาเจอกับซูสุ่ยเลี่ยนที่ซื้อบ้านตระกูลฮัวไม่สำเร็จ หวังเกิงฟาจึงเกิดความคิดนี้ขึ้นมาทันที
ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ก็วางใจ ยิ้มละไมพยักหน้ากล่าวว่า “อย่างนั้นก็ขอขอบคุณท่านอาหวังแล้ว”
“เอ้อ ขอบคุณอะไรกัน หากสำเร็จ ลูกชายข้าก็จะได้มีเงินแต่งงาน นับว่าได้ทั้งสองฝ่าย! เหอๆ…ไปๆ ไปบ้านข้ากินข้าวกัน กินแล้วค่อยไปดูบ้าน ไม่หายไปไหน!” หวังเกิงฟาพยายามดึงซูสุ่ยเลี่ยนไปบ้านเขาอย่างเต็มที่
ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นเช่นนี้ก็ไม่แสดงท่าทีบ่ายเบี่ยงเกรงใจอีก ดึงแขนเสื้อหลินซือเย่าเดินตามเขาไปบ้านตระกูลหวังทางใต้ของเมืองฝานฮัว ด้านหลังย่อมมีลูกหมาป่าแบกของเดินตามเจ้านายไปกินข้าวที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน