เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา - ตอนที่ 67 เซ็นสัญญา
เช้าวันที่ยี่สิบสองเดือนสิบสอง ซูสุ่ยเลี่ยนนำผ้าปักหยางกุ้ยเฟยเมาเหล้าที่ปักเสร็จล่วงหน้าวันหนึ่งมาถึงร้านผ้าปักเยว่อวิ๋นพร้อมหลินซือเย่า คนที่มาต้อนรับพวกเขาก็คือเถ้าแก่ใหญ่เจียงอิ้งเยว่ เถ้าแก่รองเจียงอิ้งอวิ๋นไปซื้อหาสินค้าที่เมืองผ้าปักเมื่อวันที่ยี่สิบเดือนสิบสองยังไม่กลับมา
เจียงอิ้งเยว่ยิ้มมองสังเกตซูสุ่ยเลี่ยนกับหลินซือเย่าที่ลงนั่งตรงหน้า ในใจก็แอบส่งเสียงอุทานไม่ได้ว่า ช่างเป็นหนุ่มสามารถสาวรูปงามเสียจริง! ผู้หญิงอ่อนโยนบอบบาง ผู้ชายงามสง่า หากไม่ได้รู้มาก่อนว่าพวกเขาสองคนพักอยู่ที่หมู่บ้านชาวนาในเมืองฝานฮัว ยังคิดว่าคู่นี้เป็นคู่เทพเซียนเสียอีก
มิน่าน้องสาวนางเดือนก่อนกลับจากเมืองฝานฮัวไปเกลี้ยกล่อมซูสุ่ยเลี่ยนรับงานปักมา ก็เอาแต่ขังตัวเองอยู่แต่ในห้องตั้งนาน คิดว่าคงรู้สึกสะเทือนใจภาพรักใคร่ปรองดองของซูสุ่ยเลี่ยนกับเขา คิดถึงตรงนี้เจียงอิ้งเยว่ก็ลอบขำพลางส่ายหน้า
หากท่านพ่อท่านแม่ยังอยู่ น้องสาวกับตนเองคงได้แต่งงานกับคนดีๆ ไปแล้ว ไหนเลยจะต้องมาอยู่ในสถานะสูงก็ไม่พอ ต่ำก็ไม่ได้ น่าอึดอัดเช่นตอนนี้
คิดว่าตนเองก็ใกล้สามสิบแล้ว ไม่หวังแต่งงานแล้ว
แต่อิ้งอวิ๋นไม่เหมือนกัน
ตอนนี้นางยี่สิบเอ็ด แม้ว่าเลยวัยแต่งงานแล้ว แต่หากจะว่าไป จริงๆ อายุเช่นนี้ไม่นับว่าเกินไปนัก
แต่หลังจากนางได้สอบถามและหาแม่สื่อไปทั่ว ก็ยังคงหาตัวเลือกอายุที่เหมาะสมกับน้องสาวนางไม่ได้
เฮ้อ! เจียงอิ้งเยว่หลุบตาลงถอนหายใจ จากนั้นก็ปรับอารมณ์ใหม่ แย้มยิ้มให้กับสองคนที่นั่งดื่มชาอยู่กล่าวว่า “ฮูหยินหลิน คงไม่ถือสาหากข้าจะเรียกขานเจ้าว่าน้องกระมัง”
“เถ้าแก่กล่าวหนักไปแล้ว เรียกข้าว่าสุ่ยเลี่ยนก็พอ” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มอ่อนโยน นางรู้สึกดีและเคารพสตรีที่ยืนหยัดด้วยตนเองอย่างเข้มแข็งตรงหน้าผู้นี้มาก
“ตกลง เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจละ สุ่ยเลี่ยน ภาพหยางกุ้ยเฟยเมาเหล้านั้นข้าได้สั่งให้ช่างเราไปตรวจสอบแล้ว อีกสักพักก็จะนำผลมาส่งแล้ว สองท่านคงไม่รีบร้อนกระมัง” เจียงอิ้งเยว่ยิ้มบางพูดคุยกับซูสุ่ยเลี่ยน
ตอนเจียงอิ้งเยว่อายุสิบสามก็ไม่อาจไม่เรียนรู้ที่จะทำการค้าด้วยตนเอง พร้อมกับยังต้องดูแลเจียงอิ้งอวิ๋น น้องสาวเพียงคนเดียวแทนบิดามารดา นิสัยนางก็ย่อมห่างไกลจากสตรีตามธรรมเนียมที่ต้องอ่อนโยนนุ่มนวลนานแล้ว
ดังนั้นซูสุ่ยเลี่ยนที่มองภายนอกเหมือนสตรีบอบบางอ่อนโยนราวกับสายน้ำเช่นนี้ ก่อนหน้านี้นางจะออกห่างให้ไกล ถึงขั้นแอบรำคาญใจด้วยซ้ำ
อาจเพราะฝีมือซูสุ่ยเลี่ยนทำให้นางสนใจ ก่อนพบหน้าถูกเจียงอิ้งอวิ๋นล้างสมองมายกใหญ่ สรุปพบกันครั้งแรก นางรู้สึกอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนกับสตรีงามบอบบางอย่างซูสุ่ยเลี่ยน
“เถ้าแก่ค่อยๆ จัดการไปได้ตามสบาย วันนี้เดิมก็มาส่งมอบงานอยู่แล้ว ไม่ได้มีเรื่องอื่น” ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็วางถ้วยชาลง หันไปพยักหน้ายิ้มให้นาง
มองดูตะวันแล้ว ยังไม่ถึงบ่าย ออกเดินทางแต่เช้า นางกับหลินซือเย่าหารือกันแล้ว ก่อนออกจากบ้านเลี้ยงเสี่ยวฉุนกับเสี่ยวเสวี่ยให้อิ่มทิ้งไว้เฝ้าบ้าน ตอนเที่ยงนี้สองคนไม่รีบกลับไปกินอาหารกลางวันที่บ้าน แต่จะไปกินร้านอาหารในเมือง กินเสร็จไปเดินเล่นต่อ หาซื้อข้าวของเตรียมฉลองปีใหม่
ตอนนี้วันที่ยี่สิบเดือนสิบสอง ท้องถนนส่งเสียงร้องขายของปีใหม่แต่ละอย่างยิ่งมากขึ้นกว่าเดิม แทบจะแยกไม่ออกว่าวันไหนคือวันตลาดนัดใหญ่ วันไหนตลาดนัดเล็ก อาจกล่าวได้ว่าตลาดนัดใหญ่ทุกวัน
“อย่างนั้นก็ดี” เจียงอิ้งเยว่พยักหน้า “ไม่ทราบว่าสุ่ยเลี่ยนเห็นอย่างไรกับข้อเสนอเซ็นสัญญาเป็นหัวหน้าช่างปักผ้า” เจียงอิ้งเยว่ยังจดจำเรื่องนี้ได้มาตลอด
สำหรับฝีมือปักซูสุ่ยเลี่ยน นางเริ่มสนใจตั้งแต่ได้รับผลงาน ‘หงส์เกี้ยวหงส์’ ผืนนั้นมาแล้ว
แม้ว่าได้ยินสี่ชุ่ยพูดมาตามตรงอย่างไม่ปิดบัง ซูสุ่ยเลี่ยนปักแค่หงส์คู่ ก็พอให้นางมองออกถึงฝีมือล้ำลึกของซูสุ่ยเลี่ยนแล้ว
แต่ทว่าตอนนั้นฟังจากสี่ชุ่ย ปีนี้สุ่ยเลี่ยนไม่ได้คิดจะรับงานปัก ดังนั้นจึงไม่ได้คิดรั้งนางไว้ หากไม่ใช่ว่าใต้เท้าเจ้าเมืองระบุว่าต้องการช่างปัก ‘หงส์เกี้ยวหงส์’ มาปัก ‘หยางกุ้ยเฟยเมาเหล้า’ ด้วยตนเอง นางก็ยังไม่คิดจะเซ็นสัญญากับซูสุ่ยเลี่ยน
อย่างไรสัญญาก็ของตาย คนเป็นของเป็น
‘ร้านผ้าปักเยว่อวิ๋น’ เซ็นสัญญากับช่างปักไม่น้อย ช่างปักที่โดดเด่นจริง ล้วนไม่ค่อยอยากจะเซ็นสัญญาผูกมัดตนเองกับร้านปักร้านเดียว นี่คือการผูกมัด ฝีมือระดับพวกนาง ไม่ว่าร้านปักผ้าไหนมีงานดี พวกนางก็ไปรับงานร้านนั้น พวกที่ยอมเซ็นสัญญาก็มักจะเป็นพวกช่างที่ตนเองคนเดียวรับงานใหญ่ไม่ไหว ยังคงต้องอาศัยร้านปักจึงจะรับงานภาพผนังผืนใหญ่หรือพวกฉากกำบังอะไรพวกนี้ได้ แบ่งเงินค่าแรงกัน หากมีงานเล็กๆ ง่ายๆ ก็ย่อมไม่จำเป็นต้องให้ช่างปักที่เซ็นสัญญารับงาน แน่นอนนอกจากลูกค้าระบุ
แต่ซูสุ่ยเลี่ยนผู้นี้ เจียงอิ้งเยว่ไม่อาจไม่รีบยื่นเงื่อนไขที่พิเศษที่สุดเพื่อรั้งนางไว้ ไม่พูดถึง ‘หงส์เกี้ยวหงส์’ ที่ได้รับการประเมินผลงานระดับหนึ่ง หรือว่าภาพหยางกุ้ยเฟยเมาเหล้าที่คนงานเพิ่งเอาไปตรวจประเมิน เพียงแค่ชุดที่ซูสุ่ยเลี่ยนสองสามีภรรยาสวมอยู่ก็ปักลายประณีตเสมือนจริงอย่างมาก ก็พอจะทำให้เจียงอิ้งเยว่ชื่นชมไม่หยุดแล้ว ด้วยเหตุนี้เจียงอิ้งเยว่ก็ยิ่งคิดจะขอให้ซูสุ่ยเลี่ยนรับเป็นหัวหน้าช่างปักผ้าร้านผ้าปักเยว่อวิ๋นให้ได้
เพราะว่าด้วยฝีมืองดงามสมบูรณ์ของซูสุ่ยเลี่ยน ไม่ว่าไปรับงานร้านปักผ้าที่ไหน ก็ย่อมได้รับการประเมินค่าที่สูงจากเถ้าแก่ร้านปักทุกร้านอยู่แล้ว จากนั้นก็ย่อมมีลูกค้ามากมายพากันมาชื่นชม โดยเฉพาะลูกค้าคนใหญ่คนโตที่ต้องการเอาไปเป็นของกำนัลและไม่คำนึงเรื่องราคา
“ขอบคุณเถ้าแก่ที่เมตตา เพียงแต่ทุกเดือนหนึ่งตำลึงเป็นอย่างน้อยใช่ว่า…”
“น้อยไปหรือ เช่นนั้นสองตำลึง” เจียงอิ้งเยว่รีบเอ่ย ขอเพียงนางพยักหน้า สองตำลึงจะสักเท่าไรกัน เหมือนภาพหยางกุ้ยเฟยเมาเหล้าครั้งนี้ ใต้เท้าเจ้าเมืองออกปากมาทีห้าสิบตำลึง นอกจากจ่ายให้เป็นค่าแรงซูสุ่ยเลี่ยนที่เหลือก็เป็นกำไรของร้านปักผ้าแล้ว งานปักเช่นนี้หากปีหนึ่งรับสามถึงห้าชิ้น เช่นนั้นซูสุ่ยเลี่ยนทำเงินให้ร้านผ้าปักเยว่อวิ๋นมากยิ่งกว่าช่างปักผ้าที่เหลือรวมกันเสียอีก ให้เดือนละสองตำลึงเป็นรางวัลให้นางมีอันใดไม่ได้
“…ข้าไม่ได้หมายความเช่นนี้” ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินแทบอยากจะร้องไห้ “ข้ารู้สึกว่าร้านปักปกติจ่ายข้าเดือนละตำลึงมากเกินไปไหม อย่างไรลูกค้าอย่างภาพหยางกุ้ยเฟยเมาเหล้าก็ไม่ได้มีมากนัก”
“โอย เจ้าดูแคลนตนเองเกินไปแล้ว” พอเจียงอิ้งเยว่ได้ยินซูสุ่ยเลี่ยนคิดว่าเงินหนึ่งตำลึงที่ให้นางนั้นมากเกินไป ก็รู้สึกนึกขำขึ้นมา
“สุ่ยเลี่ยน เจ้ายังไม่รู้ว่าฝีมือตนเองยอดเยี่ยมขนาดไหนหรือ ดูภาพ ‘หงส์เกี้ยวหงส์’ แค่ส่งผลงานออกไป ก็มีลูกค้ามาหาเจ้า หากร้านปักเราเผยแพร่ผลงานออกไป ยังต้องกังวลเรื่องไม่มีภาพงานใหญ่? เจ้าสบายใจได้! ไม่แน่นะ ถึงตอนนั้นเจ้าจะยุ่งทั้งวันไม่มีเวลาได้พัก ควรรู้ว่าข้าเจียงอิ้งเยว่เป็นคนทำการค้าไม่ขาดทุนเด็ดขาด จะว่าไป คนทำการค้าที่ไหนไม่คิดผลกำไร” เจียงอิ้งเยว่ยิ้มปลอบซูสุ่ยเลี่ยน กับนาง เจียงอิ้งเยว่แอบนึกชื่นชมขึ้นมาอีกส่วน และเชื่อว่าซูสุ่ยเลี่ยนเป็นคนที่จะไม่ฉีกและผิดสัญญาร้านแน่นอน
ซูสุ่ยเลี่ยนไม่ได้คิดมากเช่นนั้นจริงๆ เส้นทางการค้าแต่ไรมานางไม่เข้าใจ ที่นางกังวลก็คือหากวันหน้าไม่มีงานที่ไม่ใช่นางปักไม่ได้ ร้านปักจะขาดทุนไหม ถึงตอนนั้นหากมองจากกำไรร้านผ้าปักเยว่อวิ๋นเป็นหลัก จะไม่พอใจนางขึ้นมาไหม
ซูสุ่ยเลี่ยนรู้ตัวว่าไม่ใช่คนเชี่ยวชาญการจัดการปัญหา ที่นางทำได้ก็คงไตร่ตรองทุกอย่างในขั้นตอนแรกสุดก่อนว่าจะเกิดผลเสียที่เลวร้ายที่สุดเช่นไรได้บ้าง
แต่ได้ยินเจียงอิ้งเยว่ยืนยันจบ นางไม่อาจปฏิเสธได้อีก ความกังวลในใจซูสุ่ยเลี่ยนลดลงไปกว่าครึ่ง เอาละ หากปฏิเสธอีกก็คงกลายเป็นตนเองวางท่าแล้ว
พอคิดเช่นนี้ ซูสุ่ยเลี่ยนก็ยิ้มพยักหน้า “ในเมื่อเถ้าแก่เชื่อใจสุ่ยเลี่ยนเช่นนี้ หากจะปฏิเสธอีกก็เป็นสุ่ยเลี่ยนไม่รู้ความแล้ว เช่นนั้นขอขอบคุณเถ้าแก่แล้ว แต่ว่าสุ่ยเลี่ยนยังมีเรื่องขอร้อง หากงานปักเวลาเร่งรีบเกินไป สุ่ยเลี่ยนเกรงว่าไม่อาจรับไว้ได้” นางต้องพูดออกไปตรงๆ ก่อน คงไม่ใช่ว่าพอเซ็นสัญญาแล้ว ก็เหมือนสัญญาขายตัวทำงานไม่ต้องได้พักได้ผ่อน?
“ก็ย่อมต้องเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นก็ทำตามสัญญาที่เราคุยกันไว้ก่อนหน้า หากเจ้าไม่อยากรับก็ไม่ต้องรับ หากมีลูกค้าระบุให้เจ้ารับงานชิ้นนั้น ร้านปักก็ย่อมต้องบอกลูกค้าไว้ก่อนว่าจะต้องให้สองฝ่ายตกลงกันเรื่องระยะเวลาก่อน จะไม่เป็นการเร่งรัดแบบครั้งนี้อีก” เจียงอิ้งเยว่พยักหน้าเห็นด้วย นางเองก็ไม่ชอบงานที่เร่งรัด เพราะส่งผลต่อคุณภาพของงาน
หากไม่ใช่ว่าใต้เท้าเจ้าเมืองเป็นคนต้องการภาพหยางกุ้ยเฟยเมาเหล้า และมาด้วยตนเองแล้วล่ะก็ นางก็คงไม่รับด้วยข้อจำกัดเวลากระชั้นชิดเช่นนี้เอาไว้ โชคดีที่ซูสุ่ยเลี่ยนส่งตามกำหนด ไม่เช่นนั้นนางเองก็คงต้องใช้ร้านปักทั้งร้านนี้รองรับความโกรธของใต้เท้าเจ้าเมืองแล้ว
แต่ทว่านางเองได้บอกกับใต้เท้าเจ้าเมืองแล้วว่า วันหน้าหากต้องการสั่งงานปัก เวลาห้ามกระชั้นชิดเช่นนี้อีก ส่วนลูกค้าอื่น ส่วนใหญ่ก็รู้ธรรมเนียมร้านปักดี แม้อาจมีตระกูลสูงศักดิ์ร่ำรวยใช้อำนาจบีบบ้างบางครั้ง แต่ก็นับได้ว่าเกิดขึ้นน้อยมาก นับประสาอันใดกับใต้เท้าเจ้าเมืองตอนนี้ก็ยอมรับข้อเสนอของนางอย่างยินดีแล้ว คนอื่นจะยังกล้าอีกหรือ
“เช่นนั้นก็ดี” ซูสุ่ยเลี่ยนพยักหน้าดีใจ ขอเพียงมีเวลามากพอ นางรับได้หรือไม่รับก็ได้อีก อย่างไรงานบ้านก็ถูกหลินซือเย่าแย่งไปทำหมดแล้ว นางไม่ทำงานปัก ก็คงรู้สึกว่างงานมาก
ดังนั้นซูสุ่ยเลี่ยนกับร้านผ้าปักเยว่อวิ๋นจึงตกลงเซ็นสัญญาเป็นหัวหน้าช่างปักผ้า เงื่อนไขในสัญญากับที่ซูสุ่ยเลี่ยนได้อ่านจากหนังสือเชิญก่อนหน้านั้นไม่ต่างกัน แม้ว่าเจียงอิ้งเยว่คิดจะเสนอให้สองตำลึง แต่ก็ถูกซูสุ่ยเลี่ยนปฏิเสธอ่อนน้อมไป
ล้อเล่นน่า เดือนละตำลึง ปีหนึ่งสิบสองตำลึง หากหนึ่งปีรับงานไม่มาก ใช่ว่ากินเงินคนอื่นเปล่าๆ หรือ นับประสาอันใดกับสองตำลึง ดังนั้นซูสุ่ยเลี่ยนจึงดึงดันไม่ยอมรับถึงสองตำลึง ถือเสียว่านางดื้อดึงแล้วกัน ในเรื่องนี้ซูสุ่ยเลี่ยนยอมได้น้อยหน่อย แต่จิตใจสงบกว่าดีกว่า
สัญญาระยะเวลาหนึ่งปี ครบกำหนดสองฝ่ายยังตัดสินใจว่าจะต่อสัญญาอีกหรือไม่
หลังจากสองฝ่ายเซ็นสัญญาประทับลายนิ้วมือแล้ว สัญญาก็เป็นผล สองฝ่ายเก็บไว้คนละฉบับ
เจียงอิ้งเยว่นับว่าวางใจลงได้แล้ว นางกังวลจริงๆ ว่าซูสุ่ยเลี่ยนจะปฏิเสธข้อเสนอตน อย่างไรก็มีร้านปักอื่นมักเสนอราคาสูงให้กับงานปักเพื่อดึงดูดช่างปักอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว อย่างเช่นว่าแขกมีแบบปักที่ซับซ้อนมาเอง ร้านปักก็ย่อมเสนอราคาสูงเชิญช่างมีฝีมือมาปัก เหตุนี้นางจึงได้มีโอกาสรู้จักซูสุ่ยเลี่ยนผ่านทางสี่ชุ่ย นับเป็นวาสนาไหม