เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา - ตอนที่ 51 พระจันทร์กลม คนพร้อมหน้า
“วันหน้า มีข้า” หลินซือเย่าก้มลงปิดริมฝีปากอ่อนนุ่มหอมสุราดอกกุ้ยของนาง ประทับคำมั่นสัญญา วันหน้าเขาจะต้องไม่ให้นางถูกทำร้ายอันใดทั้งนั้น ไม่ว่าผู้ใดก็อย่าได้คิดจะทำร้ายนางแม้แต่ปลายก้อย
“อืม ขอบคุณ…” นางหรี่ตางามส่องประกายเงยหน้ายิ้มให้เขา มองเข้าไปในดวงตาที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้งสุดลึกของเขา
“บอกแล้วว่าอย่าได้เห็นข้าเป็นคนนอก” เขาก้มลงขบริมฝีปากอ่อนนุ่มของนางอีกครั้ง ราวกับเป็นการลงโทษ แต่ก็เหมือนคำมั่นสัญญา ใช่แล้ว สามีภรรยากันต้องขอบคุณอันใด “พวกเรากลับห้องกัน” หลินซือเย่าอาลัยอาวรณ์ริมฝีปากนางไม่อยากผละออก ยกนิ้วหัวแม่มือลูบไล้แผ่วเบา แต่น้ำเสียงเหมือนไม่ได้มีความรู้สึกว่าจะหารือ
“ตอนนี้…ไม่ใช่พระจันทร์ยังขึ้นไม่เต็มหรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนเงยหน้ามองไปยังพระจันทร์ดวงกลมที่ยังไม่ขึ้นตรงบนยอดไม้ ตบแก้มสีชมพูของตนแสดงให้เห็นว่าตนยังมีสติครบถ้วน
“พอสมควรแล้ว” เขารอไม่ไหวแล้ว ผู้ใดว่าวันไหว้พระจันทร์ชมจันทร์จะต้องนั่งกันเรียบร้อยแล้วเงยหน้าชมกัน บนเตียงก็ชมได้ไม่ใช่หรือ เชื่อว่าหากได้กอดนางนั่งพิงหัวเตียงชมจันทร์ดวงกลมนอกหน้าต่างย่อมให้ความรู้สึกที่ดีกว่า
ดังนั้นจึงไม่คิดถามความเห็นสตรีตัวน้อยอีก อุ้มนางขึ้นมาตรงเข้าห้องนอนในทันที วางนางลงบนเตียงสี่เสาเรียบร้อย ก็ถอดชุดเขาและนางออกอย่างรวดเร็วลงนอน…
ในห้องนอนกลิ่นอายหอมหวาน นอกหน้าต่างดวงจันทร์กระจ่างใส
สองลูกหมาป่าเห็นดังนี้ก็ส่ายหน้าสะบัดหางมองตามสองคนลับตาแล้วก็ปรี่ไปที่โต๊ะศิลา อา อา อา…อาหารเลิศรสบนโต๊ะตกเป็นของพวกมันแล้ว
ซูสุ่ยเลี่ยนตื่นมาก็ยกมือขยี้ขมับสองข้างของตนเอง ในใจก็แอบบ่นพึมพำว่า ก็แค่สามจอกไม่ใช่หรือ นึกถึงเมื่อก่อนตอนลิ้มลองสุรากับพี่ใหญ่ มากที่สุดครั้งหนึ่งนั้นก็ดื่มไปขวดเล็กๆ ขวดหนึ่ง โอย…แน่นอน นั่นคือเหล้าองุ่น ไม่อาจบอกอะไรได้ บอกได้แต่สุราดอกกุ้ยที่นี่ฤทธิ์แรงนัก ทำให้นางคิดไม่ออกว่าหลังเมาแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง และ…กลับมาห้องนอนนี่ได้อย่างไร
“ตื่นแล้วหรือ” เสียงทุ้มแผ่วเบาของหลินซือเย่าดังขึ้นข้างใบหูนาง น้ำเสียงเหมือนสัพยอก สองมือยังคงรัดตัวนางไว้แน่น แผ่นหลังนางติดกับหน้าอกเขา สองขายังถูกเขาตรึงไว้ระหว่างสองขายาวของเขา
ซูสุ่ยเลี่ยนใบหูแดงเถือก เลียนแบบกุ้งขดตัว พยายามไม่ให้กายเขาแนบกายนาง ได้แต่นึกอายไม่กล้าหันกลับไปมอง สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าตอนนี้สองร่างแนบชิดกันเช่นนี้ ถือเป็นครั้งแรกของนาง
เดิมหลังจากเสร็จภารกิจ ไม่ว่านางจะตื่นหรือไม่ได้สติ ก็รู้ว่าเขาจะต้องชำระร่างกายให้เขาและนางก่อน จะช่วยนางสวมเสื้อตัวใน และเขาเองก็จะสวมกางเกง
แต่คืนวานนี้…อาจกล่าวได้ว่าเป็นเพราะสุราดอกกุ้ยก่อเรื่องโดยแท้ นางยิ่งคิดก็ยิ่งอาย
“สุ่ยเลี่ยน…” เขาอมยิ้มกระซิบเรียกนาง รู้ว่านางอาย สตรีผู้นี้ตั้งแต่แต่งงานมาถึงตอนนี้ แม้สองคนจะชิดใกล้กันมาไม่น้อยกว่าสิบครั้ง แต่นางก็ยังคงไม่กล้ามองหน้าตนเองตรงๆ เสียที
“อา อาเย่า” นางอดครางเรียกชื่อเขาขึ้นเบาๆ ไม่ได้ อาการแดงลามไปทั่วร่างกาย
เขาพลิกนางเข้าหากายเขาทันที นางตกใจได้แต่ยันหน้าอกเขาไว้ สองแก้มป่องตากลมโตจ้องมองใบหน้าเขา ไม่กล้ามองไปที่อื่น
“ฮา ฮา ฮา…” หลินซือเย่าเห็นก็อดไม่ไหวจนต้องหัวเราะดังลั่นออกมา เป็นเสียงหัวเราะกังวานก้องที่แต่ไรมาไม่ค่อยได้เห็นจากใบหน้านิ่งเรียบเยียบเย็นของเขานัก ทำเอาซูสุ่ยเลี่ยนมองตาค้าง
เขา ที่แท้เขาหัวเราะขึ้นมาก็น่ามองเช่นนี้เอง
ซูสุ่ยเลี่ยนอดเอื้อมมือออกไปลูบใบหน้าแย้มยิ้มหล่อเหลาของเขาไม่ได้ คิ้วเป็นปื้นเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากเต็มอิ่ม และ…ลักยิ้มที่เผยให้เห็นเพราะกำลังหัวเราะเต็มที่
ใช่แล้ว นักฆ่าใบหน้าเย็นชาราวน้ำแข็ง พอหัวเราะขึ้นมาก็ถึงกับเผยให้เห็นลักยิ้มบุ๋มน่ารักสองข้างแก้มที่ทำให้คนที่เห็นต้องหลงใหล
“เป็นเพราะเหตุนี้หรือ” นางอดหลุดพูดสิ่งที่คาดเดาในใจออกมาไม่ได้
“หืม?” หลินซือเย่าที่เก็บรอยยิ้มกว้างกลับคืนไปแล้ว เหลือแต่รอยยิ้มที่ค้างอยู่ที่ริมฝีปาก อยู่ๆ ได้ยินซูสุ่ยเลี่ยนถามเช่นนี้ก็อดเลิกคิ้วสงสัยไม่ได้
“ปกติไม่ค่อยชอบหัวเราะเพราะมีลักยิ้มหรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนขยี้สองแก้มเขา คิดจะมองดูลักยิ้มแสนน่ารักแสนน่าหลงใหลของเขาอีกครั้ง
“เจ้าชอบ?” เขารั้งมือนางมากุมไว้ ทำให้นางต้องโอบเอวเขาเอาไว้ จากนั้นสองมือเขาเริ่มวาดผ่านร่างนุ่มนิ่มลื่นละมุนของนาง
“อา อาเย่า…” ซูสุ่ยเลี่ยนได้สติก็ดิ้นรนอย่างเขินอาย เสียงดังไร้ผล สองมือโอบเอวเขาก็ลูบไล้ไปยังรอยแผลเป็นมากมายที่เริ่มจางหายไปบนกายเขา
คืนแต่งงานพบว่าบนร่างกายเขามีรอยแผลนับไม่ถ้วน เขาไม่พูด นางก็ไม่ถาม แต่เห็นรอยแผลมากมายเช่นนี้แล้ว ก็พอจะทำให้นางจินตนาการภาพอันน่าตกใจในตอนนั้นได้
“น่าเกลียดหรือ” ทุกครั้งที่นางลูบไล้รอยแผลเป็นแผ่วเบา เขาก็มักจะถามออกไปอย่างนึกเยาะตนเอง
“เปล่า” นางตอบไปเช่นนี้ ใช่แล้ว ในสายตานาง รอยแผลพวกนี้ ไม่เกี่ยวกับสวยหรือไม่ นางเพียงแต่รู้สึกปวดใจอย่างไม่รู้สาเหตุ ปวดใจกับความทุกข์ทรมานที่เขาประสบมา
“อาเย่า น้ำในน้ำเต้านั่นดื่มแล้วได้ผลไหม” ครั้งแรกที่นางเห็นรอยแผลก็ถามเช่นนี้
“ไม่รู้” เขาตอบน้ำเสียงนิ่งเรียบ
ความจริงเขาย่อมรู้ถึงประสิทธิภาพน่ามหัศจรรย์ของกลั่นหยกเซียน ตอนแรกนางป้อนให้เขากินช้อนหนึ่ง ทาภายนอกอีกช้อนหนึ่ง ผ่านไปไม่กี่เดือนก็หายดี ไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ควรหลงเหลือของบาดแผล แม้แต่ท้องที่ถูกแทงมีบาดแผลนับไม่ถ้วนก็ยังหายสนิทไร้ร่องรอย
“เจ้ารังเกียจข้า?” เขาแสร้งทำเสียงเจ็บปวดถามนาง กลัวว่านางจะเอาน้ำที่เหลือติดก้นน้ำเต้าออกมาบังคับให้ตนกิน
คิดถึงกลั่นหยกเซียนที่ชาวยุทธภพเห็นเป็นดังของวิเศษถูกนางเอามาใช้เป็นยาทารอยแผล เขาก็อยากจะก่ายหน้าผากถอนหายใจเสียจริง
“แน่นอนว่าไม่” พอได้ยิน นางก็รีบโบกมือ กลัวแต่ว่าเขาเห็นแล้วจะเสียใจเท่านั้นเอง
“ไม่ก็ดี วันหน้าห้ามหลั่งน้ำตาให้กับรอยแผลเป็นที่ไม่ได้รู้สึกอะไรพวกนี้อีกแล้วอย่างเด็ดขาด” เขากำชับเสียงเข้ม
……
“อา…อาเย่า…ยังไม่ตื่นอีกหรือ ฟ้าสางแล้ว” ซูสุ่ยเลี่ยนไม่กล้าสบสายตาร้อนแรงของเขา แอบหลบสายตาไปมา
“ยังเช้าอยู่” เขายังคงหน้าทนกอดรัดนางไว้ไม่ยอมให้นางลุก จิตใจเขาเริ่มพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง
“แต่ว่า ต้าเป่าไม่ใช่ว่าจะมาฝึกแต่เช้าหรือ” เมื่อวานนี้เขาสั่งต้าเป้าไว้ชัดๆ จากวันนี้ไปหากไม่มีอะไรมาขัดก็ต้องมารายงานตัวฝึกฝนตั้งแต่เช้าในยามเหม่า
“อืม” เขานึกได้ แต่ก็ยังอดคิดไปอีกทางไม่ได้ หากรู้ว่ารับศิษย์แล้วยุ่งยากเพียงนี้ ไม่สู้ไม่รับดีกว่า
“จุมพิตข้าที” เขาพูดอย่างอารมณ์ดี ในเมื่อไม่อาจกอดร่างนุ่มต่อ อย่างไรนางก็ต้องปลอบใจที่เขาต้องระงับจิตใจที่พลุ่งพล่านขึ้นมาบ้าง
ซูสุ่ยเลี่ยนกอดคอเขาไว้อย่างเขินอาย รั้งใบหน้าเขาลงมือจุมพิตไปที่ริมฝีปากเขาเบาๆ ทีหนึ่งด้วยจิตใจที่พลุ่งพล่าน
จุมพิตแผ่วเบาเห็นชัดว่าไม่อาจทำให้เขาพึงใจได้ เขาตรึงริมฝีปากนางไว้ ฉวยโอกาสที่ริมฝีปากนางเผยอออกจุมพิตนางอย่างเร่าร้อน
“อา อาเย่า…” นางร้องเตือนเบาๆ ยามได้จังหวะหายใจ ได้ยินเสียงเคาะห่วงประตูดังแว่วมาจากประตูด้านหน้าแล้ว
“ควรตายแท้” หลินซือเย่าสบถเบาๆ ระงับความพลุ่งพล่านลุกจากเตียง