เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา - ตอนที่ 33 งานมงคล (1)
วันที่แปดเดือนแปดเป็นวันฤกษ์ดี ทุกเรื่องสมประสงค์ ทุกเรื่องราบรื่น สมหวังดังปรารถนา
“อาเย่า ได้ยินลุงเหลาว่าเที่ยงวันนี้มีงานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่ ตอนค่ำยามโฉ่วดื่มสุรามงคลแต่งงาน?” เช้ามาป้าเหลาก็รีบมาบ้านซูสุ่ยเลี่ยน เห็นหลินซือเย่ากำลังจัดการบ้านสุนัขอยู่ในลานบ้านพอดีก็เข้าไปถามเขา
หลังจากมอบของขวัญแต่งงานเพิ่มเป็นสินเดิมให้นางเพื่อเป็นโชคลางมงคลแล้ว ซูสุ่ยเลี่ยนก็ขอให้พวกนางอย่าได้เรียกคุณหนู คุณชายอีก ให้เรียกชื่อก็พอ
“อืม” หลินซือเย่าพยักหน้า เห็นป้าเหลาหอบหายใจอยู่ก็อดถามขึ้นไม่ได้ว่า “มีอะไรหรือ”
“เปล่า…” ป้าเหลาหอบพลางโบกมือ พอหายใจคล่องขึ้นหน่อยจึงได้กล่าวว่า “นั่นใช่ว่าต้องเปลืองเงินทองอีกหรือ เดิมย้ายบ้านกับแต่งงานจัดด้วยกันก็ไม่ใช่เพื่อต้องการประหยัดเงินสักหน่อยหรือ ตอนนี้…” ป้าเหลาพูดสิ่งที่ติดอยู่ในใจออกมา
“นี่เป็นความต้องการของสุ่ยเลี่ยน” หลินซือเย่าตัดบทป้าเหลาที่บ่นไม่หยุด
ซูสุ่ยเลี่ยนคิดจะถือโอกาสนี้ขอบคุณทุกคน ไม่ว่าจะเป็นบ้านผู้ใหญ่บ้าน บ้านเหลา บ้านเถียน บ้านเหอ บ้านฟาง บ้านสุ่ย บ้านวัง และบ้านเฝิงเหล่าลิ่ว แล้วยังบ้านเถ้าแก่โรงเตี๊ยมอีก โต๊ะเลี้ยงสี่โต๊ะ จัดที่ลานหน้าศาลบูชาเมืองฝานฮัวที่ตั้งได้พอดีสี่ตัว คนทำอาหารก็เป็นพ่อครัวใหญ่ที่เถ้าแก่เนี้ยเชิญมาจากโรงเตี๊ยม ยังเตรียมจานชามช้อนตะเกียบมาสำหรับจัดโต๊ะเลี้ยงทั้งสี่โต๊ะด้วย แน่นอนเขาก็ย่อมต้องได้ซองแดงด้วย
“อย่างนั้น…จัดงานสองครั้ง ต้องใช้เงินเท่าไรกัน…” ป้าเหลาบ่นงึมงำ เห็นหลินซือเย่ายองลงนั่งปูเสื่อสานให้บ้านสุนัข ไม่สนใจนางอีก ก็ได้แต่กลับบ้านตนเองไปอย่างฟึดฟัด
“เมื่อครู่ป้าเหลาหรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนเดินออกมาจากห้องครัวหลังเข้าไปเก็บพวกน้ำมัน ข้าวสาร แป้งสาลีที่หลินซือเย่าออกไปซื้อจากตลาดมาแต่เช้า กำลังจะไปเตรียมห้องโถงที่อีกสักครู่จะมีพิธีขึ้นบ้านใหม่ ตอนออกมา มองไปไกลๆ ยังเห็นป้าเหลารีบเดินกลับบ้านอย่างเร่งรีบ
“นางมาถามว่าทำไมจึงจัดงานเลี้ยงสองรอบ” หลินซือเย่าปูเสื่อเสร็จก็กำลังคิดว่าจากพรุ่งนี้ไปก็จะได้ฝึกเจ้าลูกสุนัขสองตัวนี้ได้แล้ว ได้ยินซูสุ่ยเลี่ยนถามถึงป้าเหลาก็หัวเราะตอบว่า “ป้าเหลา…ช่วยเจ้าดูแลเงินของเจ้าจริงนะ”
ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นเขายิ้มมุมปาก แววตายิ้มหยอก ก็รู้ว่าเขากำลังล้อนาง
“เงินของข้าไม่ใช่เงินของเจ้าหรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนก้มหน้างึมงำ จากนั้นก็ไม่สนใจเขาอีก เดินเข้าไปในโถง จัดเครื่องบูชาที่จำเป็น
หลินซือเย่าย่อมได้ยิน แววตายิ้มพึงใจขึ้นมาทันที ล้างมือสะอาดเสร็จก็ตามนางไปที่โถง นำขนมและผลไม้ที่ซื้อมาเมื่อเช้าออกมาวางใส่จานเล็กหกใบ
วางเรียงเป็นระเบียบอยู่บนแท่นนั่งในห้องโถง หน้าเครื่องบูชามีเชิงเทียนคู่หนึ่งและกระถางธูปใบหนึ่ง นำเทียนและธูปออกมาปักไว้เรียบร้อย หน้าแท่นนั่งยังปูเสื่อที่ถักอย่างดีไว้ที่พื้นผืนหนึ่ง
ทุกอย่างจัดเตรียมเรียบร้อยก็รอแค่ถึงฤกษ์มงคล
“เอาละ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันได้แล้ว” ซูสุ่ยเลี่ยนมองดูเสื้อผ้าที่สองคนสวม ยังคงเป็นชุดเดิม จึงได้ลากหลินซือเย่าเข้าห้องนอน
เลือกเสื้อชุดสีม่วงตัวใหม่ให้เขาชุดหนึ่ง ชายเสื้อใช้ดิ้นเงินปักเป็นไม้ไผ่ชุ่มฉ่ำหลายต้น รัดด้วยสายคาดเอวสีเดียวกับเสื้อ เป็นสายคาดเอวที่ปักเป็นลวดลายวงขด เข้าชุดกับถุงเท้าขาวรองเท้าดำใหม่ทั้งหมด จากนั้นก็ดึงเขาไปนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง บุ้ยใบ้ให้เขาลงนั่ง
หลินซือเย่ากวาดตามองอย่างไม่เข้าใจ เห็นสายตาแน่วแน่ของนางแล้วก็ได้แต่ตามใจนาง นั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งอย่างเก้กังอยู่สักหน่อย
ซูสุ่ยเลี่ยนหยิบเอาหวีไม้จันทน์หอมที่นางเถียนมอบให้ออกมาจากลิ้นชัก เลือกหวีซี่ฟันเหมาะกับสภาพผมของหลินซือเย่า ตั้งใจจะหวีผมให้เขา
“สุ่ยเลี่ยน…” หลินซือเย่ารู้แล้วว่านางจะทำอะไร จึงหันกลับไปดึงมือนางไว้ “ไม่ต้องทำเช่นนี้”
“ข้าอยากหวีผมให้เจ้า” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มละไมมองเขา จับบ่าหนาของเขาให้หันหน้าเข้ากระจก แกะเชือกรัดผมของเขาออก ค่อยๆ บรรจงหวีผมดำเงางามของเขาทีละปอย
หวีไปได้เก้าสิบเก้าที ซูสุ่ยเลี่ยนจึงรัดผมเขาขึ้นสูง หารัดหยกที่ซื้อไว้ตอนไปเดินตลาดวันก่อนจากร้านเครื่องประดับออกมาบรรจงรัดผมให้เขา
หลินซือเย่ามองนางหวีผมให้ตนอย่างอ่อนโยนตั้งแต่ต้นจนจบอย่างเงียบๆ จนนางหยิบรัดหยกออกมารัดผมให้เขา จึงได้หันกลับมากอดนางไว้ในอ้อมแขนแน่น
“อาเย่า…” ซูสุ่ยเลี่ยนดันแขนที่กอดแน่นของเขา “ตาข้าเปลี่ยนชุดแล้ว ใกล้ได้ฤกษ์มงคลแล้วนะ”หลินซือเย่าฟังเข้าใจเหตุผลเต็มเปี่ยมของนาง แต่ก็ไม่อยากปล่อยมือจากร่างหอมนุ่มของนาง เขาเองก็เลียนแบบนาง ช่วยเลือกชุดที่สีเข้ากับตนเองให้นาง เป็นกระโปรงสีม่วง ผืนนอกเป็นแพรสีม่วงอ่อนโปร่งแสง ยังหยิบถุงเท้าผ้าฝ้ายสีขาวออกมาจากตู้เตี้ยข้างเตียงอีกคู่ พอหันกลับไปก็เห็นสองแก้มซูสุ่ยเลี่ยนแดงเป็นลูกตำลึงคิดผลักเขาออกจากห้อง “ข้า…ข้าเปลี่ยนเอง…”
หลินซือเย่ากลั้นหัวเราะมองนาง จนนางคอตกหมดหวัง จึงได้กล่าวว่า “เมื่อครู่ ข้าให้เจ้าออกไปก่อนหรือเปล่า”
ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็เงยหน้าขึ้นทันที เหมือนกันตรงไหนเนี่ย
ไม่เหมือนตรงไหน? หลินซือเย่าขมวดคิ้ว สายตาราวกับย้อนถาม
มือยังคงเคลื่อนไหวไม่หยุด ให้นางนั่งลงบนเก้าอี้กลม ตนเองยองตัวลงนั่งถอดรองเท้าลายดอกคู่น้อยของนางออก ก่อนจะถอดถุงเท้าบางของนางออกตาม ค่อยๆ สัมผัสเท้าคู่น้อยราวหยกงามของนาง ทำเอาซูสุ่ยเลี่ยนอายจนอยากชักเท้ากลับ แต่ถูกฝ่ามือเขากุมไว้แน่น ดึงกันไปมาอยู่นานกว่าจะสวมถุงเท้าและรองเท้าปักลายคู่ใหม่ให้นางได้
ก่อนจะลุกขึ้นดึงนางไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง ถึงตาเขาหวีผมให้นางบ้าง
“อาเย่า ข้าทำเองได้แล้ว” ซูสุ่ยเลี่ยนคิดดึงหวีมาจากมือเขา แต่สู้แรงเขาไม่ไหว
“ไม่เชื่อมือข้าหรือ” หลินซือเย่ายืนอยู่ด้านหลังนางพลางกระซิบแผ่วเบาอยู่เหนือศีรษะนาง
ซูสุ่ยเลี่ยนกะพริบตาปริบๆ ทรงผมมวยเทพธิดาสองวงเกล้ายากมาก นางเรียนจากสาวใช้ที่โรงเตี๊ยมนั่นอยู่ตั้งหลายวันกว่าจะเป็น แต่พอนางเห็นภาพหลินซือเย่าเลือนรางจากกระจกก็อดเบะปากไม่ได้ ในใจแอบคิดว่า ดูท่า เจ้าคงเคยหวีผมให้หญิงอันเป็นที่รักมาก่อนล่ะสิ
หลินซือเย่ามัวแต่ตั้งใจกับการเคลื่อนไหวของมือ บรรจงหวีผมสลวยนุ่มมือของนางเบาๆ นับได้เก้าสิบเก้าครั้งแล้วก็วางหวีลง แบ่งผมยาวออกเป็นสองส่วนหมุนวนขึ้นไปตั้งเหนือศีรษะ ปักปิ่นหยกที่นางชอบที่สุดอันนั้น ก่อนนำผมที่เหลือที่ทิ้งประบ่าอยู่แบ่งออกเป็นสองส่วนไปทิ้งไว้ด้านหน้าสองข้าง ที่เหลือก็ปล่อยให้ทิ้งอยู่บนบ่าตามสบาย
“เสร็จแล้ว” หลินซือเย่ามองชื่นชมผลงานชิ้นเอกของตนเองอย่างได้ใจ มองซูสุ่ยเลี่ยนในกระจกพลางถามอ่อนโยนว่า “พอใจไหม”
ซูสุ่ยเลี่ยนมองกระจกอยู่นาน เงียบไป
“ทำไมหรือ ไม่ดีหรือ อย่างนั้น…ข้าแกะออกใหม่ เจ้าทำเอง…”
“เปล่า” ซูสุ่ยเลี่ยนรีบดึงมือเขาที่คิดจะแกะผมออก ส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ใช่ไม่ดี ดีมากต่างหาก” หลินซือเย่าได้ยินก็ยิ้มกว้าง
“อาเย่า เจ้า…เมื่อก่อนเคย…ทำให้หญิงในดวงใจหรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนอดถามสิ่งที่เก็บอยู่ในใจออกมาไม่ได้ ไม่ถามให้รู้เรื่อง วันหน้านางก็ยากจะทำใจได้ กล่าวจบก็รู้สึกว่าวันดีเช่นนี้ นางกลับเลือกบทสนทนาน่าอึดอัดเสียได้ ไม่เหมาะสมจริงๆ นางก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิด
หลินซือเย่าได้ยินก็หุบยิ้มอึ้งไป เพิ่งจะเข้าใจความหมายนาง เห็นนางก้มหน้าลงไม่พูดอีก ก็ยิ้มยองตัวลงนั่งข้างกายนาง เอื้อมมือไปแตะใบหน้านางให้หันมาทางเขา พูดชัดถ้อยชัดคำว่า “ซูสุ่ยเลี่ยน เจ้าเป็นคนแรก และจะเป็นคนเดียวของข้าชั่วชีวิต กล่าวเช่นนี้เข้าใจไหม”
ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็ชี้ไปที่มวยผมอย่างไม่เชื่อ “แต่ว่า…”
“อันนี้ข้าดูมาตอนเจ้าเรียนกับสาวใช้” สีหน้าหลินซือเย่าออกอาการย่ำแย่เต็มที ตอนนั้นเขาเรียกได้ว่าแอบดู ตอนมาตามซูสุ่ยเลี่ยนไปกินข้าวเช้า ก็เห็นนางกำลังเรียนเกล้าผมกับสาวใช้ ดังนั้นจึงได้แอบดูเงียบๆ อยู่ที่ประตู สามวันติดกันก็ย่อมมองวิธีการเกล้าผมออก
“จริงหรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนเอียงหน้าถาม ในใจก็เริ่มแอบนึกตำหนิตนเอง ตนกลายเป็นสาวช่างหาเรื่องไปตอนไหนกัน
หลินซือเย่าไม่ได้ตอบนางตรงๆ หากดึงนางลุกขึ้นก้มหน้าลงขโมยจุมพิตนาง อมยิ้มมองนางพร้อมกับพยักหน้าหนักแน่น จากนั้นค่อยช่วยนางเปลี่ยนกระโปรง และดึงนางออกจากห้องไปเตรียมพิธีขึ้นบ้านใหม่
……
ตอนเที่ยงซูสุ่ยเลี่ยนกับหลินซือเย่าก็มาถึงลานหน้าศาลบูชาในเมืองฝานฮัวตรงเวลา
ลานด้านหน้าวางโต๊ะจัดเลี้ยงไว้สี่ตัว เชิญแขกมาจากเก้าครอบครัว ต่างนั่งเข้าที่เรียบร้อยรอพวกเขาสองคนอยู่
พอเห็นเจ้าของงานมาถึงตรงเวลาก็ปรบมือกล่าวอวยพรพร้อมกัน
ผู้ใหญ่บ้านหวังเกิงฟาถูกคนอื่นๆ ดันขึ้นหน้ามา ถูกขอให้กล่าวคำอวยพรมงคลสักสองสามประโยค
“อะแฮ่ม…คือว่า…ข้าพูดสักสองประโยค ก่อนอื่น ยินดีต้อนรับพวกเจ้ามาตั้งรกรากในเมืองฝานฮัวเรา จากนี้พวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว (เสียงปรบมือดัง) อันดับต่อมา ขอบคุณพวกเจ้าที่ซื้อบ้านเก่าข้าไปด้วยเงินสิบห้าตำลึง แหะๆ…อันนี้สำคัญเป็นพิเศษ เพราะงานแต่งลูกข้าก็จะได้จัดเรียบร้อยไปด้วย (เสียงปรบมือดัง) สุดท้าย ขออวยพรให้พวกเจ้าขึ้นบ้านใหม่ อะไรนะ อ้อ ครอบครัวข้าไม่ได้มอบของขวัญ ไว้ตอนไปกินเลี้ยงที่บ้านก็จะไม่กินเปล่าๆ แล้ว คืนนี้มีงานมงคล ไว้ข้ากลับไปจะให้ลูกข้าจูงแม่แพะไปสักตัว นับว่าเป็นของขวัญอวยพรจากครอบครัวข้า (เสียงปรบมือดังสนั่น)”
หวังเกิงฟากล่าวอวยพรจบ รอบทิศก็ส่งเสียงหัวเราะกันดังลั่น ซูสุ่ยเลี่ยนเม้มปากกลั้นหัวเราะจนหน้าแดงไปหมด หลินซือเย่าตบสองแก้มนางที่เกร็งจนแข็งไปหมดอย่างเห็นได้ชัดอย่างเบามือ ขำกล่าวว่า “อยากหัวเราะก็หัวเราะสิ”
“พรืด” ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็หลุดหัวเราะออกมา หันไปสบตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของหลินซือเย่า “มาเมืองฝานฮัวนี่ถูกต้องแล้ว ใช่ไหม”
หลินซือเย่าพยักหน้า แววตาอ่อนโยนไม่น้อย
“เอาละ ทุกคนเข้านั่งประจำที่ได้แล้ว งานเลี้ยงเริ่มได้” ป้าเหลาก็ออกจากเพิงที่สร้างเป็นห้องครัวง่ายๆ เรียกทุกคนประจำที่นั่ง
จากนั้นลูกสาวหลายครอบครัวก็ออกมาดูแลงานกันแข็งขัน ช่วยยกอาหารขึ้นโต๊ะ
“เกรงใจจริง ทำอย่างนี้ได้อย่างไร ข้าไปเองดีกว่า” ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นก็คิดจะลุกขึ้น ถูกหลินซือเย่ารั้งไว้ “ไม่ต้องไปช่วย เฝิงเหล่าลิ่วบอกข้าแต่แรกแล้วว่า ให้ลูกสาวพวกเขามาช่วยงาน แล้วจ่ายเงินค่าแรงให้แต่ละคนไป” ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินเช่นนี้ก็กลับลงนั่งตามเดิม ในเมื่อเฝิงเหล่าลิ่วเป็นคนเอ่ยเองก็ย่อมไม่เป็นไร ไม่อย่างนั้นจ่ายเงินเรื่องเล็ก กลัวแต่ชาวบ้านจะคิดว่าตนสองคนวางท่าใหญ่โต เพิ่งย้ายมาก็เรียกใช้ลูกสาวของครอบครัวคนในหมู่บ้าน