เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา - ตอนที่ 80 พระโพธิสัตว์กวนอิมประทานบุตร
ไม่ว่าอย่างไร นางก็คงไม่อาจเผชิญหน้ากับครอบครัวเจ้าของร่างเดิมนี้อย่างไม่รู้สึกอะไรได้
มาครอบครองร่างผู้อื่น แล้วยังไม่ยอมกลับไปกตัญญูต่อบิดามารดาแทนนาง พูดไปก็ช่างไร้เหตุผล
แต่ว่าขออภัยที่นางขี้ขลาด เกิดถูกพวกเขามองออกและสงสัยที่มาที่ไปของตนเองขึ้นมา ถึงขั้นใช้แววตาหวาดกลัวมองนาง ในตอนนั้นนางก็คงไม่รู้จะเผชิญหน้ากับพวกเขาอย่างไร แล้วจะไปอย่างไรต่อดี
เช่นนั้นนางก็ขอยอมหลอกผู้อื่นและหดหัวอยู่ในเมืองฝานฮัวที่ห่างไกลความเจริญเช่นนี้ดีกว่า ได้ร่วมชีวิตกับชายอันเป็นที่รักแบบชาวนาหวานล้ำลึกซึ้งไปเช่นนี้ และมีลูกน่ารักอีกสองสามคน นี่ก็คือความฝันเพียงหนึ่งเดียวของนาง
ตรงกับที่หลินซือเย่าหวังไว้อย่างพอดีโดยไม่นัดหมาย ควรบอกว่าพวกเขาสองสามีภรรยาร่วมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว?
……
“สุ่ยเลี่ยน ไม่ว่าเจ้ามีประวัติความเป็นมาอย่างไร ตอนนี้เจ้าเป็นภรรยาข้า ข้าไม่ปล่อยมือ ไม่ปล่อยตลอดไป…”
ค่ำคืนนั้นหลินซือเย่าพยายามครอบครองนางอย่างไม่คิดระงับใจ ต้องการนางอย่างร้อนแรง แต่ก็ยังคงความอ่อนโยนไม่คลาย
นางเกาะบ่าหนาร้อนผ่าวของเขาไว้แน่น เขาเคลื่อนกายหนักแน่นบ้าคลั่ง ขึ้นสู่สวรรค์ชั้นฟ้าวาวระยับนับครั้งไม่ถ้วน…
เขาให้คำมั่นสัญญากับนางอย่างอ่อนหวาน กระซิบใส่ใบหูนางครั้งแล้วครั้งเล่า…
จนกระทั่งนางหมดแรงซุกลงในอ้อมแขนของเขาผล็อยหลับไป พลังงานของเขาจึงยอมปลดปล่อยในจุดที่ลึกที่สุดในกายนาง เข้าครองพื้นที่ให้กำเนิดบุตรอย่างราบรื่น…
……
จากนั้นอีกหลายวันต่อมา ทั้งสองคนก็ไม่ได้เอ่ยถึงประวัติชีวิตนางอีก เหมือนว่าพวกซือทั่วสามคนมานั้นเป็นแค่ความฝันของนางเท่านั้น
นางส่ายหน้าอย่างนึกขำ สลัดความคิดวุ่นวายสับสนในใจพวกนี้ ก้มหน้าปักภาพพระโพธิสัตว์กวนอิมประทานบุตรในมือ
ตัวละครหลักในภาพก็คือพระโพธิสัตว์กวนอิมในชุดพลิ้วบางราวเทพเซียน แววตาเมตตาอารี มือหนึ่งถือแจกันน้ำทิพย์ปักกิ่งหลิ่ว อีกมืออุ้มเด็กน้อยน่ารักอ้วนจ้ำม่ำ ประทับอยู่บนก้อนเมฆเหนือท้องทะเล
ปักไปเรื่อยๆ ซูสุ่ยเลี่ยนก็ถูกเด็กอ้วนน่ารักไร้เดียงสาตรงหน้าดึงดูดความคิดไปหมด นางยิ้มบาง
คิดถึงว่านางแต่งกับอาเย่ามาได้ครึ่งปีแล้ว กลับไม่มีวี่แววจะตั้งครรภ์
ครั้งก่อนได้ยินป้าเหลาบ่นถึงเรื่องนี้อยู่ ถามนางว่าไปทำอะไรมาหรือเปล่า ไม่เช่นนั้นครึ่งปีนี้ทำไมยังไม่ตั้งครรภ์อีก
ป้าเหลาเองก็คงห่วงนางกระมัง อย่างไรเป็นหญิง หากไม่อาจมีลูกได้ ชีวิตอีกครึ่งของนางแม้ไม่ถูกครอบครัวสามีรังเกียจ ก็ย่อมเป็นเหมือนสิ่งสกปรกน่ารังเกียจ จากนั้นสามีก็จะเหินห่าง
สะใภ้คนโตบ้านป้าเหลา ตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แวว ลูกชายคนโตวันๆ ก็เอาแต่หงอยเหงา แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักกันดี แต่ก็คงทนวันเวลาน่าเบื่อเหล่านี้ไม่ได้ อย่างไรการไม่มีลูกก็ย่อมเป็นความเสียใจอย่างที่สุด
นางยกมือลูบท้องน้อยที่ราบเรียบของตัวเองเบาๆ แทบอยากจะมีลูกให้เร็วที่สุด นางไม่อาจจินตนาการได้ว่าหากชีวิตนี้ตนเองไม่มีลูก อาเย่าจะ…เลือกที่จะหย่ากับนาง…หรือว่ารับภรรยาน้อย?
ไม่ นางสะบัดหน้าเต็มแรง ไม่ได้ เขาเป็นของนาง ย่อมต้องมีนางเพียงผู้เดียว
ในตอนนั้นเองนางก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมมารดานางที่ดำรงตำแหน่งนายหญิงของตระกูลจึงได้รู้สึกเงียบเหงาเศร้าสร้อยเช่นนั้น
ขาดความรักความผูกพันที่ควรจะอยู่เป็นคู่เพียงหนึ่งเดียว ถูกคนอื่นมาแบ่งเอาไป ความรักที่แตกสลาย ผู้หญิงคงไม่อาจทนยอมรับได้กระมัง
พอคิดถึงตรงนี้ ซูสุ่ยเลี่ยนก็เม้มปากแน่นมองไปยังภาพพระโพธิสัตว์กวนอิมที่ดูเสมือนจริงในแบบปัก พระโพธิสัตว์กวนอิมประทานบุตรตรงหน้า พลางอดพึมพำกล่าวกับตนเองไม่ได้ว่า ท่านพระโพธิสัตว์ ข้าจะมีลูกใช่ไหม
……
ก่อนสี่ชุ่ยออกเรือนสามวันก็มาหาซูสุ่ยเลี่ยนอีก ขอให้นางไปไหว้ขอพรที่วัดชิงอวี้ด้วยกัน
ครั้งนี้นางมีความกระตือรือร้นอยากจะเป็นเพื่อนสี่ชุ่ยไปจุดธูปไหว้พระที่วัดมาก
ไม่พูดก็รู้ว่า สี่ชุ่ยขอเรื่องแต่งงาน แต่นางขอลูก
คุกเข่าอยู่บนเบาะหน้าพระโพธิสัตว์กวนอิมองค์ทองคำ ประนมมือนอบน้อม พอกราบสามครั้งเสร็จก็จุดธูปอีกรอบ ก่อนจะโขกศีรษะอธิษฐานในใจ
เล่ากันว่าพระโพธิสัตว์กวนอิมวัดชิงอวี้เมืองฝานลั่วศักดิ์สิทธิ์มาก เพียงแต่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลจึงมีคนรู้ไม่มาก แน่นอนที่ว่าความศักดิ์สิทธิ์ก็ย่อมต้องอาศัยสานุศิษย์ที่ศรัทธาเลื่อมใสเป็นสำคัญ เรื่องที่ขอไม่ได้เกินขอบเขตสวรรค์ลิขิต และไม่ใช่เรื่องผิดหลักการศีลธรรมจรรยา
หลินซือเย่าเฝ้าอยู่นอกประตูวัดชิงอวี้ สำหรับคนที่มือเปื้อนเลือดอย่างเขา เข้าวัดไปไหว้พระ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการลบหลู่พระโพธิสัตว์กวนอิม
แต่จะให้เขาไม่คอยปกป้องนางขึ้นเขามาไหว้พระ เขาก็รู้สึกไม่ไว้วางใจ ทำอย่างไรได้ ก็ได้แต่เฝ้าอยู่นอกประตูวัดชิงอวี้ สายตายังคงจับจ้องมองตามร่างบางอรชรไม่วางตา
เห็นนางโขกศีรษะอย่างนอบน้อม ศรัทธาและอธิษฐานอย่างจริงใจ เขาก็แอบแปลกใจไม่ได้ว่านางกำลังขอเรื่องอะไร
หากเขารู้ว่าสตรีตัวน้อยผู้นี้กำลังขอลูกให้เขา เขาคงอดหัวเราะยินดีดังลั่นออกมาไม่ได้กระมัง?!
ความจริงตั้งแต่แต่งงานมา เขาก็คิดมาเสมอว่านางร่างกายบอบบาง อายุเพิ่งจะแค่สิบห้า น่าจะทนรับความลำบากของการตั้งครรภ์สิบเดือนไม่ไหว ดังนั้นก่อนและหลังสัมพันธ์กับนางก็จะสกัดจุดอ่อนไหว ไม่ให้นางตั้งครรภ์
แต่พอพวกซือทั่วมาและจากไป เขาก็ไม่คิดป้องกันนางตั้งครรภ์อีก แต่กลับพยายามหว่านเพาะสุดกำลัง หวังว่านางจะมีลูกให้เขาโดยเร็วที่สุด
เขาแอบรู้สึกไม่วางใจ ความไม่วางใจนี้มาเพราะการปรากฏตัวของพวกซือเล่า เหมือนความเป็นไปได้ของประวัติครอบครัวนางเด่นชัดมากขึ้น
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเริ่มหวังอยากให้เขาและนางมีสิ่งเชื่อมพวกเขาสองคนร้อยรัดไว้ด้วยกัน นั่นก็คือลูก หากเขาเดาไม่ผิด สองสามวันนี้นางก็ควรมีแล้ว
……
หลังกลับจากวัดชิงอวี้ ซูสุ่ยเลี่ยนก็รู้สึกว่าจิตใจสงบนิ่งเหมือนเช่นปกติแล้ว
ตอนอยู่วัดชิงอวี้ ต่อหน้าพระโพธิสัตว์กวนอิม นางพลันตระหนักรู้ขึ้นมาว่า ทุกสิ่งบนโลกนี้ เรื่องบางเรื่องร้องขอไม่ได้ สิ่งที่ควรเป็นของนางก็ย่อมเป็นของนาง สิ่งที่ไม่ควรเป็นของทาง ขอไปก็ย่อมไม่ได้ดังปรารถนา คำอธิษฐานทุกอย่าง ก็เพียงเพื่อปลอบประโลมใจที่วุ่นวายของนางเท่านั้น
พอคิดตกแล้ว ก็ย่อมปล่อยวางความร้อนใจอยากมีลูกลงได้
อีกสามวันสี่ชุ่ยก็ออกเรือนแล้ว ของขวัญออกเรือนที่นางเตรียมปักให้ก็เสร็จแล้ว รอแค่พรุ่งนี้ไปมอบให้นางที่บ้านตระกูลเหลา
หลายวันนี้หลินซือเย่าแทบไม่ได้ลงไปที่นาเลย ที่นาหนึ่งหมู่หว่านเพาะไปหมดแล้ว ตอนนี้ก็แค่รอเก็บเกี่ยวข้าวสาลีหน้าหนาวที่ใกล้สุกแล้ว เก็บข้าวสาลีหน้าหนาวเสร็จ ที่ผืนนั้นเขาเตรียมไว้ปลูกข้าวเจ้า
เช่นนี้ ธัญญาหารในหนึ่งปีของครอบครัวเขาก็ย่อมไม่ต้องกังวลอีก ควรกล่าวได้ว่าหากสวรรค์ไม่ลงโทษ ที่นาสองหมู่นี้เก็บเกี่ยวเสร็จ ไม่เพียงแต่พอกินหนึ่งครอบครัว ยังมีเหลืออีกมากให้เอาไว้เตรียมเผื่อปีถัดไปได้อีก
……
วันที่สิบแปดเดือนสาม วันฤกษ์งามของการแต่งงาน ท้องฟ้าเป็นใจ อากาศงามแจ่มใส
เช้ามา ซูสุ่ยเลี่ยนก็ไปช่วยงานที่บ้านเหลา เพราะสี่ชุ่ยครั้งก่อนมาเห็นนางแต่งหน้าเอง หลายวันก่อนจึงได้มาตกลงกันไว้ว่าวันนี้นางจะเป็นคนแต่งหน้าให้สี่ชุ่ย
มองดูสี่ชุ่ยสีหน้าแอบตื่นเต้นรอคอยด้วยความหวัง พอปิดผ้าคลุมหน้า นั่งอยู่บนตั่ง รอให้สามีในอนาคตมารับนาง ซูสุ่ยเลี่ยนอดนึกรำลึกถึงเมื่อครึ่งปีก่อนของนางเองไม่ได้ ก็คงเป็นภาพเช่นนี้กระมัง
ในใจแอบทอดถอนใจ หลายวันนี้ผ่านไปเร็วจริง นางมาที่นี่ได้ปีกว่าแล้ว