เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา - ตอนที่ 57 หยางกุ้ยเฟยเมาสุรา
“พี่สุ่ยเลี่ยน พี่ไม่ไตร่ตรองหน่อยหรือ” สี่ชุ่ยถามย้ำอีกเป็นครั้งที่สาม
“อืม ทำเบาะรองนี้เสร็จ ข้ายังต้องเย็บเสื้อชุดกลางหนาให้อาเย่าอีกสักสองชุด” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มบางปฏิเสธความหวังดีของสี่ชุ่ย
อากาศเริ่มหนาวแล้ว หลินซือเย่ายังคงสวมเสื้อตัวบางสองตัว แม้ตัดเสื้อกั๊กนวมกับชุดหน้าหนาวเสร็จแล้ว แต่เขาไม่ชินหากต้องสวมตอนอยู่บ้าน เอาแต่บอกว่าไม่หนาว แต่ว่าหันกลับมามองดูนาง ทั้งตัวหุ้มด้วยเสื้อหนาบุใยฝ้ายนานแล้ว น้ำในแม่น้ำตอนเช้าก็เริ่มกลายเป็นแผ่นน้ำแข็งแล้ว หากยังหนาวต่อไปก็ย่อมเป็นหน้าหนาวที่มีหิมะตกและน้ำแข็งหนาสามฉื่อแล้ว ดังนั้นนางจึงกะว่ารอให้งานในมือหมดลงก็จะเย็บเสื้อตัวกลางหนาๆ ให้เขาอีกสักสองชุด
นางก้มหน้าเย็บต่อ ใช่แล้ว หนังหมีดำหลังหลินซือเย่าใช้สุราจัดการราดเรียบร้อยก็ไม่มีกลิ่นสาบอีก
หลายวันนี้ถือโอกาสที่อากาศดี รีบเอาออกไปตากแดดและนวดก่อนจะผึ่งให้แห้งสนิท หนังก็นุ่มนิ่มไร้กลิ่น ใช้หวีซี่แบบสองด้านค่อยๆ หวีเบาๆ เศษขนถูกขจัดทิ้งหมด หนังหมีทั้งแผ่นก็เงางามนุ่มลื่น
จากนั้นนางจึงได้ปูแผ่นหนังราบให้เหมือนกับตัวหมีแล้วใช้กรรไกรตัดเป็นรูป กะให้พอดีกับขนาดความยาวของเตียง กะว่าจะเย็บเป็นผ้าห่มขนสัตว์สี่เหลี่ยมผืนผ้า แม้ว่าต่อกันแล้วยังคงไม่ได้ขนาดเตียงใหญ่ แต่ก็ทำให้คืนหน้าหนาวอันหนาวเหน็บได้มีผ้ารองหนังหมีขนนุ่มหนาๆ ไว้ให้ความอุ่นร่างกายได้ นั่นจะแสนสุขวาสนาขนาดไหนกัน
ฮิๆ…ซูสุ่ยเลี่ยนคิดถึงตรงนี้ ก็มุมปากงามก็ยิ้มอย่างไม่อาจระงับใจ
“พี่สุ่ยเลี่ยน…” สี่ชุ่ยเห็นท่าทางซูสุ่ยเลี่ยนยามนี้ก็รู้ว่านางเหม่อลอยคิดไปไกลถึงไหนแล้ว จึงได้แต่เรียกนางอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร “แต่ว่าตั้งหกตำลึงนะ” นางสำทับเสียงอ่อยอีกคำ ลองกล่อมนางให้รับงานปักนี้ดู
ตอนที่สี่ชุ่ยไปส่งมอบงาน เถ้าแก่ร้านผ้าปักเยว่อวิ๋นก็เชื้อเชิญให้นางขึ้นไปชั้นบนคุยกัน พอรู้ว่าภาพ ‘หงส์เกี้ยวหงส์’ เป็นฝีมือซูสุ่ยเลี่ยนเป็นหลัก ก็เสนองานอย่างกระตือรือร้นเต็มที่ งานปักชิ้นใหม่อย่างภาพหยางกุ้ยเฟยเมาสุรา[1]นี้อยากให้ซูสุ่ยเลี่ยนลงมือปักด้วยตนเอง หกตำลึงเป็นแค่ค่าแรงเริ่มต้น หากว่าปักเสร็จงานดีเยี่ยม ย่อมต้องเพิ่มเงินอีกก้อนเป็นรางวัลเหมือนชิ้นงานปัก ‘หงส์เกี้ยวหงส์’
เถ้าแก่เนี้ยยังบอกว่า ภาพหยางกุ้ยเฟยเมาสุรานี้เป็นหนึ่งในของขวัญที่ใต้เท้าเจ้าเมืองฝานลั่วจะมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับใต้เท้าที่เมืองจิ่นตู ไม่อาจเกิดความผิดพลาดแม้แต่น้อย
ดังนั้นสี่ชุ่ยจึงคิดดูแล้ว หากว่าครั้งนี้ยังคงรักษาคุณภาพดีเยี่ยมแบบภาพ ‘หงส์เกี้ยวหงส์’ ได้ อย่างน้อยก็ต้องได้ถึงแปดตำลึง
แปดตำลึงนะ! คิดถึงว่าคนอย่างพวกนางตรากตรำทำงานกันครึ่งค่อนชีวิต เงินที่สะสมมาได้ก็ไม่เกินยี่สิบตำลึง
ตอนนี้หากซูสุ่ยเลี่ยนพยักหน้ารับงานปัก ไม่เกินสองเดือนก็จะหาเงินได้เท่ากับค่าแรงงานเกินสิบปีของครอบครัวชาวนาทั่วไปที่ตั้งใจอดออมสะสมเงินทองกันตัวเป็นเกลียว
หากว่านางเองมีความสามารถ แปดตำลึงเพียงพอจะทำให้นางซื้อสมบัติเป็นสินเดิมออกเรือนของนางได้จำนวนมากเพียงพอ
แน่นอนนางก็แค่ฝันกลางวัน ภาพ ‘หงส์เกี้ยวหงส์’ ครั้งก่อนทำให้นางหาเงินได้สองตำลึงซึ่งเป็นจำนวนที่ก่อนหน้านี้นางไม่เคยคิดฝันก็ควรพอใจได้แล้ว และยังได้มาเพราะความช่วยเหลือของซูสุ่ยเลี่ยนอย่างเต็มที่ ไม่อย่างนั้นด้วยฝีมือปักของนาง แม้ว่าทำเสร็จตามเวลาก็คงไม่อาจทำเงินได้ถึงเพียงนั้น
ดังนั้นสี่ชุ่ยจึงมั่นใจงานปักของซูสุ่ยเลี่ยนมาก
ปัญหาคือคนสำคัญยังไม่ตอบตกลงรับงานปักนี้ สี่ชุ่ยคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก โอกาสดีๆ เช่นนี้ทำไมซูสุ่ยเลี่ยนต้องปฏิเสธ แปดตำลึงเพียงพอให้นางกับหลินซือเย่าใช้สบายๆ ไปถึงสามปีเลยกระมัง
“สี่ชุ่ย ข้ารับปากอาเย่าไว้แล้วว่าจะไม่รับงานปักเร่งรีบอีก” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มอายๆ พลางอธิบาย
ในเมื่อต้องปักให้เสร็จทันก่อนปีใหม่เพื่อนำไปเป็นของขวัญ ก็ย่อมต้องมีเวลาจำกัด ตอนนี้วันที่ห้าเดือนสิบเอ็ด ห่างจากปีใหม่อีกไม่ถึงสองเดือน หลังงานปักเสร็จ ร้านปักยังต้องลงแป้งซัก ล้างออก ตากแห้ง ทำให้นิ่ม ขึ้นตรึงอีกมากมายหลายกระบวนการ เช่นนี้เวลาที่เหลือให้ปักอย่างมากก็อีกแค่เดือนเดียว
แต่ว่าจะปักภาพหยางกุ้ยเฟยเมาสุราที่สี่ชุ่ยว่ายาวราวห้าเมตร สูงสองเมตร เดาว่าต้องเป็นฉากกำบังซ้อนกันขนาดใหญ่ถึงแปดบาน ด้วยความเร็วในการปักของนางเมื่อก่อน ทุ่มเทเวลานอกจากอาหารสามมื้อปักไม่หยุดทั้งยามพระอาทิตย์ขึ้น ก็ต้องใช้เวลาแรมเดือนนะ
ดังนั้นทันทีที่นางรับปากก็หมายความว่านางจะไม่ได้สนใจดูแลหลินซือเย่ามารับมืองานปักนี้ถึงหนึ่งเดือนเต็มๆ
แม้ว่าค่าแรงปักหกตำลึงจะไม่น้อย แต่ว่าในเมื่อรับปากอาเย่าไว้แล้ว ก็ย่อมไม่อาจรับงานปักที่ทำให้ประสาทตึงเครียดอีก นางไม่อาจผิดคำสัญญา นับประสาอันใดกับนางยังต้องเย็บชุดตัวกลางให้เขาอีกสองชุด รองเท้าฝ้ายหุ้มแข้งคู่ใหม่กับรองเท้าใส่ในบ้านให้เขาและนางอีกคนละคู่ เพียงแค่งานพวกนี้ก็ต้องใช้เวลาของนางตั้งสิบกว่าวันได้แล้ว ไหนเลยยังจะมีเวลาพอไปรับงานปักที่เวลาเร่งรัดอีก
“แต่ว่า…แปดตำลึงนะ…” สี่ชุ่ยเห็นซูสุ่ยเลี่ยนยังคงไม่ยอมรับ ได้แต่ไหล่ตกอย่างไม่รู้ทำเช่นไรดี แท้จริงแล้วเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนางเลย แม้ซูสุ่ยเลี่ยนรับงาน ร้านปักก็ไม่ได้ว่าจะให้รางวัลนาง นางเพียงแค่เสียดายแปดตำลึงเท่านั้น แม้ว่าไม่ได้เข้ากระเป๋านาง แต่นางก็เสียดาย
พรืด! ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นดังนี้ก็อดหลุดขำออกมาไม่ได้ “เอ่อ…ขอโทษ สี่ชุ่ย ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าท่าทางเจ้าน่ารักมาก” เห็นสี่ชุ่ยมองมาที่นางด้วยแววตาสลดหมดหวัง ก็รีบยิ้มขอโทษนาง
“น่ารัก? ควรบอกว่าเสียดายไหม” สี่ชุ่ยงึมงำ เสียดายแปดตำลึงที่กำลังจะเข้ากระเป๋าคนอื่นแทน ไม่ใช่เข้าถุงเงินของซูสุ่ยเลี่ยนที่ตนยกย่องให้เป็นช่างปักอันดับหนึ่ง
“สี่ชุ่ย ที่จริงฝีมือปักเจ้าก็ไม่เลว หากว่าก้าวพ้นวิธีการปักที่เป็นระเบียบแผนมากเกินไปได้ เจ้ารับเองได้เลย” ซูสุ่ยเลี่ยนไม่ได้แค่ปลอบใจ หลังจากความพยายามหลายครั้งมา งานปักสี่ชุ่ยในเมืองฝานลั่วก็นับได้ว่าโดดเด่น อย่างน้อยในสายตาซูสุ่ยเลี่ยน นอกจากวิธีการปักที่นางยังคงอนุรักษ์แบบเดิมมากเกินไปแล้ว ด้านอื่นๆ ก็ล้วนไม่ได้มีปัญหาอะไรอีกแล้ว
จะว่าไปวิธีการปักแผ่นดินต้าหุ้ยกับวิธีการปักแบบซูซิ่วนี้ก็นับได้ว่ามีความแตกต่างที่เหมือนกันอย่างน่าอัศจรรย์ วิธีการปักส่วนใหญ่คล้ายกันมาก เพียงแต่มีวิธีการปักเฉพาะแบบซูซิ่วสองสามแบบเท่านั้น เช่นแบบล่วนเจินซิ่วและแบบผานจินซิ่ว[2]อะไรพวกนี้ที่ไม่เหมือนกัน แน่นอนว่าแผ่นดินต้าหุ้ยเองก็มีวิธีการปักอันเป็นเอกลักษณ์เช่นแบบอวินซาซิ่วและเสวียนหลิวซิ่ว[3]อะไรพวกนี้ที่เหมือนวิธีการปักแบบสู่ซิ่วของเสฉวน แต่ก็มีความต่างอยู่ ซูสุ่ยเลี่ยนใช้เวลาหนึ่งเดือนเรียนรู้จากสี่ชุ่ยได้มาสิบแบบ ดังนั้นสี่ชุ่ยจึงเลื่อมใสนางไม่น้อยเช่นกัน
“พี่สุ่ยเลี่ยน พี่กำลังปลอบใจข้าหรือ” สี่ชุ่ยหน้าแดง ย่นปากเหมือนบ่น “เถ้าแก่เนี้ยเหมือนไม่สนใจแม้แต่จะถามว่าข้าจะรับไหม เพียงให้ข้ามากล่อมพี่เท่านั้น” นี่ไม่ได้เห็นชัดละหรือว่าฝีมือปักนางยังห่างไกลจากซูสุ่ยเลี่ยนอย่างมาก!
“เจ้าควรมั่นใจหน่อย สี่ชุ่ย” ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นดังนี้ก็หลุดหัวเราะออกมา
เหลาสี่ชุ่ยที่ปีหน้าก็ได้เวลาออกเรือนแล้ว ทำท่าทางน่ารักเช่นนี้ มองอย่างไรก็เหมือนเด็กน้อย
จากนั้นก็คิดถึงว่าบางทีอาจเกี่ยวข้องกับอายุความคิดตน สิบห้าสิบหกกับยี่สิบ ต่างกันไม่น้อยนะ
“นี่ไม่ได้เกี่ยวกับมั่นใจไม่มั่นใจนะ!” สี่ชุ่ยนั่งลงบนม้านั่งยาวใต้ต้นพุทธาตามแบบซูสุ่ยเลี่ยน พิงพนักเก้าอี้หรี่ตามองแสงแดงยามบ่ายที่มีแต่ความอบอุ่นไม่ร้อนแรงแล้ว
วันนี้ไม่มีลม แสงแดดสว่างลอดผ่านใบไม้ที่ยังไม่ร่วงอีกหลายใบบนต้นพุทราแดง แสงแดดส่องผ่านใบไม้ก่อเกิดเงาดำบางส่วนบนร่างกายยามตากแดด ช่างอบอุ่นยิ่ง
ซูสุ่ยเลี่ยนเก็บเข็มยืดเอวบิดขี้เกียจ ในที่สุดก็ทำแผ่นหนังหมีรองนอนเสร็จแล้ว ลุกขึ้นยืนกระทืบเท้าไล่ความหนาว สะบัดหนังหมีให้เศษด้ายที่ยังติดอยู่หลุดออก
“งามจริง!” สี่ชุ่ยอุทานอย่างชื่นชม หันไปทางหลินซือเย่าที่อยู่ในครัวกำลังทำอาหารกลางวันสำหรับสองคนอย่างนึกเลื่อมใส
“พี่สุ่ยเลี่ยน พี่เย่าดีกับพี่จริง” นางเอื้อมมือออกไปลูบหนังหมีดำที่ให้สัมผัสนุ่มละมุนมือ แอบอิจฉาอยู่บ้าง พลางทอดถอนใจ “หากข้ามีสามีเช่นนี้ได้ ต้องไม่ให้เขาต้องมาเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้แน่” นางกำมือเหมือนรู้สึกคับแค้นใจแทนหลินซือเย่า
“สี่ชุ่ย” ซูสุ่ยเลี่ยนอยู่ๆ ก็รู้สึกแทบอยากจะร้องไห้
“สี่ชุ่ย ระหว่างสามีภรรยา แท้จริงแล้วไม่ได้ง่ายเหมือนที่เจ้านึกภาพไว้” ซูสุ่ยเลี่ยนอยู่ๆ อยากเตือนนางขึ้นมา “ไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งทุ่มเทออกไปก็จะได้รับตอบแทนที่เท่ากัน ปัญหาคือคนผู้นั้น สามีในอนาคตเจ้านั้น ต้องรักและทะนุถนอมเจ้าด้วย หากว่ารักและทะนุถนอมเจ้าจริง เขาย่อมไม่ปล่อยให้เจ้าวันๆ ต้องทำงานเช้าจรดค่ำทั้งวันโดยไม่คิดแบ่งเบางานของเจ้า หากเป็นเช่นนี้จริง เช่นนั้น เขาก็ไม่ควรค่าให้เจ้าทุ่มเททั้งใจไปรักไปปกป้อง เข้าใจไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนสีหน้าจริงจัง
นางกำลังคิดถึงคุณแม่ที่เมืองซูโจวในยุคสาธารณรัฐอันไกลแสนไกล ในฐานะสะใภ้เอกตระกูลซู ฐานะนายหญิงประมุขตระกูล แรงกายแรงใจที่ทุ่มเทลงไปมากมายก็เพื่อแลกกับรอยยิ้มสามี (ก็คือคุณพ่อนาง) สักครา เพื่อให้ได้รับความรักและการปกป้องอย่างที่แม่รองได้รับ ความทุ่มเทของคุณแม่นางนั้นไม่อาจเรียกได้ว่าไม่มากพอ แต่ผลลัพธ์เล่า ซูสุ่ยเลี่ยนแต่ไรมาไม่เคยได้ยินคุณแม่เผยรอยยิ้มอ่อนโยนจากใจสักครั้ง แม้ว่านางมีสถานะมั่นคงในบ้าน ลูกๆ ประสบความสำเร็จ ก็ไม่เคยทำให้นางเผยรอยยิ้มจากใจจริงได้เลย สาเหตุก็แค่จิตใจคุณพ่อไม่ได้อยู่ที่คุณแม่ และมองไม่เห็นความทุ่มเทของคุณแม่ มองไม่เห็นความทุกข์ทรมานที่คุณแม่ต้องแบกรับ
“พี่สุ่ยเลี่ยน…” สี่ชุ่ยไม่เคยเห็นซูสุ่ยเลี่ยนสีหน้าและน้ำเสียงจริงจังเช่นนี้มาก่อน ได้แต่ตะลึงอึ้งไปทันที
“ไม่เป็นไร ข้าแค่อยากบอกเจ้า เรื่องของสามีภรรยานั้นสำคัญที่รู้ใจกัน เจ้าแต่งงานแล้วก็ลองตั้งใจสัมผัสดูเอง ตนเองย่อมรู้เอง” ซูสุ่ยเลี่ยนได้สติก็ยิ้มขยี้มวยผมบนศีรษะสี่ชุ่ยที่เกล้าหวีแบบสตรียังไม่ออกเรือน
“พี่สุ่ยเลี่ยน ข้าไม่ใช่เด็กนะ” สี่ชุ่ยสองแก้มแดงขึ้นมาทันที วาจาซูสุ่ยเลี่ยนที่ทำเหมือนนางเป็นเด็กไม่รู้ความ ทำเอานางอึดอัดอยู่บ้าง
ได้ยินมารดานางว่า ซูสุ่ยเลี่ยนอายุไม่ถึงสิบห้า อายุน้อยกว่านางตั้งหนึ่งปี หรือว่าพอแต่งงานแล้วก็จะเป็นผู้ใหญ่ได้ ยังไม่แต่งงานก็จะเป็นเด็กน้อยกัน! จริงๆ เลย!
อย่าได้โทษที่นางไม่รู้ ถูกมารดานางที่ไม่รู้ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจทำให้นางเข้าใจผิด ปากเอาแต่บอกให้นางเอ่ยเรียกอีกฝ่ายว่าพี่สุ่ยเลี่ยน อ้อ ต่อมาพอได้รู้อายุซูสุ่ยเลี่ยน ก็รู้สึกอึดอัดแทบตายเลยจริงๆ แต่ว่าเรียกไปมาหลายเดือน ก็ไม่ได้สนใจคำเรียกขานต่ออีก อย่างน้อยสอนให้นางพัฒนาฝีมือและแก้ไขฝีมือที่พร่องของนาง แม่นางไม่ได้มาบีบให้นางเรียกซูสุ่ยเลี่ยนว่า ‘อาจารย์’ ก็ไม่เลวแล้ว ดังนั้นพี่ก็พี่แล้วกัน! สี่ชุ่ยปลอบใจตนเองอย่างเต็มที่
“อ้อ ขอโทษ ข้าลืม” ซูสุ่ยเลี่ยนหัวเราะพลางแลบลิ้น ไม่ใช่ว่าลืมอายุสี่ชุ่ย แต่ลืมตัวนางเอง ตอนนี้ก็แค่เด็กสาวอายุสิบห้าเท่านั้น
———————————–
[1] พระสนมเอกจากตระกูลหยางในฮ่องเต้ถังเสวียนจงแห่งราชวงศ์ถึง ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสี่สาวงามของจีน
[2] แบบล่วนเจินซิ่วเป็นเทคนิคการปักผ้าเฉพาะของตระกูลผ้าปักซูซิ่วแบบปักด้ายสั้นยาวสลับจนให้ภาพเหมือนมีแสงเงา และแบบผานจินซิ่วที่ใช้วิธีปักแบบใช้ดิ้นไหมคู่ไล่วางไปตามผ้าและใช้ด้ายอีกชุดปักตรึงไปเรื่อยๆ
[3] แบบอวินซาซิ่วเป็นเทคนิคการปักผ้าโดยใช้ด้ายสลับสอดปักไปทีจะฝีเข็ม และเสวียนหลิวซิ่วและวิธีปักแบบหมุนวน