เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา - ตอนที่ 81 วันเวลาแห่งการดูแลครรภ์
ตอนเที่ยงวันนี้ หลินซือเย่าทำปลาตะเพียนย่างต้นหอม ยังไม่ทันยกขึ้นตั้งโต๊ะ ก็เห็นซูสุ่ยเลี่ยนที่เก็บงานปักเข้ามาช่วยอยู่ในครัวกุมปากคลื่นไส้อาเจียน
“สุ่ยเลี่ยน…” หลินซือเย่าเห็นก็รีบก้าวเข้ามาประคองนาง “เป็นอะไรไปหรือ”
“ไม่รู้ รู้สึกคลื่นไส้กลิ่นคาวปลา” ซูสุ่ยเลี่ยนอาเจียนออกมาเป็นน้ำเหนียวๆ ดื่มน้ำอุ่นที่หลินซือเย่าส่งมาลงไปหลายแก้วหนึ่ง จึงรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
“คลื่นไส้?” หลินซือเย่าขมวดคิ้ว ตามมาด้วยกุมข้อมือจับชีพจรนาง
ตรวจอยู่เป็นนานก่อนจะวางข้อมือนางลง สีหน้ายินดีอย่างที่สุด “สุ่ยเลี่ยน พวกเรามีลูกแล้ว”
“อ๋า?” ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็อึ้งไป โผเข้ากอดเอวสอบหนาของเขาไว้อย่างยินดี “เจ้าว่าข้ามีลูกแล้ว จริงหรือ” พระโพธิสัตว์กวนอิมวัดชิงอวี้ศักดิ์สิทธิ์จริงหรือ นางดีใจจนคิดอะไรสับสนไปหมด ภาพในสมองแวบไปแวบมา
“ถูกต้อง” หลินซือเย่า ยิ้มบีบจมูกนาง “เป็นแม่คนดีใจขนาดนี้เลยหรือ”
“แน่นอน” ซูสุ่ยเลี่ยนอดค้อนใส่เขาไม่ได้ เขาเป็นผู้ชาย ย่อมไม่เข้าใจความกดดันของผู้หญิง แต่ทว่าตอนนี้ดีเลย นางตั้งครรภ์สมดังหวังแล้ว อีกไม่ถึงปีก็จะมีทารกน้อยของเขาและนาง จะไม่ดีใจได้หรือ
“เอาละ เช่นนั้นแม่ผู้ยิ่งใหญ่ก็ระวังตัวหน่อย ข้าผู้เป็นสามีจะประคองเจ้าเข้าไปพักในห้อง สำหรับอาหารกลางวันนี้ก็ให้สามีตุ๋นโจ๊กไข่ไก่หอมๆ ให้เจ้าดีไหม” หลินซือเย่าเห็นท่าทางนางดีใจเช่นนี้ก็แอบระงับความตื่นเต้นในใจไม่ได้ อุ้มนางไปส่งในห้องนอน ให้นางนอนพัก น้ำเสียงเขายามนี้เป็นน้ำเสียงยามรักใคร่กันในค่ำคืนเท่านั้น แสดงว่าตอนนี้เขากำลังยากระงับความตื่นเต้นในใจอย่างไม่ต้องสงสัย เขา หลินซือเย่า จะเป็นพ่อคนแล้ว โลกนี้เขาจะมีคนในครอบครัวคนที่สอง ลูกของเขาเอง
……
“เด็กดี ดื่มน้ำมากๆ” …
“พักก่อนสักครู่ อย่าเอาแต่นั่ง” …
“หิวไหม? เอาขนมหน่อยไหม” …
“ตั้งครรภ์ต้องระวัง!” …
…
ตั้งแต่วันนั้นที่ตรวจพบชีพจรมงคล หูนางก็ได้ยินแต่เสียงพูดบ่นราวกับแม่ไก่ของหลินซือเย่าดังไม่หยุด
ซูสุ่ยเลี่ยนแทบอยากจะร้องไห้ที่ต้องดื่มน้ำตามคำสั่งของเขา (น้ำชาก็ถูกห้ามดื่ม เพราะไม่รู้แน่ชัดว่ามีผลต่อครรภ์หรือไม่ ดังนั้นจึงไม่ยอมให้นางดื่ม) กินขนม (นอกจากอาหารวันละสามมื้อแล้ว ตอนเช้าและบ่ายยังต้องกินขนมเพิ่มอีกหนึ่งมื้อ เพราะกลัวว่าร่างกายนางจะไม่แข็งแรงพอที่จะคลอดบุตร) การพักผ่อน (แม้แต่ภาพปักพระโพธิสัตว์กวนอิมประทานบุตรก็ถูกหลินซือเย่ากำหนดเวลาปัก โชคดีที่มีระยะเวลาให้ปักเผื่อไว้ถึงสามเดือน คิดว่าจะล่าช้าอย่างไรก็คงไม่ถึงขั้นปักไม่เสร็จตามกำหนด)
ดังนั้นวันเวลาแห่งการดูแลครรภ์ของซูสุ่ยเลี่ยนก็เริ่มต้นอย่างมีความสุขภายใต้การกำกับเตือนของหลินซือเย่าอยู่เป็นระยะ
เสี่ยวเสวี่ยที่เป็นแม่แล้วก็ต้องดูแลควบคุมลูกหมาป่าสามตัวที่วิ่งเล่นไปทั่ว และยังต้องแบกรับภารกิจจับตาดูความปลอดภัยครรภ์ของซูสุ่ยเลี่ยนไปด้วย ทันทีที่นางเหมือนปักงานเกินเวลา เสี่ยวเสวี่ยก็จะนำลูกหมาป่าสามตัวเดินเข้ามาในห้องปักผ้าจับคนที่ทำงานเกินเวลา
เพราะกลัวว่าลูกหมาป่าสามตัวแสนซนและไม่รู้ความจะทำของในห้องปักผ้าพังหมด ซูสุ่ยเลี่ยนได้แต่พยายามจดจำเวลาให้ดี เมื่อได้เวลาปักผ้าที่หลินซือเย่ากำหนดให้นางนั่งปักได้ ก็ต้องลุกขึ้นมาเดิน ไปเข้าห้องน้ำบ้าง ดื่มน้ำบ้าง กินขนมบ้าง จากนั้นก็ไปดูที่ห้องครัวเพื่อคิดว่าอาหารเย็นจะกินอะไร
หลังจากตั้งครรภ์มา นอกจากระยะแรกที่รู้สึกเลี่ยนของมันๆ แล้ว ระยะนี้เห็นได้ชัดว่าเลือกกินอาหาร
อาหารบางอย่างเช่นว่าผัดน้ำมันไฟแดง นางกินไม่ลงทั้งหมด พอได้กลิ่นน้ำมันพวกนี้แล้วก็รู้สึกคลื่นไส้ หากเป็นหนักหน่อย ก็จะอาเจียนอาหารเดิมออกมาจนหมดจึงหยุดอาเจียนได้
โดยเฉพาะปลาทอด กลิ่นคาวปลาผสมกินน้ำมัน พอแตะก็ออกอาการทันที ได้กลิ่นก็รู้สึกพะอืดพะอมทันที
ดังนั้นสองสามวันนี้หลินซือเย่าที่ทุกวันตอนเช้าต้องตรวจสอบการฝึกของต้าเป่า ตอนบ่ายต้องไปกำจัดวัชพืชและศัตรูพืช บางครั้งก็ไปใส่ปุ๋ย เวลาที่เหลือก็จะทุ่มเทให้กับการศึกษาอาหารแต่ละอย่างที่มีประโยชน์ ไม่มัน และทำให้เจริญอาหาร และยังต้องทำขนมให้นางไว้กินกับน้ำชายามพักผ่อน เช่นว่าขนมปังกรอบไส้งาดำหรือไม่ก็ขนมโก๋ไส้ถั่วแดง…ใส่ใจอย่างที่สุด
เป็นเช่นนี้ติดต่อกันมาหนึ่งเดือนกว่าๆ ฝีมือการทำของเขาก็เชี่ยวชาญขึ้นไม่น้อย โดยเฉพาะฝีมือในเรื่องการตุ๋นน้ำแกง แม้แต่นางสุ่ยที่มีฝีมือทำอาหารอันดับหนึ่งในเมืองฝานฮัว มีครั้งหนึ่งตามป้าเหลามาเยี่ยมซูสุ่ยเลี่ยน ได้ชิมน้ำแกงไก่ป่าใส่เก๋ากี้สดที่หลินซือเย่าเพิ่งตุ๋นออกมาให้ซูสุ่ยเลี่ยนกินชามหนึ่ง ก็ยังยกนิ้วหัวแม่มือชมไม่ขาดปาก
“นังหนู เจ้าช่างวาสนาดีจริง” นางสุ่ยตบหลังมือซูสุ่ยเลี่ยนพลางยิ้มเอ่ยชมขึ้น “ดูเมืองฝานฮัวเราสิ มีชายบ้านไหนที่ช่างใส่ใจเหมือนบ้านเจ้า ข้าว่านะ แม้ทั่วแผ่นดินต้าหุ้ย ผู้ชายดีๆ เช่นอาเย่าก็หาได้น้อยมาก”
“วาจาพวกนี้ตอนพวกเขาแต่งงานกันใหม่ๆ ข้าก็พูดไปแล้ว” นางเหลาหัวเราะคิกคักชื่นชมหลินซือเย่าไปด้วย “ดังนั้นเลือกตระกูลแต่ง สำคัญที่เลือกสามี ตระกูลดีแค่ไหน หากไปเจอสามีที่ไม่รู้จักเอาใจใส่ ก็ถือว่าเสียเปล่า” ป้าเหลากล่าวราวกับคิดอะไรขึ้นมาได้
ตอนที่รับหมั้นหมายให้สี่ชุ่ยนั้น ยังมีอีกตระกูลที่มาทาบทามพร้อมตระกูลเหลา เป็นตระกูลชาวนาจากเมืองลั่วสุ่ย อีกตระกูลก็คือตระกูลฟางที่เป็นญาติห่างๆ เปิดร้านเต้าหู้อยู่ในเมือง
แรกสุด ลุงเหลาก็ไม่คิดอะไร บอกว่าในเมืองดี เพราะใช้ชีวิตชาวนาลำบากมากมากพอแล้ว ชีวิตในเมืองคิดว่าคงมีวาสนาดีกว่า แต่พูดกันไปมา กอปรกับป้าเหลาแอบตรวจสอบเพื่อนบ้านของทั้งสองตระกูลมา สุดท้ายเลือกเจ้าหนุ่มจากเมืองลั่วสุ่ย
แม้ว่าเจ้าหนุ่มนี้จะทำนา แต่ป้าเหลาเห็นหลายครั้งก็รู้สึกชอบ เห็นที่เขาเป็นเสาหลักของครอบครัว เห็นที่เขาเอาใจใส่ลูกสาวตน มีครั้งหนึ่งที่ออกจากบ้านไปด้วยกัน ก็เห็นเฝ้าเดินระวังหลังให้สี่ชุ่ยอยู่ตลอด ผู้ชายเช่นนี้แม้ว่าธรรมดา แต่คงไม่ได้ปฏิบัติต่อลูกสาวของนางแย่นัก วันเวลาก็คงไม่ได้ลำบากสักเท่าไร
ในทางกลับกัน เจ้าหนุ่มร้านขายเต้าหู้นั้นกลับแต่งงานตั้งแต่อายุน้อยๆ ยังไม่ทันถึงครึ่งปี ภรรยาถึงกับหนีกลับบ้านไป ได้ยินว่าแม่สามีขี้เหนียว สามีก็ไม่รู้ความ ไม่เพียงแต่ไม่ช่วยภรรยา ยังตามมารดาตนด่าภรรยาตนเองอีกด้วย
หากสี่ชุ่ยแต่งไปยังจะมีวาสนาหรือ?! ป้าเหลารู้สึกดีใจในเรื่องนี้มาก สี่ชุ่ยแต่งงานไปที่เมืองลั่วสุ่ยได้สองเดือน กลับมาเยี่ยมบ้านสองครั้ง ตอนกลับมาบ้าน แม้นางเหลาไม่ได้ถามนางว่ามีความสุขดีหรือไม่ สามีเอาใจใส่นางหรือไม่ แต่จะการพูดคุยกันของสองคน แววตามีความสุขของสี่ชุ่ยที่เผยออกมา ป้าเหลาก็มั่นใจว่านางมีชีวิตที่ไม่เลว ก็คลายความกังวลใจลง
……
ในที่สุดวันที่ห้าเดือนห้าเทศกาลบ๊ะจ่าง ซูสุ่ยเลี่ยนก็เร่งส่งมอบภาพปักพระโพธิสัตว์กวนอิมประทานบุตร และถูกสายตาหลินซือเย่าข่มขู่จนต้องได้แต่บอกเจียงอิ้งเยว่กับเจียงอิ้งอวิ๋นว่าระยะนี้ไม่รับปักผ้าชั่วคราวก่อน
เพราะนางเริ่มมีอาการแพ้ท้องระยะแรกรุนแรงอย่างเช่นอาเจียนอะไรพวกนั้นตามมาเป็นชุด
นั่งก็เหนื่อย นอนก็ปวดเมื่อย ทุกวันตอนเช้ายังต้องอาเจียนออกมาอีก เป็นเช่นนี้มาหนึ่งเดือน เดิมร่างกายนางก็บอบบางอยู่แล้วก็ยิ่งผอมลงไปอีก หลินซือเย่าเห็นแล้วก็อดปวดใจไม่ได้ แววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกตำหนิตนเอง รู้อยู่ว่าร่างกายนางอ่อนแอ ยังให้นางตั้งครรภ์เร็วเพียงนี้อีก
แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขานอกจากต้องทำอาหารนางที่นางอยากกินมากอีกหน่อย เป็นเพื่อนนางเดินออกกำลังกายให้มากอีกหน่อย เขายังจะทำอะไรได้อีก เขาเป็นผู้ชายคงไม่อาจคลอดลูกแทนนางกระมัง
……
“ถั่วแดงบดกับพุทราบดกินจนเบื่อแล้วไหม” หลินซือเย่าเลือกวัตถุดิบไว้ทำไส้บ๊ะจ่าง ลังเลว่าถั่วแดง พุทราแดง หรือว่าไส้อื่นดี
“อาเย่า พวกเราทำไส้เนื้อกันเถอะ” อยู่ๆ ก็อยากกินบ๊ะจ่างไส้เค็มขึ้นมา ซูสุ่ยเลี่ยนแอบนึกถึงบ๊ะจ่างไส้เนื้อไข่เค็มบนโต๊ะห้องครัวในวันเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างตอนอยู่ตระกูลซู รสชาติหอมอร่อยมาก
“ไส้เนื้อ? บ๊ะจ่างยังทำไส้เค็มได้ด้วย” หลินซือเย่าระยะนี้อ่านแต่ตำราทำอาหารจนแทบเรียกได้ว่าหลงใหลก็ยังรู้สึกสงสัยว่าบ๊ะจ่างทำไส้เค็มได้ด้วยหรือ
“อืม ข้าพอรู้วิธีทำแล้ว พวกเราซื้อเนื้อกลับไปลองทำที่บ้านกัน ดีไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มร่าเสนอ
“ได้” หลินซือเย่าย่อมไม่ปฏิเสธ นับประสาอันใดกับตอนนี้นางมีสองคนในร่างเดียว พอเอ่ยบอกมาว่าอยากกินอะไร เขาก็ย่อมยินดีอย่างที่สุด
“เหนื่อยไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนไม่ได้เข้าเมืองมานาน ยืนยันว่าจะเข้าไปเดินเล่นตามร้านค้าในเมือง หลินซือเย่าไม่อาจไม่ตามใจนาง แน่นอนว่าตลอดทาง หลินซือเย่าประคองนางไว้ตลอด ยังถ่ายทอดพลังวัตรให้นางอยู่เรื่อยๆ เพื่อเสริมกำลังให้นาง
“ยังไหว เจ้าไม่ใช่ช่วยถ่ายทอดพลังให้ข้าอยู่?” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มร่าเงยหน้ามองเขา แม้ว่านางไม่รู้ยุทธ์ แต่ทุกครั้งที่นางจะหมดแรงก็จะมีพลังบางอย่างไหลเวียนเข้ามาในร่างกายนาง นางย่อมรู้สึกได้
“อืม หากไม่ไหว พวกเราก็กลับบ้าน” เขายังคงไม่วางใจ แต่เห็นนางเบิกบานใจอย่างมากเช่นนี้ ก็ไม่อาจทำให้นางหมดสนุก นับประสาอันใดกับการที่จากวันนี้ไปจนกระทั่งลูกครบเดือน ก็คงไม่มีโอกาสได้ออกมาเดินร้านค้าอีก ก็ปล่อยนางสนุกสนานไปแล้วกัน
“อาเย่า พวกเราไปร้านผ้าเลือกผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดกันเถอะ ข้าอยากจะถือโอกาสช่วงนี้ที่ไม่มีงานปัก ตัดชุดเตรียมไว้ให้ลูกสักหน่อย” ซูสุ่ยเลี่ยนกุมหน้าท้องน้อยที่ยังไม่ชัดนักเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ได้ แต่เจ้าต้องรับปากข้า เวลาตัดเย็บไม่ให้นานเกินไป” เขากลัวจริงๆ ว่าดวงตาของนางจะมีปัญหา การเย็บปักทำให้อ่อนล้ามาก แต่หากเขาเสนอให้ซื้อหาของใช้เด็กจากร้านขายผ้าแบบสำเร็จรูปในเมืองทั้งหมด นางก็คงไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงละทิ้งความคิดนี้ เอาแค่เน้นย้ำเวลาการทำงานของนางก็พอ
“รู้แล้ว” ซูสุ่ยเลี่ยนพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ ตั้งแต่นางตั้งครรภ์ ใบหน้าราวกับภูเขาน้ำแข็งที่ต้องการอยากจะเห็น เขาที่ไม่ค่อยพูดจาทั้งวันคนนั้น ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้อีก สำหรับหลินซือเย่าในถ้ำหมาป่าที่แสนเย็นชาและเย็นเยียบคนนั้น ก็ยิ่งหายวับไปไม่เห็นแม้เงา
นี่ก็คือพลังแห่งครอบครัวกระมัง ซูสุ่ยเลี่ยนแอบคาดเดา วันหน้ามีลูก เขาจะเป็นพ่อที่เมตตาอารีกระมัง เพียงแต่นางนึกภาพ ‘เมตตาอารี’ จากตัวเขาไม่ออกเลยว่าควรมีภาพอย่างไร