เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา - ตอนที่ 73 ยุ่งกับการอวยพรปีใหม่
แสงอาทิตย์อบอุ่นแรกแผ่แสงทาบทาแผ่นดินต้าหุ้ยในวันที่หนึ่งเดือนหนึ่ง รัชศกเฟิงชิ่งที่สิบเอ็ด
หลินซือเย่าต้มบัวลอยสามไส้ ทั้งงาดำ ถั่วแดง และพุทราแดงอยู่ในห้องครัวเสร็จหม้อหนึ่ง เห็นยังเช้าอยู่ก็ลุกขึ้นไปที่ลานด้านใต้ เตรียมจะเก็บผักที่โตเต็มที่แล้วพวกนั้นมาให้หมด
ผ่านมาได้สามวัน หิมะที่สะสมอยู่ลานด้านในของบ้านก็เริ่มละลายไปเกือบหมดแล้ว นอกจากมีตามมุมที่ไม่ต้องแสงแดด ที่เหลือน้ำแข็งบางๆ ก็ล้วนละลายไปหมดแล้ว เขาก็ต้องเริ่มลงมือทำงานแล้ว
พับผ้าอาบน้ำมันเก็บไปไว้ที่มุมตะวันตก แน่นอนยังเหลือร้านไม้ตั้งไว้ที่เดิม ไม่แน่อาจจะมีหิมะตกลงมาทรมานพวกผักที่ปลูกไว้อีก
เก็บผักกาดขาว ผักกวางตุ้งเขียว มันเทศ ไชเท้าที่เติบโตเต็มที่แล้วมาทีละอย่าง แบ่งไปไว้ในตะกร้าหวายใบใหญ่ สำหรับใบเน่าก็ทิ้งไว้เป็นปุ๋ยดิน ใบเหลืองฉีกออกโยนไปให้ไก่และแพะในคอกกิน
เอาผักกาดขาวที่เก็บเรียบร้อย แยกสิบหัวที่อ่อนๆ ไว้ กับผักกวางตุ้งเขียวที่มีไม่มากไปกองไว้ที่มุมหนึ่งในห้องครัว ของพวกนี้กะไว้กินเลย ผักกาดขาวที่เหลือจะเอาไปตากแดดที่ริมท่าน้ำ เตรียมไว้ทำผักดอง
สำหรับไชเท้าและมันเทศก็เหลือที่จะกินทันทีเอาไว้ในห้องครัว ที่เหลือเอาไปวางไว้ที่ห้องเก็บของเล็กสร้างใหม่ที่ข้างเล้าไก่ ห้องเล็กก่อจากก้อนหิน ประตูกับหลังคาทำจากแผ่นไม้ตอกแน่น ด้านบนปูกระเบื้อง คลุมทับด้วยผ้าหนา แม้ฝนตกตกหิมะตกก็ไม่ถึงด้านใน ดังนั้นอาหารที่เก็บได้นานหน่อยก็จะไม่เสียหาย เอาไปวางกองในนี้ได้
ทำงานพวกนี้เสร็จก็เห็นว่าสายแล้ว หลินซือเย่าจึงกลับเข้าห้องครัวล้างมือสะอาดเตรียมไปรีดนมแพะ สำหรับพื้นที่ปลูกผักที่ว่างลงไปเกือบครึ่งก็รอไว้คิดก่อน ตอนนี้ใกล้เริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิแล้ว ที่นาสองหมู่นอกบ้านควรเริ่มปลูกพร้อมกัน แม้ว่าปีก่อนปลูกข้าวสาลีหน้าหนาวไว้หนึ่งหมู่ แต่อีกหนึ่งหมู่หว่านเพียงแค่เมล็ดผักเอาไว้ ส่วนใหญ่ยังว่างอยู่
หลินซือเย่าคิดไปก็ทำงานไปด้วยไม่ได้หยุดมือ คิดถึงว่าเขาเป็นนักฆ่า ตอนนี้วันๆ ทำงานเพาะปลูกเอย เก็บเกี่ยวเอย คิดว่าจะกินอะไรเอย เริ่มแรกเขายังปรับตัวไม่ได้จริงๆ แต่ผ่านไปวันแล้ววันเล่า เห็นทุกอย่างในบ้านแต่ละวันผ่านไปด้วยดี งานใช้แรงงานพวกนี้สำหรับเขาแล้ว ก็คือคำแทนของคำว่าหวานล้ำและพึงใจ บางครั้งถึงกับรู้สึกขอบคุณเฟิงชิงหยาที่ไล่ล่าสังหารเขามานับพันลี้ไม่เลิกรา
……
“บ้านผู้ใหญ่บ้าน บ้านป้าเหลา บ้านป้าเถียน…” ซูสุ่ยเลี่ยนนับของขวัญที่ห่อเรียบร้อยไว้ยกได้ง่ายกองอยู่เต็มบนโต๊ะเตรียมเอาไปอวยพรปีใหม่
เมืองฝานฮัวมีธรรมเนียมหนึ่งว่า บ้านไหนมีผู้อาวุโส วันที่หนึ่งเดือนหนึ่งจะไม่ออกจากบ้าน
ดังนั้นพวกผู้น้อยอย่างซูสุ่ยเลี่ยนกับหลินซือเย่าก็ย่อมต้องไปเยี่ยมอวยพรพวกเขาถึงที่บ้าน
วันนี้พวกนางกะว่าจะไปให้ทั่วเมืองฝานฮัว ไปเยือนบ้านชาวบ้านที่เคยมาช่วยงานตน ไม่ว่าบ้านไหนก็อยากจะไปอวยพรกันแต่เช้าตรู่
สำหรับของขวัญติดไม้ติดมือ ดูสิ ตะกร้าใหญ่สองใบในมือหลินซือเย่า ในนั้นเต็มไปด้วยของอะไรก็ไม่รู้ได้!
นางใช้ผ้าฝ้ายแดงเย็บเป็นกระบอกผ้า ใช้ด้ายสีดำร้อยปากกระบอกผ้ารูดเบาๆ กระบอกผ้าฝ้ายก็ปิดปากถุงลง สำหรับของบรรจุในแต่ละกระบอก ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกอาหารที่เหลือกินเหลือเก็บ เช่นไข่ไก่เอย ปลาเค็มเอย ขนมรสผลไม้เอย ขนมเปี๊ยะอบเอย…ยังมีพวงเหรียญร้อยเรียงกันหลายสิบเหรียญด้วยเชือกรูปร่างน่ารักอีกด้วย
แน่นอนของขวัญแต่ละชุดราคาไม่ต่างกันมาก เรื่องนี้ซูสุ่ยเลี่ยนก็คิดได้รอบคอบมาก ไม่เช่นนั้นแต่ละบ้านหากคุยกันขึ้นมา ได้รู้ว่าของอวยพรปีใหม่ของนางมีราคาสูงต่ำแตกต่าง ใช่ว่าจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดหรือ ยังอาจหาว่านางลำเอียงได้
แต่พูดไปแล้ว ตั้งแต่ย้ายมาอยู่เมืองฝานฮัวครึ่งปีมานี้ ในหมู่บ้านก็มีพวกใจคอคับแคบเห็นนางได้ดีไม่ได้เหมือนกัน เช่นเห็นหลินซือเย่าถือพวงสัตว์ป่ากลับบ้าน ตนเองไม่กล้าขึ้นเขา ก็ไปบอกผู้ใหญ่บ้านเสียๆ หายๆ ความประมาณว่าสัตว์บนเขาต้าซื่อจะถูกเขาจับมาหมดเขาไหมนะ และมีนางบางตระกูลพอได้รู้ว่าซูสุ่ยเลี่ยนมีฝีมือปักผ้าโดดเด่นเหนือกว่านางเหอ กลายเป็นช่างปักที่เก่งกาจที่สุดในเมืองฝานฮัว ถึงกับได้เป็นหัวหน้าช่างปักผ้าร้านผ้าปักเยว่อวิ๋น ก็มักเอาไปคุยต่อหน้านางเหออยู่เรื่อยๆ ต้องการทำให้นางแตกแยกกับซูสุ่ยเลี่ยนหรือเปล่าก็ไม่รู้ ดีที่นางเหอยังรู้ความ ในใจเหมือนมีเข็มแทง แต่ปากก็ยังยิ้มรับถ่อมตน ไม่ได้เหินห่างกับซูสุ่ยเลี่ยนไปจริงๆ อย่างไรงานปักพวกนี้ซูสุ่ยเลี่ยนก็เหนือกว่านางมากจริง เรื่องนี้นางไม่อาจไม่ยอมรับ
ดังนั้นพอคัดบ้านที่เกินไปจริงๆ ทิ้งแล้ว สองตะกร้าใหญ่ในมือซูสุ่ยเลี่ยนกับหลินซือเย่าก็เริ่มออกไปอวยพรปีใหม่ ขี้เหนียวนักไม่ใช่หรือ เหลือสองสามชุดไว้ก็ดี เหอๆ…ซูสุ่ยเลี่ยนนึกขำ ชีวิตจริงในเมืองฝานฮัว เจ้าเคารพข้าหนึ่งฉื่อ ข้าก็ตอบแทนหนึ่งฉื่อ หากเจ้ารังแกข้า แม้ข้าไม่โต้ตอบ แต่ย่อมไม่สนใจเจ้าอีก ไม่อย่างนั้นคิดว่าจะรังแกข้าได้ง่ายๆ หรือ
……
จนกระทั่งปลายยามเว่ย สองคนจึงได้ยกตะกร้าผลไม้เต็มตะกร้าเหมือนเดิมสองใบกลับบ้าน
ของขวัญติดมือยี่สิบห้าชุดนำไปอวยพรเสร็จ ก็รับเอาของแต่ละบ้านกลับมาอย่างไม่อาจปฏิเสธได้จนอัดเต็มตะกร้าไปหมด ในนั้นมีทั้งไข่เป็ดไข่ไก่ เหล้าบ่มเอง แตงกวาดอง ขนมถั่วเขียว…ถึงกับมีกิ่งเหมยแดงที่ดอกยังตูมอยู่มาหลายกิ่งด้วย
ซูสุ่ยเลี่ยนชอบใจมาก เอากิ่งดอกเหมยแดงไปปักไว้ในแจกันปากกลมในห้องนอน เพื่อเพิ่มกลิ่นอายฤดูใบไม้ผลิให้กับห้องด้านใน
ตบมือชื่นชมยิ้มร่าเดินมายังห้องครัว ช่วยหลินซือเย่าเก็บอาหารที่ชาวบ้านให้มา
“อาจารย์ อาจารย์หญิง” ไกลออกไป ได้ยินเสียงเถียนต้าเป่าตะโกนดังมา เห็นชัดว่าคนยังไม่มาเสียงมาก่อน
“อาจารย์ อาจารย์หญิง พวกเรามาอวยพรปีใหม่” เถียนต้าเป่ายิ้มร่าผลุบเข้าไปในห้องครัว ด้านหลังมีเด็กอายุไม่ถึงสิบขวบตามมมาอีกหกเจ็ดคนเป็นขบวน ซูสุ่ยเลี่ยนจำได้แค่สามคนในนั้น คนหนึ่งคือฟางเสี่ยวหวาอายุเพิ่งหกขวบจากบ้านฟางต้าเซิง คนหนึ่งคือซุนฉีเหออายุเก้าขวบจากบ้านซุนโหย่วเม่า ยังมีสุ่ยฝูอายุเก้าขวบ ลูกชายคนเล็กของบ้านสุ่ยเกิน เคยตามมารดาพวกเขามาที่บ้าน ดังนั้นซูสุ่ยเลี่ยนจึงจำได้
“อาจารย์หลิน อาจารย์หญิงหลิน สวัสดีปีใหม่!” เด็กหกคนมายืนเบียดกันก้มคำนับอยู่ตรงหน้าหลินซือเย่ากับซูสุ่ยเลี่ยน ปากก็กล่าวคำอวยพรปีใหม่ที่ต้าเป่าสอนพวกเขา
แท้จริงแล้ว พวกเขาเดิมคิดจะเรียกว่าพี่สุ่ยเลี่ยน ที่ไหนมีอาจารย์หญิงสวยขนาดนี้กัน? แต่เถียนต้าเป่าไม่ยอม เพราะเช่นนี้ตนเองก็จะกลายเป็นรุ่นอายุน้อยสุดไปสิ ดังนั้นจึงดึงดันให้พวกเขาเรียกตามตนเอง ไม่อย่างนั้นไม่ให้พวกเขาตามมา แน่นอนกำชับให้พวกเขาเติมแซ่ไว้ด้วย เพื่อคนฟังแล้วจะได้แยกแยะออกจากตัวเขาที่เป็นศิษย์จริงๆ ได้ ไม่อาจไม่บอกก่อนว่าก้อนเลือดคั่งในสมองเถียนต้าเป่าสลายไปหมดแล้ว
“อาจารย์หญิง พวกเขาจะตามข้ามาอวยพรให้ได้ ข้าก็ไม่รู้ทำอย่างไร” เถียนต้าเป่าเห็นซูสุ่ยเลี่ยนท่าทางแปลกใจ จึงได้ยักไหล่แบสองมือออกทำท่าเหมือนว่าเขาก็ทำอะไรไม่ได้
พอกล่าวออกมา ก็ถูกหลินซือเย่าเขกหัวดังโป๊ก รีบทำตัวเป็นเด็กดีเรียบร้อยทันที
“สวัสดีปีใหม่! ไป พวกเราไปเล่นในห้องโถงกัน” ซูสุ่ยเลี่ยนหัวเราะร่ารับคำอวยพร จากนั้นก็กวักมือเรียกเด็กๆ ให้พวกเขาตามเข้าห้องโถง
“ข้าไม่ได้หลอกพวกเจ้าใช่ไหม อาจารย์หญิงมีขนมเยอะ” เถียนต้าเป่าจงใจตะเบ็งเสียงดังใส่พวกเด็กๆ เด็กที่เหลือพากันพยักหน้าอิจฉา มองไปยังของบนโต๊ะที่วางไว้เต็มโต๊ะด้วยแววตาเป็นประกาย มีทั้งขนมผลไม้แห้งรวมกันเจ็ดแปดจาน แม้แต่ขนมน้ำตาลหนึบหนับ ขนมผลไม้เคลือบน้ำตาลเสียบไม้ที่ที่บ้านพวกเขาไม่ยอมซื้อให้พวกเขาก็มี และมีไม่น้อยด้วย
ว่ากันว่า แต่ละบ้านในเดือนหนึ่งจะเปิดประตูหน้าเอาไว้เพื่อให้ไปมาหาสู่กันได้ง่าย ไม่ว่ามีหรือไม่มีเพื่อนบ้านมาเยือน ซูสุ่ยเลี่ยนยังคงเตรียมตัวว่าจะมีอาซ้อบ้านไหนพาเด็กๆ มาเยือนถึงบ้าน จึงให้หลินซือเย่าไปซื้อขนมของกินเล่นที่เด็กๆ ชอบมาจากตลาดนัดครั้งสุดท้ายก่อนปิดปีใหม่มาไว้มากมาย
“ว่ามา อย่ากินอะไรก็หยิบเลย” ซูสุ่ยเลี่ยนยกไข่ไก่ต้มน้ำตาลจากห้องครัวที่หลินซือเย่าทำเสร็จออกมา เด็กเจ็ดคน คนละชาม แบ่งให้พวกเขากิน “มา ระวังร้อน วางไว้บนโต๊ะกินนะ” ซูสุ่ยเลี่ยนวางไข่ไก่ต้มน้ำตาลไว้บนโต๊ะเล็กๆ ข้างเก้าอี้ที่เด็กๆ นั่งกันคนละชามอย่างระมัดระวัง มีเด็กสองคนนั่งอยู่กับต้าเป่า กำลังมุงดูของบนโต๊ะกลืนน้ำลายเอื๊อก
“ข้าไม่ได้หลอกพวกเจ้าใช่ไหม อาจารย์ทำไข่ไก่ต้มน้ำตาลอร่อยที่สุด!” กินไข่ไก่ต้มน้ำตาลแล้ว เถียนต้าเป่าเช็ดปาก หันไปอวดกับเด็กน้อยรอบตัวเขา
“อืม!” เด็กที่เหลือพยักหน้าเต็มแรงอย่าเห็นด้วย จากนั้นก็กะพริบตาปริบๆ จ้องลูกอมน้ำตาลบนโต๊ะ แต่ก็เขินจะเอื้อมมือไปหยิบ
“ต้าเป่า รีบแบ่งลูกอมน้ำตาลให้พวกเขากินสิ” ซูสุ่ยเลี่ยนไปหยิบเงินเหรียญทองแดงจากในห้องออกมาได้หกพวง ได้ยินเสียงเถียนต้าเป่าก็ขำไม่หยุด สั่งให้เขาแบ่งลูกอมน้ำตาล พร้อมกับมอบพวงเงินปีใหม่ให้เด็กๆ “มา เอากลับไปซื้อของเล่นกันนะ”
เด็กๆ สบตากันเหมือนอายแต่ก็ไม่อยากพลาด สองมือกำไว้ด้านหลังแน่น สองตาจ้องพวงเหรียญในมือซูสุ่ยเลี่ยนตาเป็นประกาย
ซูสุ่ยเลี่ยนหัวเราะยัดพวงเงินใส่มือพวกเด็กๆ คนละพวง สำหรับเถียนต้าเป่า ตอนไปบ้านเขาอวยพรปีใหม่ถูกนางเถียนรั้งไว้กินอาหารกลางวันก็เลยได้มอบกระต่ายที่ทำจากเหรียญเก้าสิบเก้าเหรียญที่เตรียมไว้ให้เขาไปเป็นเงินแต๊ะเอียเรียบร้อยแล้ว
“ขอบคุณอาจารย์หญิงหลิน” ฟางเสี่ยวหวาที่อายุน้อยที่สุดปากหวานมาก เด็กอีกห้าคนเห็นดังนี้ก็ขอบคุณตาม
“ไม่ต้องเกรงใจ อยากกินอะไร อาจารย์หญิงหยิบให้เจ้า?” ซูสุ่ยเลี่ยนลูบหัวฟางเสี่ยวหวาอายุหกขวบยิ้มถาม
“ข้าอยากกินผลไม้เคลือบน้ำตาลเสียบไม้ ที่จริงพี่ชายทุกคนก็อยากกิน…”
“ใครพูด!”
“ใครบอกเจ้า!”
“…”
……
อวยพรปีใหม่แล้ว กินแล้ว ดื่มแล้ว หยิบของติดไม้ติดมือแล้ว เถียนต้าเป่าก็พาเด็กน้อยหกคนที่อายุน้อยกว่าเขาออกไปบ้านอื่นต่อ
เดือนหนึ่ง พวกที่สนุกสนานเบิกบานใจที่สุดไม่มีผู้ใดเกินเด็กน้อย ไปบ้านไหนก็ได้ตามใจ คิดอยากกินอะไรก็ขอได้ ถึงกับยังอาจมีเงินให้อีก จะไม่เบิกบานใจได้หรือ!