เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา - ตอนที่ 77 จากกันไปนานเป็นอย่างไรบ้าง
ค่ำคืนพระจันทร์โค้งราวขอเกี่ยวอยู่กลางท้องฟ้า
แสงจันทร์นวลสาดส่องมายังลานบ้านปูลาดด้วยหินชิงจวนที่ส่องประกายราวกับมีน้ำแข็งชั้นบางๆ ฉาบอยู่
โรมรันพัวพันอยู่หลายรอบ จนนางทนรับความเอาแต่ใจของเขาไม่ไหวผล็อยหลับไป หลินซือเย่าจึงพอใจทำความสะอาดร่างกายของเขาและนางเรียบร้อย ก่อนจะกอดนางเข้าสู่ห้วงนิทรา
ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม เขาก็ลืมตาผึงขึ้น กระโดดออกไปนอกห้อง ตอนเสี่ยวฉุนกับเสี่ยวเสวี่ยลืมตาผึงขึ้นมา ก็เห็นผู้บุกรุกยามราตรีหายไปในพริบตา
“ไม่เจอกันหนึ่งปี เป็นอย่างไรบ้าง?!” ชายปิดหน้าชุดดำยืนอยู่บนยอดไผ่เขียวบนยอดเขาซิ่วเฟิงหันหน้ามาทางหลินซือเย่าที่กำลังร้อนใจ ได้ยินวาจาสุภาพ แต่น้ำเสียงเย็นเยียบราวกับทักทายมาจากนรกขุมลึก
“ด้วยวาจามงคลเจ้า ทุกอย่างดีหมด” หลินซือเย่าในชุดตัวกลางสีขาวตัวเดียวยืนอยู่บนยอดไผ่ที่ห่างจากชายชุดดำหลายจั้ง ท่ามกลางแสงจันทร์เยียบเย็น ชุดยาวโบกสะบัดตามแรงลมพลิ้วพลิ้วราวกับเทพเซียน
“เจ้าเปลี่ยนไป…ซือหลิง” น้ำเสียงแอบเหมือนทอดถอนใจ ชายชุดดำกล่าววาจาไร้ที่มาที่ไปขึ้น
“ซือหลิงตายแล้ว” หลินซือเย่าน้ำเสียงเยียบเย็นลอยไปตามแรงลม เขาตอนนี้คือหลินซือเย่า เป็นชาวนาธรรมดาคนหนึ่งในเมืองฝานฮัว
“วันนั้น…คิดไม่ถึงว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่” ชายชุดดำจ้องมองหลินซือเย่าไม่วางตา ก่อนจะค่อยๆ กล่าวว่า “บรรลุขั้นสุดแล้ว?”
ได้ยินคำถามที่เหมือนไม่รู้คิดมาจากเหตุผลอะไร ทำเอาหลินซือเย่านิ่งชะงักไปอึดใจ พยักหน้าน้ำเสียงเยียบเย็นก้องทะลุผืนป่าไผ่ “ถูกต้อง หากยังคิดเอาชีวิตข้า เกรงว่าเจ้าคงต้องผิดหวังแล้ว”
“ผิด ข้าซือทั่วทำงาน ครั้งหนึ่งไม่สำเร็จ ย่อมไม่ซ้ำสอง” ชายชุดดำก็คือนักฆ่าซือทั่วที่มีชื่อเสียงแห่งหอเฟิงเหยารองจากซือหลิง รับภารกิจระดับกลาง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คืนนี้มาทำไม” หลินซือเย่าแม้ว่าปากจะถาม แต่ร่างกายเริ่มหันข้างเตรียมกลับไปได้ทุกเมื่อ สำหรับสาเหตุที่ออกจากปากซือทั่ว ขอเพียงไม่เป็นอันตรายต่อสตรีตัวน้อยข้างกายเขา กล่าวตามตรง เขาไม่สนใจสักนิด
“ไม่มีอะไร แค่มาเยี่ยมเทพสังหารในวันวานว่ากลายเป็นหนุ่มนักรักแล้วเป็นเช่นไร?!” น้ำเสียงเห็นชัดว่าเยาะเย้ยถากถาง ทำให้หลินซือเย่าที่คิดจะจากไปหยุดชะงักตัวแข็งก่อนจะโดดออกจากป่าไผ่ไป
“หวานหยดขนาดนี้ ทำไมไม่ช่วยเฟิงชิงหยาหาเงินเพิ่มอีกสักหน่อยล่ะ?!” ไกลออกไปมีเสียงของหลินซือเย่าเสนอรอดไรฟันมา
“ฮา ฮา ฮา…” ในที่สุดซือทั่วก็รู้สึกสนุกขึ้นมา หัวเราะดังลั่นท่ามกลางความเงียบในคืนเดือนมืด ก้องดังไปทั่วท้องฟ้า
……
ประตูรั้วถูกคนเคาะแรงราวกับบรรเลงเพลง ซูสุ่ยเลี่ยนกำลังนั่งคิดแบบปักที่เพิ่งจะรับมาปัก
หลายวันก่อนเจียงอิ้งอวิ๋นฝากสี่ชุ่ยมาบอกนางว่ามีงานปักมาจากเมืองจิ่นตูชิ้นหนึ่ง ระบุให้นางปัก เป็นภาพพระโพธิสัตว์กวนอิมประทานบุตรกว้างครึ่งเมตร ยาวหนึ่งเมตร ให้ระยะเวลานานมากถึงสามเดือนเต็มๆ ดังนั้นซูสุ่ยเลี่ยนจึงรับปากไป ดังนั้นบ่ายวานนี้เจียงอิ้งอวิ๋นส่งคนนำอุปกรณ์ปักภาพพระโพธิสัตว์กวนอิมประทานบุตรและแบบปักทั้งหมดมาให้ถึงที่บ้าน
ใช่แล้ว วันนี้หลังจากกินข้าวเช้าแล้ว หลินซือเย่าก็แบกจอบเสียมไปปลูกพวกถั่วเหลืองและข้าวโพด ซูสุ่ยเลี่ยนนั่งอยู่หน้าโต๊ะลองเทียบสีไหมที่จะปักดู
ยามนั้นเอง ประตูรั้วหน้าบ้านก็มีคนมาเคาะดัง
“ขอถามหน่อยว่าท่านต้องการพบใคร” ซูสุ่ยเลี่ยนยังไม่เปิดประตูหน้าออกมาก็ถามอีกฝ่ายอย่างสุภาพ ตั้งแต่เกิดเรื่องลู่หว่านเอ๋อร์มาเยือนครั้งนั้น และเรื่องที่เกือบจะถูกลักพาตัวผิดไป หลินซือเย่ากำชับนางย้ำแล้วย้ำอีกว่า อยู่บ้านคนเดียวห้ามเปิดประตูง่ายๆ
“ข้าน้อยซือชง เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักของซือ…ซือ อาเย่า” นอกประตูมีเสียงเย็นเยียบเหมือนกับหลินซือเย่าดังมา
ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินว่าเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักของหลินซือเย่ามาเยี่ยมอาเย่าโดยเฉพาะ ดังนั้นจึงปลดสลักกลอนประตูลง เปิดออกไปเห็นใบหน้าหล่อเหลาเย็นเยียบ
“อาซ้อ สวัสดี” ซือชงเห็นซูสุ่ยเลี่ยนครั้งแรกก็ลอบตะลึง ก่อนจะทำใจให้สงบลง ก้มกายคำนับซูสุ่ยเลี่ยน
“สวัสดี…อ้อ อาเย่าลงนา ยังไม่กลับมา เจ้า…” ซูสุ่ยเลี่ยนท่าทางเก้กัง ตามหลักควรเชิญเขาเข้ามานั่งในบ้านดื่มน้ำชาร้อนๆ รอหลินซือเย่ากลับมา แต่ดูท่าทางเขาแม้ว่ามีมารยาทดี แต่ทั่วร่างกายเปล่งรัศมีเหมือนห้ามคนนอกเข้าใกล้ ทำให้ในใจนางแอบลังเล
“ลงนา?” ซือชงได้ยินก็อึ้งไป ตามมาด้วยความรู้สึกว่าที่นี่เป็นหมู่บ้านชนบท ไม่ปลูกพืชทำนาหรือจะให้ถือจอบเสียมไปสังหารคนกัน? ก็เข้าใจกระจ่างว่าทำไมเมื่อคืนวาน ตอนซือทั่วกลับมามีสีหน้าประหลาด เอาแต่เท้าคางนั่งคิดนั้นมาจากเรื่องใด พรืด ให้นักฆ่ามาแบกจอบเสียมไปทำนา? ฮา ฮา ฮา น่าขันขนาดนั้นเลยหรือนี่!
เห็นชายตรงหน้ายืนนิ่งอึ้งสีหน้าเหมือนพยายามกลั้นจนเกร็งไปหมด ซูสุ่ยเลี่ยนก็ไม่รู้จะกล่าวอันใดต่อดี
“แค่ก…คือ อาซ้อ ไม่เชิญข้าเข้าไปรอหรือ” ซือชงพยายามระงับความรู้สึกนึกขำบ้าคลั่งที่ผุดขึ้นมาในใจลงไป แอบลอบมองสตรีที่ดูเหมือนภาพบนประกาศในเมืองหลวงพลางเสนอขอให้นางเชิญเข้าไปนั่ง
“ขออภัย ข้าเสียมารยาทแล้ว” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มเล็กน้อยเชิญเขาเข้าไปด้านใน
เดินตามหลังซูสุ่ยเลี่ยนมา กวาดตามองทั่วลานไปเจอกับสุนัขตัวใหญ่นอนหมอบเหมือนรออยู่ ฝีเท้าที่ก้าวเข้าไปก็ชะงักกึก คิ้วดาบซือชงกระตุก ฮา…หมาป่า…เฝ้าบ้าน? คิดว่าซือหลิงคงไปจับมาจากในป่ากระมัง? เขาแอบเบ้หน้า ดูเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม ชาวนา…เอิ่ม อย่ามาล้อเล่นน่า!
แม้ว่ากำลังเทียบสีไหมปัก ตามองแบบปักภาพพระโพธิสัตว์กวนอิมประทานบุตร แต่ในใจซูสุ่ยเลี่ยนส่วนใหญ่กำลังระวังตัวกับซือชงที่บอกว่าเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักกับอาเย่า
ซือชงได้จิบชาขู่เฉียวดำร้อนกรุ่นหอมแตะปลายจมูกที่นางชงมาให้หนึ่งกา และกินขนมเปี๊ยะกับขนมถั่วจานเล็กสองจานที่นางนำมาให้แล้ว ก็ทำท่าทางบอกให้นางตามสบายไม่ต้องสนใจเขา
ให้นางตามสบาย? นางอยู่บ้านนะ? ซูสุ่ยเลี่ยนแอบนึกขำเดินกลับไปยังห้องปักผ้า เทียบไหมปักต่อ ไม่ได้สนใจซือชงที่อยู่ด้านนอกและกำลังจิบชากินขนมไปอย่างมีความสุข สองตาก็มองไปยังในและนอกห้อง มองการจัดวางเครื่องเรือนไม่หยุด
คิดไม่ถึงว่าเทพสังหารถึงกับยอมมาเก็บตัวเป็นชาวนาอยู่ในหมู่บ้านชนบทเล็กๆ ห่างไกลความเจริญเช่นนี้ แทบไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ
หากไม่ใช่ว่ารอซือเล่ามาสมทบ เขากับซือทั่วไม่ได้เตร็ดเตร่ในเมืองฝานลั่วอยู่หลายวัน คงไม่ได้พบแหวนหยกของประจำตัวซือหลิงที่ร้านค้าตอนเดินเล่นฆ่าเวลาแน่ ยังได้ยินข่าวว่ามีผู้มีวรยุทธสูงแค่ดีดนิ้วก็ทำเอาคนแขนขาหักได้ หากไม่ใช่ว่าเมื่อคืนซือทั่วยืนยันจะมาสืบข่าวให้ได้แล้วล่ะก็ บางทีสองวันนี้ก็คงได้ออกเดินทางไปซีหลางที่เหอหนานปฏิบัติภารกิจแล้ว คงคลาดกับซือหลิงแล้ว
เพียงแต่เขากับซือทั่วคิดไม่ตกว่า อาการบาดเจ็บถึงชีวิตนั้น ปีเดียวไม่เพียงแต่หายสนิทดี ยังมีพลังก้าวหน้าอีกหลายส่วน เช่นนั้นพวกเขาที่วันๆ จับแต่ดาบแต่กระบี่ไม่เคยหยุดฝึกวิชาจะดำรงชีวิตอย่างไร? ช่างไม่มีหน้าไปมองผู้ใดแล้ว
มองไปด้านในห้องก็ไม่ได้ตกแต่งหรูหรางามพิเศษอะไร ย้อนกลับมาคิดถึงสตรีอ่อนโยนนุ่มนวลในห้องที่มีกำแพงกางกั้นอยู่ตอนนี้ ก็พอนึกภาพซือหลิงตอนนี้ได้ น่าจะมีชีวิตที่ว่างสบายและมีความสุข
พวกเขาล่ะ วันๆ เอาแต่ออกไปปฏิบัติภารกิจสังหาร ทั้งปีจับแต่ดาบ ไม่เคยได้คิดถึงอนาคต เพราะนักฆ่าไม่มีอนาคต วันนี้เป็น พรุ่งนี้ตาย เป็นเรื่องที่มีความเป็นไปได้ที่ในใจเตรียมพร้อมรับไว้นานแล้ว
แต่แม้เป็นเช่นนี้ ตอนนี้ซือชงก็ยังถึงกับแอบมีความหวังเล็กๆ
เขาจะหวังไกลไปไหม ยามที่เขายอมวางดาบลง เขาจะมีชีวิตใหม่ก่อนตายได้แบบซือหลิงเช่นนี้ไหม มีชีวิตสงบธรรมดาไปวันๆ กับที่นาหนึ่งหมู่และบ้านพักครึ่งหมู่?
ส่ายหน้าเฝื่อนๆ แอบขำ กลิ่นอายแห่งความอบอุ่นรอบกาย กลิ่นหอมอ่อนๆ และที่นั่งอ่อนนุ่มในห้องถึงกับทำให้เขาเกิดความคิดเหลวไหลมากมายจนต้องพยายามระงับใจให้สงบลง
ในตอนนั้นเองนอกห้องก็มีเสียงเห่าทักของเสี่ยวฉุนดังมาหลายเสียง
ซูสุ่ยเลี่ยนรีบผุดลุกขึ้นยืนทันที ดีเลย อาเย่ากลับมาแล้ว ในที่สุดนางก็รู้สึกคลายกังวลลง อย่างไรการอยู่ร่วมชายคากับชายแปลกหน้าก็ทำนางกดดันไม่น้อย
“อาเย่า เจ้ากลับมาแล้ว” ซูสุ่ยเลี่ยนก้าวผ่านหน้าซือชงที่เก็บความคิดจะลุกขึ้นยืนกลับคืน นางตรงออกจากห้องโถงไปยิ้มรับหลินซือเย่าที่เพิ่งจะเดินเข้ามา หลินซือเย่าวางเครื่องมือทำนาลง
“อืม” หลินซือเย่าพยักหน้า นางที่มีน้ำเสียงตกใจก็รู้สึกผ่อนคลายลง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย แอบขยับตัวมาป้องกันด้านหน้าซูสุ่ยเลี่ยน
เงยหน้าก็พบซือชงที่เคลื่อนไหวตามออกมาจากห้องโถง ดีมาก หนึ่งคน สองคน คิดว่าบ้านเขาเป็นร้านสุราหรือ คิดมาก็มา?
“ไม่เจอกันนาน” ซือชงเห็นซือหลิงเคลื่อนไหวราวปกป้องลูกเจี๊ยบ ก็ยิ้มขึ้นมาอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นนัก เอ่ยวาจาไร้สาระทักทายที่พวกเขาสองคนฟังแล้วรู้สึกไม่ได้เรื่องสิ้นดี
ตามมาด้วยสีหน้าเย็นชาที่มีแต่ความแปลกใจ ชายตรงหน้าก็คือเทพสังหารซือหลิงหรือ ชุดยาวรัดเอวสีเข้ม แขนเสื้อพับสูง รองเท้าหนังกวางเปื้อนดิน ทั้งตัวนอกจากใบหน้าเย็นเยียบหล่อเหลาดังเดิม หน้าตาที่ยังกระจ่างใสเหมือนเดิม ทั้งตัวไหนเลยจะหาเงาเทพสังหารที่เย็นเยียบได้อีก?
“แน่นอน” หลินซือเย่า เห็นว่าคนที่มาก็คือซือชงที่ปกติไปมาไร้ร่องรอย ในใจก็รู้ว่าคงเป็นซือทั่วพูดออกไป คนพวกนี้ไปเลียนแบบพวกผู้หญิงปากมากมาจากไหนกัน จึงได้ปากมากเช่นนี้!
“ดูท่า เจ้ามีชีวิตไม่เลว” นี่เป็นวาจาจากใจ
ซือชงกอดอก ไม่ถือสาท่าทางเย็นชาใส่ของหลินซือเย่าแม้แต่น้อย
ก็จริง ถูกหอเฟิงเหยาไล่ล่าสังหาร หนีตายมาได้แล้ว แม้ได้พบกันอีก ไม่ยกดาบปะทะใส่ก็นับว่าเมตตาแล้ว จะไปหวังให้เขาแสดงการต้อนรับเข้ากอดตนเองอบอุ่นหรือ
จะว่าไปเดิมนักฆ่าก็จิตใจเย็นชา จะมีแสดงอารมณ์มากมายได้อย่างไรกัน อ้อ ซือหลิงถือว่าไม่ใช่แล้ว
“อาศัยวาสนาเจ้า” หลินซือเย่ากวาดตามองสายตานิ่งเรียบ ก่อนจะทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่งแล้วก็ไม่สนใจเขาอีก คว้าซูสุ่ยเลี่ยนเข้าห้องครัวไป
“อาเย่า อย่างนี้จะดีหรือ” พอเข้าไปห้องครัว ซูสุ่ยเลี่ยนก็ตักน้ำสะอาดที่ยังอุ่นอยู่จากหม้อบนเตาให้เขาล้างมือ พอเขาล้างมือเสร็จก็ส่งผ้าแห้งให้เช็ด เหลือบตามองซือชงที่ยังยืนจ้องตากับเสี่ยวฉุนอยู่ด้านนอก ถามอย่างลำบากใจ ไม่ใช่พี่น้องร่วมสำนักหรือ ทำไมรู้สึกแปลกๆ หรือว่าระหว่างพวกเขาศิษย์พี่ศิษย์น้องแต่ไรมาก็อยู่ร่วมกันแบบนี้
“ไม่ต้องสนใจเขา” หลินซือเย่ากล่าวเสียงเรียบ ในเมื่อเขาปล่อยเฟิงชิงหยาก็ย่อมไม่คิดแค้นพวกซือทั่ว แต่แค้นไม่ชำระไม่ได้หมายความว่าให้อภัย ยิ่งไม่ได้หมายความจะให้การต้อนรับอย่างดี