เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา - ตอนที่ 40 หงส์เกี้ยวหงส์
สี่ชุ่ยนำเครื่องมือปักผ้ามา เป็นผ้าไหมแวววาวขนาดสองเมตรกับภาพตัวอย่างที่เป็นหงส์เกี้ยวหงส์สีทอง ส่วนด้ายปักและเข็มปักนั้น ล้วนเป็นสิ่งที่ช่างรับงานปักต้องจัดหาเอง ร้านปักไม่จัดหาให้
“พี่สุ่ยเลี่ยน” สี่ชุ่ยก้มหน้าลงลอบมองนางอย่างละอาย
“ไม่เป็นไร สามวันน่าจะพอ มา เข้าห้องปักกัน รีบล้างมือลงมือทำงาน” ซูสุ่ยเลี่ยนนำตะกร้าใส่เครื่องปักที่สี่ชุ่ยคล้องไว้ที่แขนเดินเข้าไปที่เครื่องปัก ก่อนจะดึงนางไปล้างมือที่ห้องครัว
สี่ชุ่ยเห็นซูสุ่ยเลี่ยนไม่ได้มีท่าทีตำหนิตนเองแม้แต่น้อย ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยล้างมือเสร็จก็ตามซูสุ่ยเลี่ยนไปห้องปักผ้า
พอซูสุ่ยเลี่ยนจุดกำยานเสร็จ ก็เอาภาพงานปักที่สี่ชุ่ยนำมาออกมาดู
“ดูภาพตัวอย่างงานปัก หงส์คู่นี้ใช้ไหมทองเป็นหลัก เสริมด้วยไหมเงิน ที่เหลือก็เป็นกิ่งก้านสีเขียวมรกตกับสีฟ้าทะเลสาบ พระจันทร์เสี้ยวใช้ไหมเงินเป็นหลัก ไหมทองเสริม”
ซูสุ่ยเลี่ยนนำผ้าไหมขึ้นตรึงไว้ที่แท่นปัก พลางพูดถึงเส้นไหมที่จะต้องใช้แต่ละจุด แบ่งงานกับสี่ชุ่ย “สี่ชุ่ย ข้าปักจากตัวหงส์ เจ้าเริ่มจากกิ่งก้าน เช่นนี้เราสองคนก็จะไม่ชนกัน”
สี่ชุ่ยได้ยินก็พยักหน้ารับคำ ขณะเดียวกันก็รีบหยิบไหมและเข็มออกมาเตรียมลงมือ
“ไม่ต้องรีบ ค่อยๆ ปัก พยายามอย่าให้ผิดพลาด” ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นดังนี้ก็ปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทันทีที่ลงมือปัก หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นก็จะช้ายิ่งกว่าเดิม นับประสาอะไรกับยังส่งผลกระทบต่อความงามทั้งผืนอีกด้วย
แม้ว่านางไม่ได้ถามว่าหากทำงานชิ้นนี้ไม่เสร็จ หรือผลงานไม่ได้ตามมาตรฐาน ครอบครัวป้าเหลาต้องชดใช้เงินเท่าไร แต่ดูจากสีหน้าป้าเหลากับสี่ชุ่ยสองคนแล้ว ก็พอเดาได้หลายส่วน เงินชดเชยย่อมต้องไม่น้อย
……
นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้สัมผัสกับงานปักจริงๆ นับตั้งแต่มาสู่แผ่นดินต้าหุ้ยนี้
ก่อนหน้านี้แค่ผ้าห่ม ปลอกหมอน ผ้ารองหมอน และผ้าคลุมหน้าที่ปักลายนกเป็ดน้ำคู่เล่นน้ำ หรือจะเสื้อผ้าของหลินซือเย่ากับนางที่ปักลวดลายสี่สุภาพบุรุษแห่งมวลบุปผาอย่าง ดอกเหมย ดอกเบญจมาศ ดอกกล้วยไม้ และไผ่ ที่ล้วนใช้วิธีการปักที่ซับซ้อนที่สุดก็แค่หน้าเดียว สำหรับนางแล้วแทบไม่ได้รู้สึกกดดันอะไรเลย เป็นงานที่คล่องมือมาก
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน อย่าว่าแต่ภาพหงส์เกี้ยวหงส์ที่ขอให้ปักแบบมองได้ทั้งสองด้านเลย เพราะแค่ด้านเดียวก็ปักยากไม่น้อยแล้ว แต่ตามตัวอย่างที่ให้มา ยังต้องทำให้หงส์สองตัวสยายปีกอยู่ใต้แสงจันทร์ ข้างกิ่งไม้เหนือทะเลสาบ ต้องปักให้ปีกยาวและเหมือนเคลื่อนไหว นี่ต้องใช้ฝีมืองานปักเน้นลวดลายเส้นขนแบบฉบับร้านตระกูลผ้าปักซูซิ่ว
ถือเข็มปักคิดอยู่สักครู่ เห็นสี่ชุ่ยเริ่มใช้เข็มปักกิ่งก้านเขียวแล้ว ก็ยิ้มเอ่ยเสนอว่า “สี่ชุ่ย หากใช้วิธีการปักแบบเสวียนเจินที่ทำให้ฝีเข็มสั้นยาวสลับกันหรือใช้เข็มยาวปักก้าน สีสันก็จะยิ่งเสมือนจริง” อย่างไรภาพตัวอย่างงานปักก็แค่ภาพขาวดำที่เหมือนจริง หากปักภาพดิ้นทองออกมาแค่เหมือนแต่ไม่ตื่นตา ก็คงถูกหาที่ติและหักเงิน
สี่ชุ่ยได้ยินสีหน้าก็แอบเขินอาย “พี่สุ่ยเลี่ยน ข้า…ข้ากลัวว่าไม่ทัน…”
“ทัน พวกเราแบ่งงานกัน ต้องทัน” ซูสุ่ยเลี่ยนพยักหน้าให้สี่ชุ่ย “หากไม่ทันจริง ข้ารับชดใช้เงินแทนเจ้าเอง ในเมื่อรับไว้แล้ว พวกเราก็ควรต้องทำให้ถึงที่สุด” ซูสุ่ยเลี่ยนมีความเคารพและยึดมั่นในงานปักซูซิ่วมาก หากเพียงแค่ไม่ทัน นางก็แค่ยอมใช้เงินแทนให้ก็พอ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ซูสุ่ยเยี่ยนมักจะแอบว่าต่อหน้าและลับหลังนางว่าดื้อดึง ไม่รู้จักพลิกแพลง
พลิกแพลง? นางไม่รู้จริงๆ ว่าต่อหน้าภาพวาดหมึกระบายแสดงความนัยของจิตใจผ่อนคลาย จะให้นางดึงดันใช้วิธีปักแบบง่ายๆ ลงบนผืนผ้าต่วนสูงค่าเพราะต้องการแอบขี้เกียจได้อย่างไร เรื่องเช่นนี้นางย่อมไม่อยากทำ ดังนั้นนาง ‘ซูสุ่ยเลี่ยน’ จึงได้เป็นหัวหน้าช่างปักอันดับหนึ่งของร้านตระกูลผ้าปักซูซิ่วอันเป็นกิจการตระกูลซูติดต่อกันห้าสมัย ส่วนซูสุ่ยเยี่ยนทำไม่ได้ เพียงแต่ตอนนี้น่าจะเป็นสุ่ยเยี่ยนที่เป็นตัวแทนตระกูลซูเข้าร่วมการแข่งปักผ้าซูซิ่วนานาชาติแสนยิ่งใหญ่ครั้งนี้แทนนางแล้วกระมัง
ซูสุ่ยเลี่ยนสะบัดหัวตั้งสมาธิ เริ่มใช้เข็มด้นนำไปบนผ้าไหม
สี่ชุ่ยได้ยินวาจาซูสุ่ยเลี่ยน ใจก็สงบนิ่งลงมาก หยุดเข็มที่เริ่มปักไปได้ไม่กี่เข็ม เลือกวิธีการปักที่แม้ว่าซับซ้อนแต่ได้ผลดี วิธีการปักแบบเสวียนเจินจะทำให้ภาพเสมือนจริง ลองปักไปสองสามเข็ม กำลังคิดเงยหน้ามองภาพแบบ ก็เห็นภาพซุสุ่ยเลี่ยนกำลังตั้งใจปักผ้าสะกดสายตานางไว้ทันที
ใบหน้างดงาม จิตใจสงบนิ่ง มือปักรวดเร็วหากไม่รีบร้อน แสงแดดอ่อนส่องผ่านผ้าม่านเข้ามาในห้องปักผ้า ยิ่งทำให้นางดูงดงามมากยิ่งขึ้น อย่าว่าแต่ผู้ชาย แม้แต่นางที่เป็นหญิงสาวยังไม่ออกเรือนเห็นแล้วยังต้องตกในภวังค์ดื่มด่ำกับภาพตรงหน้านี้ มิน่าท่านแม่นาง ป้าเถียน และบรรดาป้าๆ ต่างก็ชื่นชมไม่หยุด สตรีเช่นนี้ ยังมีผู้ใดไม่คิดแต่งเป็นภรรยามาเฝ้ารักหวงแหนทะนุถนอมในดวงใจกัน
สี่ชุ่ยแอบนึกชมในใจ ยืดตัวขึ้นตั้งตรงอย่างไม่รู้ตัว เลียนแบบท่าทางการปักผ้าของซูสุ่ยเลี่ยนขึ้นมา ในใจแอบตั้งใจไว้ว่า ก่อนออกเรือนจะต้องเรียนรู้จากซูสุ่ยเลี่ยนให้มาก เรียนวิธีการปักที่ประณีตของนางได้ก็ดี เรียนท่าทางสง่างามของนางได้ก็ดี จะต้องทำให้ชายของตนเองในวันหน้ารักและทะนุถนอมนางให้ได้เหมือนหลินซือเย่าที่ดีต่อซูสุ่ยเลี่ยน
……
“อาเย่า ข้ามาส่งข้าว พวกนางยังทำงานอยู่หรือ” ป้าเหลาก้าวเข้าบ้านมาพร้อมตะกร้าคล้องแขน พอเห็นหลินซือเย่ากำลังรดน้ำแปลงดอกไม้อยู่ก็ยิ้มทักขึ้น
หลินซือเย่าวางบัวรดน้ำไม้ในมือลง ลุกขึ้นหันไปพยักหน้าให้ป้าเหลา “นำกลับไปเถอะ กลางวันพวกนางกินแต่หมั่นโถว” หลินซือเย่าถ่ายทอดคำสั่งของซูสุ่ยเลี่ยนก่อนเข้าห้องปักผ้า
“อา? ได้อย่างไรกัน อย่างไรก็ต้องกินข้าวกินปลากันก่อน ดูข้าสิ ยังให้พ่อสี่ชุ่ยเข้าเมืองไปซื้อเนื้อกลับมาตั้งหนึ่งชั่ง มาตุ๋นเนื้อน้ำแดงนี่” ป้าเหลาชูตะกร้าในมือ ไม่ทันระวังลูกหมาป่าสองตัวตรงเท้าที่พอได้ยินคำว่าเนื้อ ก็น้ำลายหยดวิ่งวนรอบนาง
“สุ่ยเลี่ยนต้องการเช่นนี้ กลัวว่าหากกินข้าวจะเสียเวลา” หลินซือเย่าสีหน้าเย็นชา ในใจเริ่มรู้สึกรำคาญแล้ว นี่มันช่วงเวลาข้าวใหม่ปลามันของตนเองนะ ต้องมาถูกนางมากเรื่องพวกนี้ทำเอาพังทลาย แม้ป้าเหลาจะช่วยเหลือซูสุ่ยเลี่ยนกับเขาไว้ไม่น้อย แต่เขายอมเสียเงินสามตำลึงนี้ไปดีกว่าให้พวกนางมาทำให้ให้สุ่ยเลี่ยนลำบาก น่าเสียดายแค่ตอนนี้เขาไม่มีเงิน เงินที่ใช้ล้วนเป็นเงินของสุ่ยเลี่ยน เขาได้แต่กลืนความไม่พอใจนี้ลงไป
“เสีย…เสียเวลา? กล่าวเช่นนี้ พวกนางไม่คิดกินข้าวกลางวัน?” ป้าเหลาฟังความจากหลินซือเย่าเข้าใจก็อดพึมพำตามอีกครั้งไม่ได้
หลินซือเย่าพยักหน้า จากนั้นก็เตรียมเข้าห้องครัว กะว่าจะนึ่งหมั่นโถวยกเข้าไปให้พวกนาง
“เอ่อ…คือ อาเย่า อย่างนั้น อาหารนี้ทิ้งไว้ที่เจ้าแล้วกัน พวกนางออกมาตอนไหน ก็ให้พวกนางกินตอนนั้น อย่าปล่อยให้หิว อา?” ป้าเหลาส่งตะกร้าที่แขนให้หลินซือเย่า ยัดใส่มือเขาตอนที่เขาไม่ทันระวัง “อย่างนั้นข้ากลับก่อนละ เอ่อ คือ…ตอนบ่ายค่อยมาใหม่” จากนั้นก็รีบก้าวออกจากบ้านไปทันที
คิดแล้วก็ขนลุก คิดถึงเรื่องนี้อย่างไรก็เป็นนางที่บุ่มบ่ามมา เห็นรัศมีรอบกายหลินซือเย่าแสนเย็นเยียบแล้วก็คิดว่าต้องไม่พอใจตนเองแน่ ก็ใช่ คนเขาเพิ่งแต่งงาน อยู่สงบสุขได้ไม่กี่วัน ก็ถูกลูกสาวนางเอาเรื่องยุ่งยากมารบกวน เป็นใครก็ย่อมไม่พอใจ
โอย! ไม่มีสมองจริงๆ ป้าเหลาตบหน้าผากตนเองอย่างแรง ปากก็เอาแต่บ่นตลอดทางเดินกลับบ้าน