เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา - ตอนที่ 58 ธรรมเนียมที่ไม่เป็นลายลักษณ์
“พี่สุ่ยเลี่ยนอย่างนั้นข้ากลับบ้านก่อนนะ” สี่ชุ่ยแอบเหลือบมองหลินซือเย่าในห้องครัวแวบหนึ่ง ในใจรู้ว่าพวกเขาต้องใกล้เวลาอาหารแล้ว จึงได้ลุกขึ้นปัดเศษใบไม้แห้งตามเสื้อผ้าตน ก่อนจะหันไปเอ่ยลาซูสุ่ยเลี่ยน
“ไม่อยู่กินข้าวสักมื้อหรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มรั้งนางไว้ “เที่ยงนี้อาเย่าทำขาหมูพะโล้นะ” คิดถึงขาหมูในหม้อที่ตุ๋นเคี่ยวอยู่ขานั้นแล้ว ซูสุ่ยเลี่ยนก็อดแย้มยิ้มมุมปากไม่ได้
นี่คืออาหารที่ป้าเถียนนำมาให้แต่เช้า
หลายวันก่อนแม่ของป้าเถียนล้มแม่หมูตัวหนึ่งแล้วแบ่งขาหลังให้นาง
หลินซือเย่าเป็นอาจารย์ต้าเป่า พวกเถียนต้าฟู่ได้คิดไว้ก่อนหน้าแล้วว่าจะหาของขวัญปีใหม่ตอบแทนหลินซือเย่า ดังนั้นเช้ามานางเถียนก็นำขาหมูทั้งขามามอบให้เป็นของขวัญปีใหม่ซูสุ่ยเลี่ยน
ซูสุ่ยเลี่ยนกับเขาเห็นดังนี้ ก็ไม่ยอมรับไว้
ซูสุ่ยเลี่ยนคิดว่าขาหมูขานี้ราคาไม่น้อย ไว้ที่บ้านเถียนน่าจะทำให้พวกเขาประหยัดค่ากับข้าวได้เป็นเดือน
หลินซือเย่าไม่ได้คิดมากอะไร แต่ล้วนเป็นเพราะซูสุ่ยเลี่ยนไม่ยอมรับ เขาเลยไม่รับไว้
เรื่องธรรมเนียมทางโลกและการขอโทษ อาชีพเมื่อก่อนของเขาไม่ได้มอบโอกาสให้เขาได้ลองให้ชิน
สุดท้ายนางเถียนก็ไม่เกรงใจ ไม่ดันกันไปมาอีก นางยกขาหมูเดินเข้าไปในห้องครัว คว้ามีดปังตอขึ้นมา ตัดฉับๆ สับลงไปสองสามทีก็แบ่งขาหมูออกเป็นสองท่อนได้สำเร็จ
“นังหนู ข้าไม่มัวมาเกรงใจกับพวกเจ้าละ เอาอย่างนี้ พวกเจ้าเลือกไปท่อนหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรับไว้ ไม่อย่างนั้นหากข้ายกกลับไปสภาพเดิม ลุงเถียนเจ้าเอาข้าตายแน่” นางเถียนถือมีดปังตอโบกไปมา บอกให้ซูสุ่ยเลี่ยนกับหลินซือเย่ารีบเลือก
เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาเกรงใจและจงใจเลือกท่อนที่เล็กกว่า นางเถียนจึงได้จงใจแบ่งขาหมูท่อนนั้นออกเป็นสองท่อนที่เท่ากัน ส่วนที่มีกีบเท้าหมูจะค่อนข้างยาวและแน่น ส่วนท่อนบนเนื้อมากกระดูกน้อยก็ตัดให้สั้นหน่อย ในการแบ่งสัดส่วนเช่นนี้นับได้ว่าสายตานางเถียนแม่นยำอย่างมาก
เมื่อสู้แรงดึงดันนางเถียนไม่ไหว ซูสุ่ยเลี่ยนก็ได้แต่ออกหน้าเลือกขาหมูท่อนติดกีบเท้ามาด้วย ไม่ได้กินขาหมูพะโล้นานแล้ว นางคิดแล้วก็น้ำลายสอจริงๆ
หลินซือเย่ารู้สึกนึกขำอย่างไม่ค่อยได้เห็นท่าทางน้ำลายสอของนางเช่นนี้ จึงได้ถามถึงวิธีการทำขาหมูพะโล้จากนางเถียน ล้างขาหมูให้สะอาดหั่นเป็นท่อนเอาขึ้นย่างไฟ แล้วเอาลงไปทอดในน้ำมันร้อนๆ พร้อมกระเทียมปอก จากนั้นก็ใส่ขิง ยี่หร่า อบเชย เปลือกส้ม พริกหอม พริกแดงแห้งเล็กน้อย ใบกระวาน พิมเสน กานพลู น้ำตาลทราย ซีอิ๊ว เกลือ สุราทำอาหาร เครื่องปรุงและเครื่องเทศร่วมสิบอย่างได้ ก่อนจะเติมน้ำพอประมาณให้พอท่วมขาหมู ใช้ไฟแรงต้มให้น้ำเดือดก่อนจะปล่อยไฟอ่อนเคี่ยวขาหมูตลอดช่วงเช้า หลินซือเย่าล้างผักเสร็จก็ไปนั่งเฝ้าเตาไฟเคี่ยวที่ครัวอย่างสบายใจ
“ไม่ละ ข้ารู้สึกว่ากินข้าวกับพี่เย่าแล้วเครียด ฮาๆ…” สี่ชุ่ยแลบลิ้นหยอกล้อนาง พากันเดินกลับมาที่ตัวบ้าน
ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็ได้แต่รู้สึกนึกขำ ไม่คิดรั้งนางไว้อีก เดินผ่านห้องโถงด้านหน้าก็วางแผ่นรองนอนหนังหมีที่ประคองอยู่ในมือลง ก่อนออกไปส่งสี่ชุ่ยหน้าประตู
“พี่สุ่ยเลี่ยน ท่านไม่คิดดูอีกทีหรือ” ตอนสี่ชุ่ยเดินไปที่ประตูก็อดลองหันมาถามย้ำกับซูสุ่ยเลี่ยนอีกครั้งไม่ได้ นางไม่อยากให้เงินแปดตำลึงหายไปอย่างที่ไม่ได้ไตร่ตรองให้ดี
ซูสุ่ยเลี่ยนส่ายหน้า “ไม่ละ เวลากระชั้นไป ข้าคิดว่าปีหน้าค่อยรับงานปัก” ตอนนี้ยังต้องเตรียมของอีกมากมาย ไม่เพียงแต่เสื้อผ้ารองเท้าถุงเท้า ยังมีของเซ่นไหว้ปลายปีที่กำลังจะมาถึงอีก
สี่ชุ่ยพยักหน้าอย่างไม่อยากตัดใจ “ตกลง อย่างนั้นพรุ่งนี้ข้าเข้าเมืองไปปฏิเสธแทนพี่?”
“ได้” ซูสุ่ยเลี่ยนอมยิ้มพยักหน้า โบกมือส่งสี่ชุ่ย
……
“อาเย่า มา ลองดูพอดีตัวไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนยกเสื้อตัวกลางเสริมความหนาที่เพิ่งเย็บเสร็จขึ้นมา พลางเดินออกมาจากประตูห้องโถงทางใต้ไปหาหลินซือเย่าที่กำลังเก็บปลาแห้งและกุ้งแห้งที่ตากไว้ทั้งวัน กำลังเดินกลับเข้ามาที่ตัวบ้าน
หลินซือเย่ายิ้มพยักหน้าเร่งฝีเท้าก้าวเข้ามา เอาชะลอมสานสองใบที่บรรจุของแห้งกลิ่นคาวเต็มใบในมือไปวางในชั้นตู้เก็บอาหารในครัว ป้องกันไม่ให้ลูกหมาป่าขโมยกิน แล้วจึงล้างมือเดินออกมาที่ห้องโถง
“เร็วอย่างนี้เลย?” หลินซือเย่าอมยิ้มถาม เหมือนเพิ่งลงมือทำเมื่อวาน วันนี้ก็ตัดเสร็จแล้ว?
“อากาศหนาว เจ้าไม่ยอมสวมเสื้อตัวนอกบุฝ้ายอีก” ซูสุ่ยเลี่ยนปากก็บ่นไป มือก็เข้าไปช่วยหลินซือเย่าถอดชุดตัวนอกชั้นเดียวออก สวมชุดตัวกลางที่เพิ่งตัดใหม่ให้พลางรัดเข็มขัด
“พอดีมาก” หลินซือเย่าก้มหน้าลงขโมยจุมพิตนางทีหนึ่งพลางเอ่ยเบาๆ ว่า “ขอบคุณ!” เขาอมยิ้มกระซิบแผ่วเบา
“ผู้ใดบอกว่าสามีภรรยาไม่จำเป็นต้องขอบคุณ?” ซูสุ่ยเลี่ยนหรี่ตาทันทีราวกับว่าตวัดสายตาใส่เขาด้วยความไม่พอใจ แต่สีหน้าที่เริ่มแดงระเรื่อกำลังขายความจริงที่ว่า แท้จริงแล้วนางเพียงแค่อายเท่านั้น
“ข้าเพียงแต่ขอบคุณเจ้าที่แต่งกับข้า” หลินซือเย่าน้ำเสียงแหบพร่าอ่อนโยนดังเข้าโสตประสาทใบหูนาง ทำเอานางอายแดงลามไปถึงลำคอ
“เอาละ สวมตัวนอกทับได้” ซูสุ่ยเลี่ยนสวมเสื้อตัวนอกให้เขา ในใจก็แอบมีความรู้สึกหวานล้ำผุดขึ้นมา เขาไปเรียนพูดจาหวานล้ำเช่นนี้มาตอนไหนกัน
“เย็นนี้จะกินอะไร ปลาผัดต้นหอมไหม?” หลินซือเย่าพับแขนเสื้อ เตรียมลงครัวไปทำอาหารเย็น
หลายวันมานี้ฝีมือทำอาหารของเขาพัฒนาไม่น้อย ก่อนหน้าที่ทำปิ้งย่างกับผัดไฟแดงต่างๆ ได้หลายอย่างได้โดยไม่ต้องมีครูสอน ตอนนี้เพิ่มวิธีการทำมาอีกหลายสิบแบบ รสชาติก็แปลกใหม่แตกต่างทั้งตุ๋น ต้ม ทอด ผัด ไม่อาจไม่กล่าวว่าพ่อครัวเป็นอาชีพที่ต้องใช้แรงกายอย่างมาก ต้องใช้แรงกายที่มากพอจึงจะทำได้สำเร็จ
แต่ว่าหากทำให้สตรีที่รักของเขากิน เขาย่อมยินยอมอย่างเต็มใจ
“ได้” ซูสุ่ยเลี่ยนไม่มีความเห็นอะไร แต่ไรมานางก็ชอบปลา เพียงแต่ก่อนหน้าเพราะแกะก้างปลายาก จึงไม่ค่อยอยากกินเท่าไร ตอนนี้มีหลินซือเย่าหาวิธีมาแกะก้างปลาเรียบร้อย ปลาที่เขาปรุงออกมาเหมือนแทบไร้ก้าง
นับประสาอันใดกับปลาที่เลี้ยงในโอ่งใกล้ล้นออกมาแล้ว
หลายวันก่อนเถียนต้าเป่าอยู่ๆ ก็นึกครึ้มหอบแหมาจับปลา บอกว่าจะเลียนแบบอาจารย์จับปลาไปหมักเกลือแล้วตากแห้ง เตรียมไว้ว่าเดือนสิบสองหน้าหนาวจะมีปลากิน
ดังนั้นหลินซือเย่าจึงพาเขาไปต้นน้ำทางตะวันตกสุดของแม่น้ำโดยเฉพาะ จับไปสามวัน จับปลามาได้สามถังไม้ใหญ่ๆ สิบกว่าถัง
แน่นอนว่าในนั้นนอกจากปลาเล็กปลาน้อยขนาดต่างกัน พันธุ์ต่างกัน ยังจับเอาพวกกุ้งหลายสิบชั่ง ปูตัวอวบอ้วนมันเยิ้มอีกยี่สิบกว่าตัว ถึงกับมีตะพาบเต็มวัยอีกตัวหนักสามชั่งกว่า กับพวกปลาไหลอีกห้าหกตัวน้ำหนักหนึ่งชั่งได้…สรุปที่จับได้มาไม่อาจไม่กล่าวว่าไม่อุดม
พอจับเสร็จ เถียนต้าเป่าเอาแค่ปลารวมๆ กันสามถังใหญ่ไป กะว่ากลับบ้านไปแม่เขาทำปลาเค็มตากแห้ง
ที่เหลือยกให้หลินซือเย่าหมด ยังตะโกนบอกว่าเพื่อคารวะอาจารย์และอาจารย์หญิง ทำเอาซูสุ่ยเลี่ยนขำไม่หยุด
แม้ว่าในบ้านมีโอ่งเลี้ยงปลา แต่ก็ไม่อาจเลี้ยงพร้อมกันมากมายเพียงนี้ได้
ดังนั้นหลินซือเย่าจึงได้เลือกปลาหลากหลายที่ตัวเล็กและไม่ค่อยมีเนื้อมาครึ่งหนึ่ง ล้างจัดการสะอาดแล้วก็เอาไปตากแห้งทำปลาแห้ง เพราะก่อนจะเป็นปลาแห้งต้องตากแดดไม่น้อย จะว่าไปปลาสองถังใหญ่ที่จับมาก่อนหน้าแทบจะเอาไปตากทำปลาเค็มแห้งหมดแล้ว
ส่วนกุ้งแม่น้ำพวกนั้นนอกจากจะใช้ต้นหอมผัดเป็นจานใหญ่หลายจานแบ่งให้บ้านเหลากับบ้านเถียนไปแล้ว ตนเองก็ได้กินกุ้งสดๆ จานใหญ่สองมื้อโอชะเช่นกัน ที่เหลืออีกราวสองสามชั่งก็ใส่น้ำเกลือต้มสุกแช่เอาไว้ จากนั้นตากแห้งทำกุ้งแห้ง ไว้วันหน้าตุ๋นน้ำน้ำแกงจะได้ใส่ลงไปปรุงรสสักตัวสองสามตัว
ปูแม่น้ำอวบอ้วนยี่สิบกว่าตัวเลี้ยงต่อในโอ่งน้ำแปดตัว เตรียมไว้อีกสองวันกินสองตัว ที่เหลือให้ต้าเป่าเอากลับบ้าน บ้านเขามีคนเยอะ ทั้งหมดตั้งหกคน ทุกคนแบ่งกันคนละสองตัวชิมความสดพอดี
ส่วนตะพาบที่มีตัวเดียวกับปลาไหลหลายตัวนั้น ถูกหลินซือเย่าแยกเอาไปเลี้ยงในอ่างไม้ กะว่าคืนวันสิ้นปีจะได้นำมาใช้ไหว้
ปีแรกที่ย้ายมาเมืองฝานฮัวจะได้เตรียมอาหารอย่างดีไว้กินและเซ่นไหว้บูชาบรรพบุรุษและพระโพธิสัตว์
แม้ว่าหลินซือเย่าไม่รู้ว่าบรรพบุรุษตนเองเป็นใครมาจากไหน เขาฟังป้าเหลาบ่นเอาๆ ขึ้นจึงได้เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าเซ่นไหว้
ที่ป้าเหลาเอาแต่มาบ่นเรื่องเซ่นไหว้ หนึ่งเพราะหลินซือเย่ากุมงานครัว ไปหาซูสุ่ยเลี่ยนไม่สู้มาหาหลินซือเย่าพูดให้รู้เรื่อง สองเพราะคิดเตือนเขาให้เตรียมตัวล่วงหน้า ยิ่งใกล้ปลายปีการเซ่นไหว้ก็ต้องการของหลากหลาย ราคาก็ย่อมถีบตัวสูง
หลินซือเย่าคิดว่าซูสุ่ยเลี่ยนน่าจะเป็นคุณหนูมาจากตระกูลใหญ่ น่าจะให้ความสำคัญกับพิธีเซ่นไหว้ ดังนั้นก็ใส่ใจในเรื่องพวกนี้ ดังนั้นเรื่องเกี่ยวกับพิธีเซ่นไหว้ รวมทั้งของกินของใช้ที่ต้องจัดเตรียม ก็ต้องเตรียมตัวล่วงหน้าให้เรียบร้อยทั้งหมด
ส่วนซูสุ่ยเลี่ยนพอเห็นว่าหลินซือเย่าเป็นคนริเริ่มจัดเตรียมในเรื่องนี้ ยังคิดว่าเขารู้เรื่องพวกนี้ และต้องการทำพิธีเซ่นไหว้ ก็เลยปล่อยให้เขาจัดการไปรวมทั้งยังใส่ใจข่าวเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ด้วย
ดังนั้นสองคนจึงพากันจัดเตรียมของต่างๆ ไว้สำหรับเซ่นไหว้ด้วยความแข็งขัน ก็เพราะคิดว่าได้ทำอะไรเพื่ออีกฝ่ายเท่านั้น
ส่วนสาเหตุใดนั้นพวกเขาล้วนไม่คิดสนใจ และไม่เคยคิดจะคุยกับอีกฝ่ายให้กระจ่าง คิดไม่ถึงว่าถึงกับทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องเข้าใจผิด แต่นี่น่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดที่มาจากความปรารถนาดี
สรุปพิธีกรรมเซ่นไหว้จากนี้ไปแต่ละเทศกาลก็ตามมา ทั้งเทศกาลล่าปา[1] เทศกาลส่งเทพเตาขึ้นสวรรค์ วันเซ่นไหว้และเทศกาลรับเทพเตา…ก็ล้วนเปิดและปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์
พูดตามตรง ซูสุ่ยเลี่ยนไม่ค่อยเข้าใจนัก ในเมื่อครั้งก่อนขึ้นไปต้นน้ำแล้วจับสัตว์น้ำมาได้มากมายเพียงนี้ ทำไมไม่เห็นชาวบ้านคนอื่นในเมืองฝานฮัวขึ้นไปต้นน้ำจับกันบ้าง ไม่เพียงแต่ทำให้ที่บ้านมีอาหารเพิ่ม หากวางแหจับได้มากยังเอาไปขายให้กับภัตตาคารร้านอาหารใหญ่ๆ ในเมืองหารายได้เพิ่มให้ครอบครัวได้อีกด้วย ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องดีหรอกหรือ
“เอ๋? อาจารย์หญิง ท่านไม่รู้หรือ หมู่บ้านพวกเรามีธรรมเนียมที่ไม่เป็นลายลักษณ์ ทุกบ้านได้แต่จับสัตว์ในละแวกบ้านตนเท่านั้น” เถียนต้าเป่าได้ยินซูสุ่ยเลี่ยนที่วันหนึ่งอดถามขึ้นอย่างนึกสงสัยไม่ได้ ก็ยิ้มร่าตอบเสียงดัง “ไม่อย่างนั้นทำไมข้าต้องลากอาจารย์ไปจับปลาด้วยกันด้วยเล่า ฮา ฮา…อาจารย์หญิงก็มีเวลาโง่เหมือนกันนี่…”
ที่แท้เช่นนี้นี่เอง! ซูสุ่ยเลี่ยนถึงบางอ้อทันที ตัดสินใจไม่ถือสาวาจาตรงไปตรงมาของเด็กน้อยสติปัญญาบกพร่องหลุดปากออกมา หันไปมองหลินซือเย่าสีหน้านิ่งข้างๆ อดถามไม่ได้ว่า “อาเย่า ก่อนหน้านี้เจ้ารู้แล้วใช่ไหม”
“อืม ตอนซ่อมบ้านได้ยินมา” หลินซือเย่ายิ้มลูบจมูก เขาย่อมฟังออกถึงความคุกรุ่นของซูสุ่ยเลี่ยน และฟังออกว่านางเอาเหตุที่เสียหน้าต่อหน้าศิษย์นี้มาลงที่เขาที่ไม่ได้บอกนางก่อน
หลินซือเย่ารู้เรื่องพวกนี้ตอนที่พวกช่างไม้กับเฝิงเหล่าลิ่วมาต่อเครื่องเรือนให้พวกเขา คุยกันไปถึงข้อดีข้อเสียของการมาอยู่ทางตะวันตกสุดของหมู่บ้านที่ห่างไกลจากตัวเมือง จึงได้รู้ธรรมเนียมนี้ แต่ว่าไม่ได้รู้ล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะทำให้นางออกอาการโมโหที่ไม่ค่อยปรากฏนัก ดังนั้นจึงไม่ทันคิดจะคุยเรื่องนี้ตอนคุยกันสองคน
“แต่ว่าแล้วที่พวกเจ้าแล่นไปล่าจับมาจากยอดเขาซิ่วเฟิงล่ะ? ที่นั่นอย่างไรก็ที่สาธารณะ?” ซูสุ่ยเลี่ยนยังคงคิดไม่เข้าใจ
“นั่นเพราะว่า” เถียนต้าเป่าลากเสียงยาว เห็นสายตารอคำตอบของซูสุ่ยเลี่ยนก็จึงได้อธิบายต่อว่า “คนอื่นไม่ได้เก่งกาจวิชาตัวเบาเหมือนข้ากับอาจารย์อย่างไรเล่า! ฮา ฮา ฮา ฮา…”
เอ๋? ซูสุ่ยเลี่ยนงุนงงหันไปมองหลินซือเย่าที่อมยิ้มอยู่ หรือว่า…
“ต้นน้ำที่เชิงเขาซิ่วเฟิง ต้องข้ามคูน้ำกว้างเจ็ดแปดเมตร” หลินซือเย่าโอบไหล่นางกล่าวอธิบายอ่อนโยน “วิชาตัวเบาต้าเป่าตอนนี้เรียกได้ว่าไม่มีปัญหาแล้ว ดังนั้นข้าจึงพาเขาไป”
“อ้อ” ซูสุ่ยเลี่ยนหรี่ตามองเขา เขยิบเข้าไปใกล้ใบหูเขาแทบจะกัดฟันกรอดกล่าวว่า “เห็นข้าเสียหน้าแล้วเจ้าสนุกใช่ไหม” อย่าคิดว่านางมองหน้าตาอมยิ้มตั้งแต่ตั้งจนจบของเขาไม่ออกนะ เทียบกับสีหน้าเย็นชายามปกติของเขาแล้ว น่ารังเกียจกว่ามาก!
“เหอะๆ…” หลินซือเย่าอดหัวเราะเบาๆ ขึ้นไม่ได้ พลางบีบจมูกนางเล่น ก่อนจะเลยไปจุมพิตหน้าผากนางทีหนึ่ง นางที่แสนซุกซนเช่นนี้ทำเขาถึงกับรู้สึกว่ากำลังถูกนางยั่วยวนจนไม่อาจหยุดมือได้อยู่ตอนนี้ ไม่อาจสนใจศิษย์ที่ยังแลบลิ้นทำหน้าผีหลอกอยู่ตรงนี้แต่อย่างใด
“อย่าโมโหเลย วาจาต้าเป่าแต่ไรมาก็ไม่รู้หนักเบา แต่ไรมาข้าก็ไม่เคยอยากให้เจ้าเสียหน้า” หลินซือเย่าเห็นนางอายจนสะบัดหน้าหนี ราวกับจะไม่สนใจเขาแล้ว ก็รีบร้อนรนแก้ตัว พลางส่งสายตาดุเถียนต้าเป่าไปปลอบนางไป
“สรุป บัวลอยข้าวหมักดอกกุ้ยคืนนี้ไม่มีส่วนของพวกเจ้า!”
ทิ้งท้ายด้วยวาจาแสนโหดร้ายแล้ว ซูสุ่ยเลี่ยนก็แสร้งทำโมโหฮึดฮัดหันหลังเดินเข้าห้องครัวไปทันที ยังปิดประตูตามมาเสียงดัง ปัง
พอมีประตูครัวกั้นกลาง นางก็อดหลุดขำพรืดออกมาไม่ได้ ชายผู้นี้ถึงกับมองไม่ออกว่าโมโหจริงหรือแกล้งโมโห ถึงกับยังจุมพิตนางต่อหน้าต้าเป่า โอ สวรรค์!
ศิษย์อาจารย์สองคนที่ถูกทิ้งให้นั่งชมทิวทัศน์อยู่ที่ลานบ้านสบตากันเสร็จ คนหนึ่งก็รีบวิ่งเร็วจี๋ไปที่หน้าประตูห้องครัว เคาะประตูส่งเสียงวอนร้องขอของดีที่สัญญาไว้ว่าจะได้รับคืนนี้ “อาจารย์หญิง ข้าผิดไปแล้ว ท่านอย่าได้ถือสาข้าเลย ท่านแม่ข้าบอกว่าสมองข้าไม่ได้เรื่อง บางครั้งก็ไม่รู้ว่าตนเองพูดอะไรออกไป…โอ๊ย…อาจารย์หญิง…อย่าโมโหเลย อาจารย์หญิง…พี่เทพธิดา…” เถียนต้าเป่ายองตัวนั่งอยู่หน้าประตูห้องครัวพูดกล่อมน้ำลายแตกฟอง ลองดูว่าจะรั้งวาจาไร้ความเคารพที่หลุดปากไม่ผ่านสมองออกไปเมื่อครู่คืนมาได้หรือไม่
หลินซือเย่าได้ยินเสียงขำพรืดของซูสุ่ยเลี่ยนที่หลุดขำออกมาตอนเข้าห้องครัวไปแล้ว ฟังออกว่านางแท้จริงแล้วไม่ได้โมโห อย่างน้อยไม่ได้โมโหเหมือนที่แสดงออก จึงได้ไม่รีบร้อนแสดงอาการให้ต้องเสียหน้าอย่างเช่นลูกศิษย์ตน แม้ในเมื่อคืนนี้ไม่อาจได้ลิ้มขนมหวานจากสุราดอกกุ้ยที่นางใช้ดอกกุ้ยและน้ำตาลทรายแดงที่เหลือจากการทดลองหมักสุราดอกกุ้ยมาทำ แต่เขาก็มีวิธีทำให้นางไม่โมโหเขาอีก แน่นอนว่าต้องรอคืนนี้ ตอนที่ลูกศิษย์ไม่อยู่
————————————-
[1] เทศกาลในวันที่แปดเดือนสิบสองเพื่อรำลึกถึงการบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้า มีประเพณีกินโจ๊กล่าปา