เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา - ตอนที่ 78 สี่พี่น้องพร้อมหน้า
ในมือซูสุ่ยเลี่ยนถือถั่วลันเตาที่กำลังปอกเปลือกไว้ทำอาหารกลางวัน ได้ยินก็มองหลินซือเย่าอย่างไม่เข้าใจ จากนั้นก็นิ่งคิดพลางเสนออ่อนโยนว่า “ในเมื่อเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้อง เชิญเขากินข้าวสักมื้อก็ควรอยู่” การได้รับการอบรมมาดีทำให้นางยืนมองสถานการณ์เก้กังตรงหน้าโดยไม่สนใจไม่ได้
“ศิษย์พี่ศิษย์น้อง? เขาบอก?” หลินซือเย่าจับคำพูดนางบางคำ คิ้วดาบกระตุกเล็กน้อย
“เอ๋? หรือไม่ใช่?” ซูสุ่ยเลี่ยนเอียงหน้ามองเขา แววตาเต็มไปด้วยความสงสัย ก็เพราะอีกฝ่ายว่าเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องเขา นางจึงได้เชิญเขาเข้ามานั่งอย่างไร
“เอ่อ นับกระมัง” หลินซือเย่าอึ้งไป ก่อนจะพยักหน้า ท่าทางเหมือนไม่อยากยอมรับศิษย์พี่ศิษย์น้อง ฮา ซือชงก็ช่างคิดได้ มาจากหอเฟิงเหยาเหมือนกัน ที่เกี่ยวข้องกันได้มากที่สุดก็คงเช่นนี้ เขาถึงกับแต่งเรื่องศิษย์พี่ศิษย์น้องเหลวไหลสิ้นดีนี้มาหลอกสุ่ยเลี่ยน
ยามนั้นความไม่พอใจหลินซือเย่าที่มีต่อซือชงที่มาโดยไม่ได้เชิญก็ลดลงไปเล็กน้อย
เขาย่อมเคยเป็นศิษย์ร่วมสำนักใกล้ชิดกับซือทั่ว ซือชงและซือเล่ามากที่สุด เพราะตอนเข้าหอเฟิงเหยาเวลาไล่เลี่ยกัน อายุก็พอกัน ดังนั้นยามว่างจากภารกิจก็มักจะคว้าไหเหล้ามาร่วมดื่มกัน
ตอนนั้นไม่ว่าผู้ใดก็คงไม่คิดว่าจะมีวันเปลี่ยนเป็นสภาพเช่นวันนี้ พวกเขายังคงเป็นยอดนักฆ่าหอเฟิงเหยา แต่ตนนั้นกลายมาเป็นชาวนาไปแล้ว
พอคิดถึงตรงนี้ หลินซือเย่าก็แอบนึกขำ ชาวนาก็ดี ขอเพียงวันหน้าข้างกายเขามีสตรีชาวนาสูงวัยเป็นนางก็พอ
เขาเงยหน้ากวาดสายตามองซูสุ่ยเลี่ยนที่เงยหน้ามองเขาอย่างห่วงใยก็อดยิ้มไม่ได้ “ก็ดี ตอนเที่ยงข้าดื่มกับซือชงสักจอกแล้วกัน” ก็ดื่มกันแบบลูกผู้ชายกับลูกผู้ชายกันไปเลย สถานะเบื้องหลังไม่เกี่ยว
“ดีเลย อย่างนั้นข้าให้เขาไปนั่งรอด้านในนะ” ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นเขายอม ก็อมยิ้มลุกขึ้นเตรียมไปตามซือชงด้านนอกห้องที่เอาแต่ดื้อไม่ยอมไปสักที คงไม่อาจให้เจ้าบ้านสองคนไปหลบห้องครัว ทิ้งแขกให้เดินตากลมหนาวอยู่ด้านนอกกระมัง นับประสาอันใดกับการที่ยามเช้าฤดูใบไม้ผลิตอนแดดยังไม่ออก ไอเย็นยังคงหนาอยู่
“ข้าเอง เจ้าไปห้องปักผ้าเถอะ” หลินซือเย่าดึงนางลุกขึ้น ส่งนางเข้าห้องปักผ้า
“ได้หรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนหันกลับไปมองเขาอย่างไม่วางใจ ให้ผู้ชายสองคนทำงานในครัว ส่วนนางไปขลุกในห้องปักผ้าจะดีหรือ
“ได้แน่นอน” หลินซือเย่าแอบขโมยจุมพิตหน้าผากนางทีหนึ่ง ยิ้มบางบุ้ยใบ้บอกให้นางเข้าไปในห้อง “รอทำอาหารเสร็จแล้ว จะมาตามเจ้า”
จากนั้นก็หันหลังเดินออกไปด้านนอก เชอะ ในเมื่อได้รับเชิญให้อยู่กินข้าวร่ำสุรากัน เช่นนั้นก็คงต้องทำงานบ้างไหม หลินซือเย่าแอบคิดแผนการในใจ
ซือชงกำลังนั่งอยู่ม้านั่งยาวใต้ต้นอิงเถาอย่างมีความสุข พลันสัมผัสได้ถึงกระแสแผ่ซ่านมา หันไปก็เห็นหลินซือเย่าหน้าตาไม่บอกอารมณ์เดินมาทางตนเอง แอบรู้สึกว่าเขามีแผนร้าย อยู่ๆ สันหลังก็เย็นวาบขึ้นมา
……
“ติดเตาหุงข้าว?” ง่ายมาก ซือชงหยิบฟืนขึ้นมาเตรียมติดเตา ขอเพียงซือหลิงยอมเอ่ยเชิญเขาเข้าบ้าน และยังให้เขาอยู่กินข้าวร่ำสุราต่อ ติดเตาหุงข้าวจะเป็นอะไรไป ตอนเขาอยู่กลางป่าก็ไม่ใช่ว่าจุดไฟย่างสัตว์ป่ากินหรือ
“อย่าเผาห้องครัวล่ะ” หลินซือเย่าเตือนเสียงเย็นเยียบอยู่ข้างๆ อย่าหาว่าเขาไม่เตือน คิดถึงตอนที่เขาเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ ขลุกอยู่หน้าเตา ฝึกอยู่ตั้งนาน กว่าจะหุงข้าวสุกและไม่ทำให้ไหม้ ต้องคุมแรงไฟให้ดีเป็นสิ่งสำคัญ และต้องคุมไฟให้ติดลุกโชนอยู่ตลอดด้วย ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“ข้าวหม้อนี้ยกให้เจ้า หากกินไม่ได้ เจ้าก็คงรู้ผลลัพธ์” ทิ้งไว้ประโยคหนึ่ง หลินซือเย่ายกตะกร้าไม้ไผ่สานออกไปไปเก็บผักที่ลานด้านใต้
หา? ไม่สนใจเขาแล้ว? ซือชงเงยหน้าดำเป็นปื้นที่ไม่ได้หล่อเหลากระจ่างดังเดิมขึ้นมองปากทางห้องครัวที่ไร้เงาคนอย่างอึ้งๆ ไปพักหนึ่ง ก่อนจะงึมงำว่า “ไม่กลัวข้าเผาห้องครัวจริงสิ?”
แต่ก็นะ หากไม่ไหวจริงก็ใช้พลังภายในจุดไฟละกัน อย่างไรคงไม่ถึงกับเผาห้องครัวทิ้งกระมัง คิดแล้วหลินซือเย่าก็คงมั่นใจเช่นนี้
ซือชงก้มหน้าฮึดฮัด ใช้มือลงแรงถูขัดท่อนฟืนขึ้นมา
ฉึก อะไรเนี่ย! ก็แค่ไม่ได้ไปมาหาสู่กันนาน! มีอะไรนักหนา!
ฉึก ตนเองกินอิ่มแล้วว่างมาก แล่นมาที่นี่หาเรื่องใส่ตัว!
ฉึก รู้อย่างนี้เลียนแบบซือทั่วมากลางคืนดีกว่า ไม่แน่อาจจะได้เจอซือหลิงกำลังเล่นบทเริงรัก!
ฉึก อา อ้อ
ในที่สุดก็สำเร็จแล้ว!
เห็นเปลวไฟลุกโชนขึ้นและไม่มีควันโขมงอีก ซือชงก็รู้สึกสะใจ
นี่หมายความว่า เขาก็เป็นชาวนาที่ได้มาตรฐานคนหนึ่งเหมือนกัน?
เอ๋? เขาเริ่มมีความคิดหวังเช่นนี้ผุดขึ้นมาในใจตอนไหนกัน คงไม่ใช่เพราะสังหารคนจนเบื่อแล้วต้องการล้างมืออำลายุทธภพแล้วกระมัง
ด้านหนึ่ง เทพสังหารกำลังไปเลือกเก็บผักสดในสวนด้านหลังเพื่อจะเอามาทำอาหารกลางวัน นักฆ่าอันดับหนึ่งมาคุมกำลังไฟในเตาห้องครัวเพื่อหุงข้าวสวยที่ไม่ไหม้สักมื้อ
อีกด้านหนึ่ง ตั้งแต่หลินซือเย่าเข้ามาก็เปิดประตูเอาไว้กว้าง สองคนที่เดินเข้ามาหน้าตาหล่อเหลาสง่างามเรียกได้ว่าเป็นชายหนุ่มเจ้าสำราญ
ไพล่มือเดินตามกันเข้ามาในบ้านหลังน้อย
เสี่ยวฉุนขนตั้ง จ้องมองคนแปลกหน้าที่มาโดยไม่ได้รับเชิญสองคน คำรามเบาๆ เสียงคำรามดังไปถึงลานด้านใต้ เหมือนกำลังบอกหลินซือเย่า ลานด้านเหนือมีเรื่อง
“จุ๊ๆ ซือหลิงเปลี่ยนไปตอนไหน ยังมีสัตว์เลี้ยงด้วย?” ซือเล่าที่ก้าวอยู่หลังซือทั่วเบ้ปาก ยิ้มร้าย ควรบอกว่าเขาคือคนที่นิสัยโผงผางเอะอะที่สุดในบรรดาสี่คน อย่างน้อยไม่ได้เย็นเยียบเหมือนซือหลิง ไม่ได้เย็นชาเหมือนซือทั่ว และไม่ได้ดูเก้กังอย่างซือชง
คนอย่างซือเล่าคิดทำอะไรก็ทำ คิดมีชีวิตอย่างไรก็มีชีวิตอย่างนั้น ราวกับกฎเกณฑ์บนโลกนี้ไม่อาจจองจำเขาไว้ได้ และก็บังคับเขาไม่ได้จริงๆ
ซือทั่วกวาดสายตามองเสี่ยวฉุนที่เหมือนกำลังโมโหแสดงท่าทางข่มขู่ ในใจก็นึกหวาดขึ้นมา ผีหลอก! เขาถึงกับเห็นความโกรธจากแววตาหมาป่า เพราะซือเล่าเรียกมันว่า ‘สัตว์เลี้ยง’ ?
……
ห้าคนนั่งล้อมวงกันที่โต๊ะอาหาร
อาหารพื้นบ้านบนโต๊ะหกอย่าง อาหารพื้นบ้านไม่มีอาหารคาวประเภทเนื้อสัตว์เลย ทำให้ชายสามคนที่มาโดยไม่ได้รับเชิญอยากจะหัวเราะ ซือหลิงจงใจแน่นอน พวกเขาเหลือบมองสองหมาป่าที่กินดีกว่าพวกเขาอีก
หลินซือเย่าส่งสายตาเย็นเยียบจ้องมองซือเล่าที่กำลังมองซูสุ่ยเลี่ยน
“แค่ก…” ซือชงรีบกระแอมไออย่างรู้งาน ศอกกระทุ้งซือเล่าที่นั่งข้างเขา เห็นเขาสะดุ้งตกใจมองมาที่ตนก็รีบส่งสายตาว่า อย่ามองอีก มองอีกก็ไม่ต้องมีข้าวกินแล้ว
ซือเล่าจึงได้สังเกตเห็นแววตาเย็นเยียบแฝงความโมโหจัดของหลินซือเย่า ในใจก็นึกขำ ฮา ซือหลิงถึงกับตกในห้วงแห่งรักลึกซึ้งเช่นนี้ มิน่าแม้แต่ซือทั่วที่แต่ไรมาก็เย็นชายังแอบบอกว่าเขาเป็น ‘ตัวโง่งมในรัก’ ไปแล้ว น่าสนุกดังคาด
เขาก็แค่รู้สึกว่าซูสุ่ยเลี่ยนคุ้นตา จึงได้จ้องมองนางนานหน่อยก็เท่านั้น
หวนรำลึกถึงเมื่อครึ่งปีก่อนไปรับภารกิจที่เมืองหลวงกับซือชง ในและนอกเมืองมีประกาศตามหาคน ก็คือหญิงสาวที่จวนอ๋องจิ้งประกาศหาและให้รางวัลสูง ซูสุ่ยเลี่ยนผู้เป็นภรรยาซือหลิงตรงหน้านี้เหมือนมาก คงไม่ใช่ว่า…
“ไม่ทราบว่าอาซ้อบ้านเดิมอยู่ที่ใด” ซือเล่าไม่เกรงกลัวสายตาพิฆาตของหลินซือเย่าที่ส่งมาแม้แต่น้อย ยังคงคุยเล่นกับซูสุ่ยเลี่ยนอย่างสบายใจ
แย่ละ! ปฏิกิริยาแรกของซือชง
เขาย่อมเดาเจตนาของซือเล่าออก อย่างไรภารกิจครั้งนั้นก็เป็นเขากับซือเล่าเดินทางไปเมืองหลวงเฟิงเฉิงด้วยกัน ซือชงยังคงจำใบหน้าที่ประกาศตามหาอยู่ได้ เหมือนว่าเป็นคุณหนูสี่จวนอ๋องจิ้ง เพราะหายสาบสูญไป หากใครรู้เบาะแสแจ้งจวนอ๋องและตามมาพบได้ก็จะได้สามร้อยตำลึงเงิน สามร้อยตำลึงเงินล่อใจไม่น้อย ดังนั้นช่วงหนึ่งในเมืองหลวง ตามตรอกซอกซอยคุยกันแต่เรื่องนี้ เพียงแต่ไม่คิดว่า…ซือชงแอบคิด หากนางเป็นคุณหนูสี่จวนอ๋องจิ้งจริง ซือหลิงรู้ไหม
ซูสุ่ยเลี่ยนไม่คิดว่าพบซือเล่าที่ไม่ได้คุ้นกันครั้งแรก เขาถึงกับถามตนเองว่าบ้านเดิมอยู่ที่ไหนเช่นนี้ นางควรตอบอย่างไรดี หรือว่านางควรแต่งเรื่อง
“ซือเล่า!” หลินซือเย่าคำรามใส่ซือเล่าที่ไร้มารยาท
“ซือเล่า เจ้าอย่าเสียมารยาท” ซือทั่วรีบเอ่ยห้ามตามมาทันที
“ข้าก็แค่ถาม หรือว่า…อาซ้อมีอะไรปิดบังยากเอ่ย” ซือเล่ายิ้มร้าย รุกถามต่อ
เขาไม่ใช่ว่าคิดถึงเงินสามร้อยตำลึงนั่น แต่แน่นอนได้มาก็ดี อย่างไรก็เป็นค่าแรงที่เขาลำบากมาปีหนึ่ง สังหารคนเหนื่อยมากไม่ใช่หรือ
ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือเขารู้สึกเบื่อ อยากดูเรื่องสนุก อยากเห็นว่าซือหลิงที่แต่ไรมาเย็นเยียบดังน้ำแข็งหนาสามฉื่อจะกระเพื่อมไหวอย่างไร และจะกระเพื่อมขนาดไหน หากบีบให้อีกฝ่ายไล่จัดการเขาสามคนไปถึงซีหลาง ให้โกรธและลงมืออีกครั้ง ทำให้ภารกิจเขาสามคนครั้งนี้สำเร็จก็จะดีขนาดไหนกัน
อย่างไร ผู้ที่บรรลุยุทธระดับเก้าชั้นได้ ตอนนี้บนแผ่นดินต้าหุ้ยก็มีแต่เขาคนเดียว ไม่มีอีกแล้วกระมัง? เก็บซ่อนไว้ไม่ใช้ น่าเสียดายมาก!
“อาเย่า!” ซูสุ่ยเลี่ยนดึงหลินซือเย่าไว้ส่ายหน้าเบาๆ นี่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับอะไร นับประสาอันใดกับการที่พวกเขาถามก็เพราะเป็นห่วงอาเย่ากระมัง กังวลว่าสตรีที่เขาแต่งด้วยจะเป็นหญิงไม่ดี ดังนั้นซูสุ่ยเลี่ยนจึงตัดสินใจพูดในสิ่งที่ตนพูดได้ ส่วนจะเชื่อหรือไม่ ก็แล้วแต่พวกเขาแล้ว
“ข้าจำอดีตไม่ได้ ไม่รู้เมื่อก่อนเคยเกิดอะไรขึ้นบ้าง รู้แต่พอตื่นมา ก็ไม่ได้มีความทรงจำเมื่อก่อนอีกแล้ว” นางคิดแล้วก็ก้มหน้าอธิบายเบาๆ
นี่ถือว่าหลอกลวงไหม ตนเองไม่ได้มีความทรงจำใดๆ ของเจ้าของร่างเดิมแม้แต่น้อยจริงๆ สำหรับซูสุ่ยเลี่ยนภพก่อนนั้นก็ควรเก็บไว้ก้นบึ้งของใจ ไม่อาจเผยได้ ไม่เช่นนั้นคนที่นี่คงได้ใช้ไฟเผานางทั้งเป็นแน่
อย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ หากไม่ใช่ตนเองผ่านมาเอง นางเองก็คงไม่เชื่อกระมัง
“สูญเสียความทรงจำ?” พอได้คำตอบเช่นนี้ ซือเล่าก็สบตากับซือชง
“พวกเจ้า รู้อะไร” ซือทั่วเลิกคิ้ว ท่าทางของซือชงกับซือเล่า ไม่ใช่อยากรู้ว่าบ้านเกิดของซูสุ่ยเลี่ยนอยู่ที่ไหนง่ายๆ แค่นั้นแน่นอน
หลินซือเย่าได้ยินซูสุ่ยเลี่ยนเล่าเสียงอ่อน ในใจก็แอบนึกสงสารขึ้นมา ตามมาด้วยแววตาเย็นเยียบจ้องมองซือชงกับซือเล่า จ้องมองพวกเขา ก่อนจะค่อยๆ กล่าวว่า “กินข้าว กินเสร็จค่อยว่ากัน”