เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา - ตอนที่ 27 ไม่เจอกันนาน
บ่ายวันรุ่งขึ้น หลินซือเย่ากลับมาโรงเตี๊ยมเยว่ไหลตามที่บอกไว้
ซูสุ่ยเลี่ยนกำลังเท้าคางนั่งรอเขาอยู่ริมหน้าต่าง พอเห็นเข้ากลับมาอย่างปลอดภัยก็ดีใจรีบเข้าไปทักทันที “กลับมาแล้วหรือ”
“อืม” หลินซือเย่าพยักหน้าด้วยแววตาแฝงรอยยิ้ม คำทักทายของนางทำให้เขาแอบดีใจไม่น้อย
“ไม้ลากมาเมืองฝานฮัวเรียบร้อย” หลินซือเย่ารับผ้าเช็ดหน้าจากมือนางไปเช็ดหน้าและมือของตนที่เปื้อนฝุ่นไปหมด เปลี่ยนเสื้อตัวนอก ดึงนางมานั่งลงเล่าเรื่องที่ตนทำมาให้นางฟัง
“สุ่ยเลี่ยน ไว้ข้าไปตามช่างไม้มาสักสองสามคนก็เริ่มงานได้” เล่าจบเขาก็เอ่ยเสนอขึ้นมาทันที
ซูสุ่ยเลี่ยนไม่เข้าใจ มองตาค้างปริบๆ “ทำไมหรือ” ก่อนหน้าก็ไม่เห็นเขาร้อนใจเช่นนี้มาก่อน
หลินซือเย่าก้มหน้าลงจนมองเห็นสีหน้าเขาไม่ชัดนัก
“ได้” ซูสุ่ยเลี่ยนเผยรอยยิ้มบางอ่อนโยน กุมมือหนาและใหญ่ของเขาไว้ “ข้าเชื่อเจ้าหมด”
หลินซือเย่าได้ยินก็เงยหน้ามองนางเป็นนาน ก่อนจะค่อยๆ พยักหน้า “ข้าจะไม่รังแกเจ้า”
ซูสุ่ยเลี่ยนแทบอยากจะร้องไห้ ยังคิดว่าเขาจะอธิบายอะไร ที่แท้…นับว่าเป็น…คำมั่นสัญญา? จากนั้นสองแก้มนางก็เริ่มแดงระเรื่อเผยความยินดีในใจของนางออกมา
……
ซูสุ่ยเลี่ยนหลบอยู่หลังม่านเตียง จ้องมองกางเกงชั้นในของนางเองอยู่นาน โอ…สวรรค์! ท่านรังแกข้าใช่ไหม?
หลายเดือนก่อนยังนึกถึงอยู่ ช้าไม่มาเร็วไม่มา กว่านางจะยอมรับความเป็นไปได้ของอายุร่างนี้ได้ แทบจะลืมเรื่องพวกนี้ไปเลย น้ำหยิน[1]ที่ไม่เจอกันนานอยู่ๆ ก็มา นางที่ไม่ได้เตรียมตัวแม้แต่น้อยยามนี้จึงทำอะไรไม่ถูก
ทำอย่างไรดี? ซูสุ่ยเลี่ยนนอนแผ่ไม่กล้าขยับอยู่บนเตียง กลัวว่าหากขยับจะทำให้ผ้าปูสีขาวใต้ร่างเลอะเทอะ
โชคดี วันนั้นซื้อผ้าสีขาวสี่ผืนมาเตรียมทำเสื้อตัวใน ฉีกผ้าเป็นแถบกว้างราวฝ่ามือสิบแถบซ้อนกันรองไว้ในกางเกง หวังว่าจะไม่ทำให้ชุดที่เอาไว้เปลี่ยนที่มีแค่สองชุดเลอะ
เพียงแต่หากเป็นเช่นนี้ แม้แต่ประตูโรงเตี๊ยมก็ไม่กล้าก้าวออกไปแล้ว
ตอนนี้นางเริ่มนึกถึงห่อผ้าฝ้ายที่ใช้ประจำทุกเดือนตอนอยู่ตระกูลซู ชั้นนอกเป็นผ้าฝ้ายสีขาวเนื้อละเอียด ด้านในยัดดอกฝ้ายหนาชั้นหนึ่งและกระดาษซับน้ำอีกแผ่น แม้ว่ารู้สึกว่าเคลื่อนไหวไม่สะดวก แต่อย่างน้อยใส่ไว้แล้วก็ไม่ทำให้เลอะกางเกง
ซูสุ่ยเลี่ยนคิดเช่นนี้ สองมือก็เริ่มบีบกดท้องน้อยเบาๆ อยากให้รีบออกมาให้หมดเร็วหน่อย ก่อนจะค่อยๆ ผล็อยหลับไป
……
เช้ามาหลินซือเย่าก็ไปหาคนงานรับจ้างชั่วคราวในเมืองฝานฮัว
รับช่างไม้มาสามคน มาพร้อมกับเฝิงเหล่าลิ่วที่รับไว้ก่อนหน้า รวมสี่คนกำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้นกลางแสงแดดร้อน
แต่ไรมาพวกเขาไม่เคยเห็นเนื้อไม้เช่นนี้มาก่อน ในใจก็แอบคาดเดาไปว่าหรือจะซื้อมาจากนอกพื้นที่ ได้ยินชาวบ้านที่ปกติตื่นกันเช้าเล่าว่า ไม้พวกนี้ลากมาทั้งหมดสี่รอบด้วยรถลากลาสี่ตัว
ร้านไม้ในเมืองฝานลั่วขายไม้อะไร ตนเองทำงานด้านนี้จะไม่รู้หรือ?! ย่อมไม่มีไม้ใหญ่เนื้อสีนี้ โดยเฉพาะไม้ประดู่ม่วงต้นใหญ่เจ็ดท่อนนั้น ตามความเห็นพวกเขาแล้ว อย่างน้อยก็แข็งและเนื้อแน่นกว่าไม้ประดู่ม่วงปกติทั่วไป
ด้วยพลังหูของหลินซือเย่า สี่คนคุยซุบซิบอะไรกัน เขาล้วนได้ยินชัด เพียงแต่เขาไม่คิดอธิบาย ขอเพียงไม่กระทบการทำงาน อยากจะซุบซิบอะไรก็ตามสบาย
ในมือเขาถือกิ่งหลิวลากไปวนรอบบ้านหลายรอบ สุดท้ายไปหยุดลงตรงข้างต้นอิงเถาด้านหลังบ้าน วาดวงกลมหนึ่งตรงนั้น ไม่หันไปมองสีหน้าประหลาดใจของช่างสี่คนก็สั่งน้ำเสียงเย็นเยียบออกไปว่า “ที่นี่เพิ่มเก้าอี้ยาวมีพนักอีกตัว”
ทั้งสี่สบตากัน จากนั้นเฝิงเหล่าลิ่วที่อายุมากสุดก็รับคำขึ้นว่า “คุณชายคิดจะทำด้วยไม้นี้หรือ” ลานบ้านวางโต๊ะหินม้าหินก็มีให้เห็นอยู่ แต่ว่าทำจากไม้นั้น…
หลินซือเย่าได้ยินก็กวาดตามองเย็นเยียบ เสียงดังขึ้นว่า “ให้พวกเจ้าทำก็ทำ พูดมากอะไรกัน!”
ทั้งสี่คนรีบก้มหน้าลงทำงานของตนเองต่อ สวรรค์ คนผู้นี้มาจากไหนกัน ถึงกับแค่กวาดตามองมาก็ทำเอารู้สึกสะดุ้งเช่นนี้ได้ เอาละๆ ก้มหน้าก้มตาทำงานไปดีกว่า รีบทำงานให้เสร็จจะได้กลับบ้านไปหานางเมีย ดีที่ค่าแรงไม่น้อย ดำรงชีพไปได้ถึงสิบวัน ยังมีเงินรางวัลก้อนโตอีก ดังนั้นควรเร่งมือทำงานจึงจะถูกต้อง
หลินซือเย่าไม่สนใจพวกเขาอีก ออกไปเดินเล่นรอบๆ หยุดพักคิดบ้างเป็นบางจังหวะ พักหนึ่งก็สั่งให้สี่คนเติมเก้าอี้ยาวแบบเดียวกับก่อนหน้าที่ใต้ต้นพุทธาแดงใหญ่ริมแม่น้ำด้านหน้าบ้าน และที่พื้นสนามหญ้าใกล้แม่น้ำก็เพิ่มท่อนไม้สูงต่ำหลายท่อนเรียงปักบนดินไว้ฝึกยุทธ์
มาถึงตอนนี้ ทั้งสี่จึงได้เชื่อว่าคุณชายหนุ่มน้อยอายุไม่ถึงยี่สิบตรงหน้าที่มีรัศมีกลิ่นอายเหนือกว่าตนเอง ผู้นี้รู้วิทยายุทธ์ ไม่เช่นนั้น บ้านชาวนาที่ไหนจะให้สร้างลานท่อนไม้สูงต่ำเช่นนี้ และยังใช้ไม้ใหญ่ที่แข็งและหนาเช่นนี้อีก คงไม่ได้ทำไว้ประดับเล่นๆ กระมัง! ดังนั้นทั้งสีคนจึงรีบเร่งตั้งใจทำงานให้เร็วยิ่งขึ้น พยายามแสดงความสามารถที่มีทั้งหมดออกมา
……
พอหลินซือเย่ากลับถึงโรงเตี๊ยม ซูสุ่ยเลี่ยนก็ยังคงนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง
เขาแตะหน้าผากนางอย่างเบามือ ไม่พบอะไรผิดปกติหลินซือเย่าก็วางใจ กวาดตามองไปรอบห้อง ราวกับไม่ต่างอะไรกับตอนที่ออกไปตอนเช้า
ขมวดคิ้วเล็กน้อย หันหลังลงไปด้านล่างสอบถามอาหารกลางวันวันนี้ของนาง พอได้ยินว่านางไม่ได้เรียกให้คนขึ้นไปส่งอาหาร และไม่ได้ลงมา ไม่ได้ออกไปไหน สองคิ้วก็ขมวดแน่นยิ่งขึ้น
สั่งให้เสี่ยวเอ้อร์รีบส่งอาหารร้อนๆ สามสี่อย่างขึ้นไปบนห้องแล้ว หลินซือเย่าก็รีบวิ่งขึ้นชั้นบน ในใจคาดเดาไม่หยุดถึงสาเหตุที่นางไม่ยอมกินอะไร
“เอ๋? เจ้ากลับมาแล้ว? ค่ำมากแล้วใช่ไหม?” ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินเสียงก็ลืมตาขึ้นมาอย่างดูงุนงง หลับรอบนี้สนิทมาก แทบจะลืมอาการปวดท้องน้อยไปเลย
เห็นหลินซือเย่าโบกมือสั่งให้เสี่ยวเอ้อร์วางอาหารไว้บนโต๊ะ แล้วยังเอาน้ำร้อนมาส่งอีกถัง ก็พบว่าท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว
“ไม่สบายตรงไหน” หลินซือเย่าบิดผ้าเช็ดหน้าช่วยนางเช็ดลำคอนี่นอนจนแดงไปหมดอย่างเบามือ
ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็หน้าแดงขึ้นทันที
หลินซือเย่าเห็นเช่นนี้ก็กวาดตามองนางอย่างไม่เข้าใจแวบหนึ่ง หากไม่ใช่ว่าตัวไม่ร้อน เขายังคิดสงสัยว่านางตัวร้อนหรือไม่
“กลางวันไม่กินข้าวอีกแล้ว?” หลินซือเย่าประคองนางขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ตนเองยกชามข้าวมาคีบอาหารแต่ละอย่างมาสองสามคำ ลงนั่งข้างนาง ท่าทางเหมือนจะป้อนนาง
“ข้า…ข้ากินเอง” ซูสุ่ยเลี่ยนกำลังจะรับชามและตะเกียบจากมือเขามา
“บอกข้าว่าเป็นอะไร ไม่เช่นนั้นข้าป้อนเจ้า” หลินซือเย่าเปลี่ยนชามกับตะเกียบไปไว้อีกมือย่างรวดเร็ว เอ่ยวาจาแฝงน้ำเสียงห่วงใย เสนอเงื่อนไขกับนาง
ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็มองเขาอย่างเขินอาย หันหน้าหนีไม่สนใจเขาอีก
หลินซือเย่าถอนหายใจเบาๆ อย่างไม่รู้จะทำเช่นไร “สุ่ยเลี่ยน…มีอะไรไม่สะดวกบอกข้าหรือ หรือว่า…ข้ายังไม่ใช่คนกันเองพอจะรับฟัง…”
“อย่าพูดจาเหลวไหลสิ!” ซูสุ่ยเลี่ยนได้ฟังก็หันหน้ามาทันที ไม่สนใจความเขินอายระหว่างความใกล้ชิดชายหญิง ยื่นมือออกไปปิดปากเขาไว้ คิดจะหยุดอาการถอนหายใจของเขา
หลินซือเย่าดึงมือนางมากุมไว้ในฝ่ามือตน ดวงตาลุ่มลึกจ้องมองนางเขม็ง
“ข้า…คือว่า…มาแล้ว” ซูสุ่ยเลี่ยนทนการรบเร้าของเขาไม่ได้ จึงใช้น้ำเสียงหึ่งๆ เบายิ่งกว่ายุงบินกล่าวออกไป หลินซือเย่าได้ยินก็ยิ่งงุนงง
“อะไร?” เขาเห็นนางก้มหน้าหลุบต่ำอยู่เป็นนานอย่างไม่คิดอธิบายต่อ ก็หลุดถามออกไป
“น้ำหยินอย่างไร!” ซูสุ่ยเลี่ยนหน้าแดงก่ำ กระซิบคำรามเบาๆ ตามมาด้วยพบว่าตนเองเหมือนเสียงดังไปหน่อย รีบอุดปากตนเองแน่น
หลินซือเย่าอึ้งไปนานก่อนจะเข้าใจว่านางหมายถึงอะไร ใบหน้าเริ่มแดงขึ้นอย่างไม่อาจระงับ
……
“เถ้าแก่เนี้ยถามว่าพอไหม?” หลินซือเย่าเดินเข้าห้องซูสุ่ยเลี่ยนพร้อมดอกฝ้ายขาวหอบหนึ่งในอ้อมแขน
“อื้อ น่าจะ…พอนะ” ซูสุ่ยเลี่ยนนั่งพิงหัวเตียง ค่อยๆ ขยับกายท่อนล่างอย่างระมัดระวัง รับดอกฝ้ายขาวจากหลินซือเย่ามา คาดเดาจากสายตา น่าจะแบ่งออกเป็นสี่ห้าส่วนได้
ใช่แล้ว ซูสุ่ยเลี่ยน คุณหนูใหญ่ตระกูลซู เตรียมเย็บห่อผ้าฝ้ายสำหรับซับน้ำหยินตามความทรงจำเดิม นางไม่อยากให้อีกหลายวันจากนี้ต้องเอาแต่นอนอยู่บนเตียงจนไปไหนไม่ได้ จะว่าไปแม้นางนอนไม่ไปไหน ก็ไม่ได้หมายความว่าน้ำหยินจะไม่ไหลเลอะกางเกงและเสื้อตัวนอก หากต้องการคอยระวังระแวงเช่นนี้ ไม่สู้หาวิธีรับมือดีกว่า
ที่นี่ดอกฝ้ายแม้ว่าไม่แพง แต่ชาวบ้านทั่วไปพอเก็บเกี่ยวได้ก็จะเก็บส่วนหนึ่งไว้รอเย็บเป็นเสื้อผ้านวมและผ้าห่มนวมอะไรพวกนั้น เก็บแต่พวกขาวๆ เป็นก้อนไว้ขายให้พวกร้านผ้ามารับซื้อไป
คิดว่าเถ้าแก่เนี้ยน่าจะเอาส่วนที่บ้านตนเก็บไว้แบ่งให้ซูสุ่ยเลี่ยน
หลินซือเย่าทำตามที่ซูสุ่ยเลี่ยนว่า เลือกเอาเข็มเย็บผ้าเล่มใหญ่หน่อยจากห่อเครื่องเย็บผ้าของนางที่มีทุกอย่างครบครันออกมาพร้อมกับผ้าฝ้ายขาวในห่อผ้าส่งให้นาง แม้ว่าอยากรู้ แต่ก็ไม่ได้ถามละเอียด ในใจคาดเดาว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับน้ำหยิน
พอคิดถึงตรงนี้ สีหน้าหลินซือเย่าก็เริ่มแดงอย่างแทบมองไม่เห็น
ผู้หญิงมีน้ำหยินก็หมายความว่าให้ตั้งครรภ์กำเนิดลูกได้ ลูก…คิดถึงเขาที่กำพร้าตัวคนเดียวแล้ว เป็นนักฆ่าซือหลิงยี่สิบปีก่อนแทบจะมีชีวิตอยู่ในความมืด ตอนนี้เขาใกล้จะมีลูกเป็นของตนเองแล้ว…
[1] ภาษาจีนใช้คำว่ากุ่ยสุ่ย หมายถึงประจำเดือนสตรี คำว่ากุ่ยหมายถึงธาตุน้ำในห้าธาตุของจีน เป็นน้ำที่มีความเป็นหยิน