เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา - ตอนที่ 7 เจ้าไม่ได้เป็นใบ้หรือ
“เสี่ยวฉุน เสี่ยวเสวี่ย กินข้าวแล้ว!”
ซูสุ่ยเลี่ยนตะโกนเรียกลูกหมาป่าที่เล่นอยู่ปากถ้ำเบาๆ ตักน้ำแกงปลาที่ตุ๋นเสร็จแล้วใส่ชามหินสองชาม ชามหนึ่งวางไว้ในมุมที่ลูกหมาป่ากินกันประจำ อีกชามหนึ่งกะเอาไว้ป้อนคนป่วยที่นอนพักหลับตาอยู่บนหนังเสือ
ดูท่าตอนนี้คงต้องไปหาชามหินไว้สำหรับใส่น้ำแกงเพิ่มอีกหนึ่งใบแล้ว อืม ยังต้องมีตะเกียบไม้กับช้อนเพิ่มอีกด้วย
ซูสุ่ยเลี่ยนหยิบตะเกียบและช้อนที่มีชุดเดียวออกมา คิดเอาไว้ว่าว่างเมื่อไรจะแกะสลักตะเกียบไม้และช้อนเพิ่มอีกชุด
ดูท่าทางเขาบาดเจ็บหนักเช่นนี้ แม้ว่าได้ดื่มของเหลวสีเขียวแวววาวนั่นลงไปแล้วจะฟื้นตัวเร็วมาก แต่ทว่าอย่างไรก็ต้องพักรักษาตัวอีกห้าวันได้ สภาพร่างกายตอนนี้ยังคงอ่อนแอมาก ดังนั้นหากตนเองจะตัดสินใจออกจากป่านี้อีกครั้งก็คงต้องอีกหนึ่งเดือนนับจากนี้ ซูสุ่ยเลี่ยนทำใจให้สงบลงและเริ่มวางแผนกะเวลาออกจากป่านี้ในครั้งหน้าอีกครั้ง
ปลาย่างที่ย่างเสร็จมีหกตัว โยนสี่ตัวให้ลูกหมาป่าที่เลียแกงปลาอย่างเอร็ดอร่อยหมดเกลี้ยงไปแล้ว จากนั้นก็ประคองชามแกงปลาต้มใหม่ๆ ที่ตอนนี้เย็นจนเข้าปากก็ไม่ร้อนจนลวกปากแล้วไปตรงหน้าซือหลิง ตั้งใจจะเรียกให้เขาดื่ม แต่ก็นึกได้ว่าไม่รู้ว่าเขาชื่ออะไร แม้ว่าวันนั้นได้ยินชายชุดดำเรียกเขาว่า ซือหลิง หรือว่า ซือหลิน ซือเหล่ย อย่างไรก็ไม่กล้าเรียกออกไปตามอำเภอใจ อย่างไรตอนนั้นตนเองก็แอบได้ยินแว่วๆ เท่านั้น
ตอนนางประคองชามน้ำแกงค่อยๆ เข้ามาใกล้ ซือหลิงก็เริ่มรู้ตัวแล้ว คิดว่านางจะปลุกตน แต่เป็นนานก็ไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวอะไรอีก พอลืมตาขึ้นมองไป ก็เห็นนางห่างจากตนเองก้าวหนึ่ง ดวงตากลมโตจ้องมองเขม็ง ทำให้เขามีโอกาสได้มองนางอย่างละเอียด
เขายอมรับว่านางสวยมาก ให้ความรู้สึกถึงความอ่อนโยนละมุนละไมน่าทะนุถนอม แม้ว่าสวมแค่เสื้อผ้าชุดกลาง ผมก็เพียงแค่มัดเป็นสองเปียทิ้งไว้ด้านหน้าสองข้างง่ายๆ ไม่ได้เกล้ามวยทิ้งปอยผมแบบดรุณีน้อยนอกป่าพวกนั้น แล้วก็ไม่ได้ปักปิ่นหงส์ปิ่นหยกอะไรพวกนั้นเช่นกัน แต่ว่านางเป็นเช่นนี้ถึงกับทำให้ตนเองมีความรู้สึกสบายตาอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน
“เอ๋?” ซูสุ่ยเลี่ยนได้สติคืนมา สบตาเข้ากับเขาที่จ้องมาอย่างตกในภวังค์ลึก สองแก้มก็แดงระเรื่อทันที รีบย่อตัวลงวางน้ำแกงไว้บนพื้น ยืนมือเข้าประคองเขาให้ลุกนั่ง “ขึ้นมานั่งดื่มน้ำแกงปลาร้อนๆ สักหน่อย”
ครั้งนี้ซือหลิงไม่ได้ต่อต้านการเข้าประชิดตัวของนาง ปล่อยให้นางเอื้อมมือมาที่หลังคอตนเอง ค่อยๆ ประคองให้ตนลุกนั่ง ดูนางเอาห่อผ้ารองไว้ด้านหลังตนอย่างรอบคอบ ช่วยบรรเทาความเจ็บหากต้องพิงกับผนังหินแข็งๆ
“มา ดื่มดูนะ อาจจะจืดไปนิด อ่านมาว่าบาดแผลยังไม่หายดีไม่ควรกินเค็ม” ซูสุ่ยเลี่ยนพูดไปก็ใช้ช้อนตักน้ำแกงไปจ่อที่ปากเขา
ซือหลิงจ้องมองใบหน้านางครู่หนึ่ง เห็นนางเงยหน้าเหลือบตาขึ้นมองตนเองอย่างสงสัย จึงได้อ้าปากขึ้น อืม รสชาติจืดมากจริง แต่ทำอาหารในที่กันดารเช่นนี้ได้ ดูท่าทางนางเหมือนไม่รู้วิทยายุทธ์ ได้ดื่มน้ำแกงปลาที่รสชาติดั้งเดิมเช่นนี้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ชิมไปคำหนึ่งก็รู้สึกได้ถึงรสชาติหนึ่งติดปลายลิ้น เหมือนมีความหอมของเห็ด
คนหนึ่งป้อนอย่างระมัดระวัง คนหนึ่งกินอย่างไม่เกรงใจ
สองคนลืมไปเรื่องหนึ่ง ‘แขนเขาไม่ได้บาดเจ็บ แน่นอนว่ายกช้อนตักน้ำแกงกินเองได้’
……
“ปลาย่าง ลองชิมไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นเขาดื่มน้ำแกงปลาหมดชามแต่ยังคงจ้องมองนาง ยังคิดว่าคงอยากกินปลาย่างในมือนาง แม้ว่าแผลกำลังจะหายไม่กินของปิ้งย่างจะดีกว่า จะได้ไม่ท้องอืด แต่ยังคงแอบโบกปลาย่างเสียบกิ่งไม้ที่มีกลิ่นหอมแตะจมูกไปมาอย่างเสียไม่ได้ พลางถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ซือหลิงไม่ได้พยักหน้าและไม่ได้ส่ายหน้า เดิมก็ไม่ได้รู้สึกหิวอะไร ที่จ้องมองนางก็พราะรู้สึกว่าการพูดจาและท่าทางของนางแปลกประหลาดมาก บางครั้งก็ใจกล้า กล้าจ้องมองตนและด่าทอ บางครั้งก็ดูขี้กลัว เช่นตอนนี้ที่ตนเองจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งเท่านั้น นางก็สองแก้มแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แดงไปถึงใบหู
อยู่ในถ้ำหมาป่าเช่นนี้ มือไม้ทำงานบ้าน แต่ยังคงละมุนละไมแบบคุณหนูตระกูลใหญ่ แม้แต่ช้อนตักน้ำแกงกับตะเกียบคีบเนื้อก็ยังแกะสลักไว้อย่างประณีตงดงาม ดูแล้วน่าจะเรียกได้ว่าเป็นเครื่องใช้งานฝีมือประณีตมากกว่าเป็นเครื่องมือกินอาหาร สตรีเช่นนี้มาตกอยู่ในป่าลึกอยู่ร่วมกับลูกหมาป่าพวกนี้ได้อย่างไร
ซือหลิงเต็มไปด้วยความสงสัย แววตาเปล่งประกายเย็นเยียบราวกับน้ำแข็งดังเดิม
ซูสุ่ยเลี่ยนมองเขาอยู่นาน ไม่เห็นเขามีปฏิกิริยาอะไร ก็ยู่ปากชักมือกลับ ไม่สนใจใบหน้าเย็นเยียบไร้ความรู้สึกของซือหลิงอีก เริ่มลิ้มชิมรสปลาย่างที่คิดถึงมานาน
……
น่าจะถึงฤดูร้อนที่สุดแล้วกระมัง
ได้ยินเสียงจักจั่นส่งเสียงร้องดังทั่วป่า ซูสุ่ยเลี่ยนนั่งอยู่บนก้อนหินเตี้ยๆ ริมลำธาร สองเท้ายังคงถอดรองเท้าออกและแช่น้ำในลำธารเย็นสบาย มีปลาเล็กที่ใจกล้ามาตอดเท้านางเล่นอยู่บ้างเป็นระยะจักจี้จนนางเอาแต่ส่งเสียงหัวเราะไม่หยุด
ตั้งแต่ซูสุ่ยเลี่ยนพาซือหลิงกลับมา เวลาว่างยามบ่ายก็แทบจะไปขลุกอยู่ที่ริมลำธาร
แน่นอนมีบางครั้งที่แอบไปเก็บผลไม้ไกลออกไปหน่อยสักครู่ แต่ก็กลับมาก่อนตะวันตกดินเพื่อทำอาหารเย็น เพราะว่าตอนนี้มีสามปากท้องที่รอนางเรียก ‘กินข้าว’ อยู่
ก้มหน้าลงมองเสื้อตัวนอกที่เป็นกระโปรงหรูฉวิน[1]สองชิ้นที่ห่อหุ้มร่างกายอยู่ ค่อยๆ เบ้ปาก ตอนแรกไม่ได้คิดอะไรก็ฉีกเสื้อตัวในที่มีอยู่เพียงสองตัวนั้นไปพันแผลให้ชายผู้นั้น พอมาตอนนี้ก็พบว่าหน้าร้อนไม่อาจสวมชุดเดียวนานๆ โดยไม่เปลี่ยนได้ โดยเฉพาะหลังจากทำงานออกแรงเช่นนี้ เหงื่อออกมาจนตนเองดมแล้วยังแทบทนไม่ไหว ดังนั้นก็ได้แต่นำเสื้อชุดกลางตัวหนึ่งในนั้นมาแบ่งออกเป็นสองส่วน ทำเป็นชุดตัวในสองชิ้น ชุดตัวนอกที่ตัวใหญ่กว่าตัวหนึ่งก็เอาไปทำเป็นกระโปรงหรูฉวินทรงเอวสูงสองชิ้น
เช่นนี้ก็จะพอให้สลับกันมาซักได้ เพียงแต่การสวมชุดผ้าต่วนสองชั้นทำให้อากาศไม่ถ่ายเทและซับเหงื่ออีก ทำให้รู้สึกร้อนอบอ้าวจริง ดีที่ในป่าได้ไม่มีแสงแดดสาดส่องกระทบโดยตรง แม้ว่าช่วงบ่ายจะมีความร้อนชื้นมากสักหน่อย แต่ก็เพียงแค่ชั่วคราว พอตกเย็นพระอาทิตย์ลับตา ตอนกลางคืนอากาศในป่าก็ยังคงอบอุ่นสบายเหมือนฤดูใบไม้ผลิใบไม้ร่วง
เพียงแต่ตอนฤดูร้อนต่อไปฤดูใบไม้ผลิยังคงถูไถไปได้ รอให้เข้าฤดูหนาว เสื้อผ้าบางเช่นนี้จะทำให้หนาวตายเอาได้
จะว่าไป เสื้อผ้าคนผู้นั้นก็ไม่ใช่เสื้อผ้าฤดูหนาวอะไรนี่ คิดว่าชุดดำชุดนั้นถูกตนตัดทิ้งเป็นช่องโบ๋เพื่อใส่ยาและพันแผล ดูแล้วประหลาด เลยต้องตัดส่วนด้านหลังที่ขาดวิ่นที่ไปด้วย ชุดดำตัวนอกพริบตาก็กลายเป็นเสื้อแขนกุดๆ ตัวหนึ่งในทันที
ซูสุ่ยเลี่ยนอดเม้มปากไม่ได้ ดีที่คนผู้นั้นพอตื่นมาก็ไม่ได้มีทีท่าจะตำหนินางแต่อย่างใด อาจเพราะยามรักษาตัวอยู่ เช่นนี้คงเป็นทางเลือกที่ดีแล้ว รอให้เขาหายดีก่อน ย่อมต้องการเปลี่ยนชุดใหม่แน่
ซูสุ่ยเลี่ยนเงยหน้าขึ้นเหลือบมองไปยังป่าไผ่ริมลำธารที่สูงเสียดเมฆ ในใจก็ล่องลอยตามไปไกล
ก็ไม่รู้ว่าครอบครัวนางที่เมืองซูโจวจะเป็นอย่างไรกันแล้ว โดยเฉพาะคุณแม่และพี่ใหญ่ คิดว่าน่าจะเสียใจมากกระมัง ยังมีพี่ซินอี้…ซูสุ่ยเลี่ยนคิดถึงซินอี้ ในใจก็เริ่มปวดปลาบขึ้นมา พี่ซินอี้รับปากแต่งนางเป็นภรรยา ก็น่าจะเพราะเสียไม่ได้ เขาน่าจะชอบพอกับสุ่ยเยี่ยนมากกว่า ก็จริง สุ่ยเยี่ยนสวยมาก นิสัยยังร่าเริง ไม่เหมือนนาง พออายุสิบสามมาก็เริ่มเอาแต่ขลุกอยู่ในเรือนตนเองคนเดียว ไม่ปักผ้าก็อ่านบันทึกอี้อู้หลายเล่มพวกนั้นที่ตอนนี้อ่านจนจำขึ้นใจแล้ว แม้ว่าในใจลึกๆ จะชอบพี่ซินอี้ แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกชัดแจ้ง ไม่ต้องพูดถึงว่าจะเผยความในใจออกมา คิดว่าตอนนั้นแม้ว่าเขาจะอ้างบ่อยๆ ว่ามาเยี่ยมนาง แต่สุดท้ายก็ยังตามสุ่ยเยี่ยนออกไปเที่ยวข้างนอก ตอนนี้เขาน่าจะสมหวังแล้ว
ซูสุ่ยเลี่ยนถอนหายใจเบาๆ ดึงความคิดคืนมา เช็ดเท้าให้แห้ง ดึงกางเกงลงจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนคิดจะกลับไปที่ถ้ำ
“โอ๊ะ!” ซูสุ่ยเลี่ยนกุมปากอุทานเบาๆ ตามมาด้วยรีบเข้าไปประคองซือหลิง “นายลุกขึ้นมาได้อย่างไร ยังเดินมาไกลขนาดนี้อีก แม้ว่าบาดแผลหายพอใช้ได้แล้ว แต่ก็ไม่ควรลงมาเดินพื้นเร็วอย่างนี้!” ช่างไม่รู้ความเลยจริงๆ วาจาสุดท้ายถูกซูสุ่ยเลี่ยนเก็บกลืนลงลำคอไปอย่างฉลาด
ซือหลิงหลุบตาลงมอง ปล่อยให้นางประคองตนกลับไปตามทางเดิน
เขาย่อมรู้ว่าร่างกายตนเองตอนนี้พักผ่อนมายี่สิบวันไม่อาจเรียกว่าหายสมบูรณ์ แต่กำลังแปดส่วนก็ฟื้นคืนมาแล้ว ในแววตาเขาทอประกายแวบหนึ่ง สตรีผู้นี้มักเอาแต่ทำราวกับเขาเป็นผู้ป่วยหนัก แปลกจริง ตนเองก็เหมือนพอใจที่จะให้นางดูแลล้อมหน้าล้อมหลังเขาเช่นนี้เหมือนกัน
เขาเดินออกมาสำรวจรอบๆ รอบหนึ่ง ตอนเดินมาถึงตรงนี้ก็พบว่านางกำลังแช่เท้าอยู่ในลำธารอย่างสบายอารมณ์ กำลังหันหลังคิดให้เกียรตินาง ก็เห็นนางเงยหน้าขึ้นมองมาอย่างตกตะลึง นั่นเป็นสีหน้าเจ็บปวดเศร้าใจที่เขาไม่เคยเห็นบนใบหน้านางมาก่อน
แต่ไรมานางมีนิสัยนุ่มนวลละมุนละไม ถึงกับเผยสีหน้าเจ็บปวดเศร้าใจเช่นนี้ได้ สาวน้อยที่ดูแล้วอายุน่าจะราวสิบสี่สิบห้า กลับทำให้ตนเองรู้สึกได้ถึงประสบการณ์อายุมากกว่าภาพลักษณ์ภายนอกของนาง ขณะนิ่งชะงักอยู่นี้ นางก็เงยหน้าขึ้นมองเขา
นับว่าลอบดูไหมนะ แววตาซือหลิงเผยอารมณ์ประหลาดแวบหนึ่ง ก่อนจะพยายามฝืนคืนสู่ความเย็นเยียบอีกครั้ง เพราะนางรีบเข้ามาประคองเขา ปากก็เอาแต่บ่นไม่หยุดว่าเขาทำผิด ซือหลิงหลุบตาลงมองสตรีน้อยในอ้อมกอดตนเอง ฉับพลันนั้นเอง มุมหนึ่งในใจเขาก็เต้นระรัว
……
“ฮิฮิ…เสี่ยวฉุน เสี่ยวเสวี่ยร้ายกาจมากใช่ไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนกอดลูกหมาป่าสองตัว ลูบขนสีขาวราวหิมะของพวกมันอย่างเบามือ ชมไม่หยุด
ในช่วงเวลาที่หน้าร้อนจัดกำลังจะมาถึง ในป่าที่เดิมไม่มีสัตว์ป่าก็ค่อยๆ มีมากขึ้น
หรืออาจเพราะไม่มีเสือขาวและหมาป่าใหญ่สองตัวนั่นคอยล่า สัตว์ป่าเล็กๆ ก็เจริญพันธุ์กันรวดเร็วยิ่งขึ้น ลูกหมาป่าสองตัวออกไปวิ่งตระเวนทุกวัน มักจะจับกระต่ายป่า ไก่ป่า เป็ดป่ากลับมา วันนี้ถึงกับลากเอางูเหลือมลำตัวหนาราวปากชามเล็กยาวราวสี่ห้าเมตรกลับมา
แม้ซูสุ่ยเลี่ยนรู้สึกกลัวสัตว์ป่าดุร้ายพวกนี้ แต่ก็รู้ว่าในป่า ของพวกนี้ก็คืออาหาร
นับประสาอันใดกับที่อยู่ๆ นางก็นึกขึ้นมาได้ แย้มยกมุมปากมองไปทางซือหลิงที่ฝึกยุทธ์อยู่ที่มุมหนึ่ง
ซือหลิงนั่งพิงผนังถ้ำทำสมาธิย่อมได้ยินเสียงชื่นชมยินดีของนาง ลืมหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้าอ่อนแรง ดังคาด นางกำลังกะพริบตาทอประกายปริบๆ มองมาที่เขา ส่งยิ้มกว้างให้กับเขาอยู่
เขาได้แต่ลุกขึ้นทันที เดินไปปากถ้ำ ไม่พูดไม่จาสักคำก็ลงมือจัดการงูเหลือมตัวนั้น
ตั้งแต่ซูสุ่ยเลี่ยนได้เห็นเขาจัดการลอกหนังกระต่ายป่าได้อย่างรวดเร็วและไม่เลอะเสื้อผ้าแล้ว นางก็มอบงานแล่เนื้อพวกนี้ให้เขาเสียเลย
[1] ชุดกระโปรงชนิดหนึ่งของสตรีจีนโบราณในสมัยหนึ่ง หรูคือเสื้อตัวสั้น ฉวินคือกระโปรง