เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา - ตอนที่ 90 สำนักศึกษาฝานฮัว
“ผู้ใหญ่บ้าน ท่านให้ความเป็นธรรมหน่อย พวกเขาถือสิทธิ์อะไรมาบุกเบิกพื้นที่รกร้างทางตะวันตกนั่นได้” เสียงสตรีแหลมดังแปดหลอด เหมือนว่าเป็นสะใภ้คนโตตระกูลฮัวที่เค็มยิ่งกว่าแม่สามี
“คือ…ข้าให้ความเห็นชอบไปจริง” ผู้ใหญ่บ้านหวังเกิงฟาเสียงเบายิ่ง
“ท่านเห็นชอบ? ผู้ใหญ่บ้าน ท่านเป็นผู้ใหญ่บ้านมานานหลายปี พวกเราบ้านไหนไม่สนับสนุนท่าน แต่ว่า…พวกเขาอย่างไรก็คนนอกพื้นที่นะ! ตอนนี้มากว้านซื้อที่รกร้างเมืองฝานฮัวเรา ทำได้อย่างไร”
“ก็พอดีไม่ใช่หรือ ที่รกร้างก็จะรกร้างอยู่เปล่าๆ”
“โอย ผู้ใหญ่บ้าน ท่านช่างเลอะเลือน ที่เป็นของคนอื่นไปแล้ว พื้นที่เมืองฝานฮัวแค่กระผีกเดียว เขากลายเป็นเจ้าของที่ พวกเราไม่ใช่ว่ากลายเป็นคนเช่าที่เขาหรือ”
“สะใภ้ตระกูลฮัว เจ้าพูดจาเกินไปแล้ว อะไรเรียกว่าเขาซื้อที่รกร้างก็กลายเป็นเจ้าของที่ อย่างนั้นหากเจ้าคิดซื้อพื้นที่ทางตะวันตกนั่น ยังมีอีกมากนะ…”
“วาจาเหลวไหลแท้! ที่รกร้างหมู่ละสามตำลึง ข้าจะซื้อมาทำไม! ไม่เห็นว่าจะปลูกพืชอะไรออกมาได้…”
“นั่นก็ไม่ใช่หรือ คนเขาซื้อไปเพื่อปลูกบ้านเท่านั้น”
“พวกเขามีกันสองคน สร้างบ้านมากมายเช่นนั้นไปทำอะไร!”
“เกี่ยวอะไรด้วยเล่า คนเขามีญาติจะย้ายมาตั้งรกรากที่นี่ก็ปกตินี่ เห็นได้ว่าเมืองฝานฮัวเริ่มมีชื่อเสียงแล้ว” ผู้ใหญ่บ้านลูบเคราทรงแพะของเขาหรี่ตายิ้ม จินตนาการไปว่าเมืองฝานฮัวได้กลายเป็นเมืองอันดับหนึ่งบนแผ่นดินต้าหุ้ย
“เชอะ คิดมาตั้งรกราก ครอบครองธรรมชาติงามเมืองฝานฮัวเรา ไม่เห็นอุทิศตนสร้างประโยชน์อะไรให้…”
“สะใภ้ตระกูลฮัว วาจาเจ้าหมายความว่าอย่างไร หรือว่าคนที่มาตั้งรกรากที่เมืองฝานฮัวเราต้องอุทิศตนสร้างประโยชน์อะไรด้วย เช่นนั้นจะว่าไป ตอนที่ตระกูลฮัวมาตั้งรกรากที่นี่ ปู่ข้าก็ไม่ได้ขอให้บ้านเจ้าต้องอุทิศตนสร้างประโยชน์อะไรนี่”
“ผู้ใหญ่บ้าน ท่าน…”
“เอาละ สะใภ้ตระกูลฮัว เจ้าไยต้องทำเช่นนี้ บรรพชนทุกบ้านในเมืองฝานฮัวเราแต่ละรุ่นมาก็ไม่ใช่คนเติบโตเดิมในพื้นที่ ก็แค่มากันช้าเร็วเท่านั้น ตอนนี้ชีวิตดีแล้ว อาเย่ายอมจ่ายหลายสิบตำลึงซื้อที่ปลูกบ้าน ก็ไม่เห็นว่าต้องขอความเห็นชอบจากเจ้านี่นา” ผู้ใหญ่บ้านเห็นสะใภ้ตระกูลฮัวยิ่งพูดยิ่งไร้เหตุผล ก็อดตำหนิไม่ได้
“ข้าก็แค่พูดๆ ไป…”
“ไม่ต้องมาพูดจาเหลวไหล วันนี้ทุกคนฟังนะ ผู้ใดหากต้องการพื้นที่ ที่รกร้างตะวันตกนั่นยินดีต้อนรับทุกคนไปเลือกซื้อ หมู่ละสามตำลึง เงินมอบเป็นส่วนกลางหมู่บ้าน หากหมู่บ้านเรารายได้ดี ปีหน้าเทศกาลบัวลอยเราก็จะได้เชิญคณะงิ้วมาเล่นหมู่บ้านเราให้ครึกครื้นกันบ้าง ผู้ใหญ่บ้านไม่สนใจต่อปากต่อคำกับสะใภ้ตระกูลฮัวอีก หันไปกล่าวกับชาวบ้านที่มาออกันหน้าประตูศาลหมู่บ้านมุงดูเรื่องสนุกกัน
“เยี่ยม!”
สะใภ้ใหญ่ตระกูลฮัวไม่คิดเลยว่า ทุกคนถึงกับเห็นด้วย
คน…คนพวกนี้ ก่อนหน้าไม่ว่ากำลังล้อมวงวิพากษ์วิจารณ์บ้านหลินกันอยู่ริมสระน้ำใหญ่ไม่ใช่หรือ ยังบอกว่าต้องมาแจ้งผู้ใหญ่บ้านกันที่นี่ นางเองก็ร้อนใจ ก็เลยนำทุกคนมา ไม่คิดเลยว่าจะถูกผู้ใหญ่บ้านกล่าวเช่นนี้ พวกเขาพอเผชิญสงครามจริงก็วางอาวุธกันหมด จะได้โยนเรื่องต่อต้านบ้านหลินสร้างบ้านให้นางรับไปคนเดียว
ถุย นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!
มองไปรอบๆ ดีเลย ชาวบ้านพวกนี้ นอกจากบ้านที่ห่างเหินกับบ้านหลินไม่ไปมาหาสู่กันเหมือนตน คนที่เหลือเหมือนว่าได้รับความผลประโยชน์หรือความช่วยเหลือจากบ้านหลินไม่มากก็น้อย
เหมือนนางฟาง บ้านนางตอนนี้ยังทำงานไม้ให้บ้านหลินด้วย แน่นอนพอเขาซื้อที่ขยายบ้านเพิ่ม งานไม้ของสามีนางก็ยิ่งมากตาม แต่ละปีมีคนสร้างบ้านใหม่ ฟางต้าเซิงรับงานไม่ได้หยุด
หันมาดูบ้านอื่น ต้นปีตอนอวยพรปีใหม่ก็ได้ของอวยพรจากบ้านหลินกันไปไม่มากก็น้อย แต่จะว่าไป เขียงไม้ที่นางเอาไปใช้ก็ไม่เลวนะ ยังได้มาจากบ้านหลินด้วย
พอคิดเช่นนี้ สะใภ้ตระกูลฮัวก็กลอกตาไปมา จริงด้วย บ้านหลินตอนนี้งานไม้ไม่ขาด ไม้เหลือขอบๆ ก็ย่อมมีไม่น้อย…ในเมื่อผู้ใหญ่บ้านตัดสินใจเห็นด้วยกับการซื้อที่สร้างบ้านของพวกเขาแล้ว ก็ไปขอไม้พวกเขาดีกว่า เอาไว้ทำเก้าอี้เล็กๆ ให้ลูกชายนางก็ดีเหมือนกัน เชอะ มีผลประโยชน์ไม่เอาได้หรือ…
……
“อะไรนะ? สำ…สำนักศึกษา?” ผู้ใหญ่บ้านได้ยินก็แทบจะร่วงตกจากตั่งนั่ง
เมื่อครู่เขานำเรื่องที่ชาวบ้านมาหาเขาวันก่อนเล่าให้พวกเขาฟัง บอกว่าความเห็นทุกคนถูกต้อง ส่วนตัวก็หวังว่าหลินซือเย่าสองสามีภรรยาจะได้ทำอะไรจับต้องได้เพื่อหมู่บ้านบ้าง จะได้ปิดปากชาวบ้านปากมากและอคติพวกนั้น
แต่เขาคิดไม่ถึงว่า หลินซือเย่าตอนนี้คิดไว้แล้ว และยังเป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง บอกว่าจะตั้งสำนักศึกษาในเมืองฝานฮัว
สำนักศึกษานะ ต้องควักเงินถุงเงินถังเท่าไร!
“ใช่ รอให้สร้างบ้านใหม่เสร็จ ย้ายบ้านแล้ว ที่นี่ก็จะปรับเป็นสำนักศึกษา สำหรับคนและข้าวของก็รบกวนผู้ใหญ่บ้านวางแผนใช้จ่ายให้ด้วย ข้าจะได้ไปหารือกับสุ่ยเลี่ยน” หลินซือเย่าจิบชาไปก็กล่าวเนิบนาบไป
เดิมทีเรื่องนี้เขาคิดว่ารอให้สร้างบ้านใหม่ ย้ายเสร็จแล้ว บ้านเก่าก็จะปรับปรุงใหม่แล้วค่อยไปหารือกับผู้ใหญ่บ้าน แต่ชาวบ้านถึงกับมีปัญหากับการซื้อที่รกร้างหกหมู่สร้างบ้านของตน พากันไปเอาเรื่องผู้ใหญ่บ้าน
เขาอย่างไรก็ได้ แต่กังวลว่าวาจาเหลวไหลจะไปถึงหูสุ่ยเลี่ยน ทำให้นางไม่สบายใจยามตั้งครรภ์
ดังนั้นเขาจึงว่าวางแผนไว้ก่อนแล้ว สร้างสำนักศึกษาแห่งแรกในเมืองฝานฮัว ออกเงินเองแต่เพื่อประโยชน์ชาวบ้านทุกคน
แน่นอนว่าสิ่งที่หลินซือเย่าไตร่ตรองสิ่งแรกย่อมไม่ใช่เด็กๆ ที่พาสัตว์ออกไปเลี้ยงตามท้องทุ่งหญ้าพวกนั้น แต่เพราะลูกในท้องสุ่ยเลี่ยนตอนนี้ วันหน้ายังจะมีลูกของเขาและสุ่ยเลี่ยนอีกมาก
อีกหลายปีต่อไป จะได้มีสำนักศึกษาให้พวกเขาได้เรียนสี่ตำราห้าคัมภีร์ตามแนวคิดขงจื๊อ เขาหวังว่าลูกๆ ของเขาจะรู้หนังสือ รู้ความ สง่างามเหมือนมารดา
หนึ่ง เทียบกับการส่งพวกเขาไปเรียนที่เมืองฝานลั่วห่างไปหลายสิบลี้ ไม่สู้สร้างใหม่และดูแลใกล้ชิดเอง
สอง เขาเองคิดว่าหากสุ่ยเลี่ยนไม่รับงานปักผ้าอีก เวลาว่างก็จะได้สอนเด็กๆ วาดภาพ อย่างไรเขาก็มักจะรู้สึกว่างานปักผ้าเป็นงานที่เปลืองกำลังกายมากเกินไป รอมีลูกแล้ว เสื้อผ้าของทั้งครอบครัวก็ย่อมมอบให้นางดูแลเพียงผู้เดียว นางยุ่งพอแล้ว ตามความเห็นเขา นางทำงานหัวหน้าช่างปักผ้าก็ไม่ต้องรับงานก็แล้วกัน
แน่นอน เรื่องนี้ต้องรอให้นางครบสัญญากับร้านผ้าปักเยว่อวิ๋นหนึ่งปีก่อนค่อยว่ากัน
เหตุนี้เองทำให้หลินซือเย่าคิดไว้นานแล้วว่าจะเอาบ้านเก่าไปปรับปรุงเป็นสำนักศึกษาเมืองฝานฮัว เด็กห้าถึงสิบขวบ รวมกันก็สิบกว่าคนแล้ว หากสองเมืองละแวกใกล้ๆ ส่งลูกมาเรียนที่
เมืองฝานฮัวอีก เขาเองก็ย่อมไม่ปฏิเสธ
เพียงแต่เมืองอื่นมาที่นี่ถือว่าไกลมาก ระหว่างวันคงเร่งเดินทางกลับบ้านไปกินข้าวไม่ได้ ดังนั้นอาหารกลางวันย่อมต้องจัดการเอง บางทีมอบเงินให้สำนักศึกษาจัดการให้ บางทีก็อาจพกหมั่นโถวมากินเอง
แต่สรุปได้ว่านี่คือเรื่องที่ทำเพื่อชาวเมืองฝานฮัวและละแวกใกล้ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย!
ผู้ใหญ่บ้านได้ยินคำอธิบายง่ายๆ ของหลินซือเย่า ก็มองเขาพลางพยักหน้า
หลินซือเย่าคิดว่าเงินที่สั่งสมมา เพียงพอใช้ชีวิตในหมู่บ้านเล็กๆ นี้ไปตลอดชีวิตก็ไม่หมด ไม่สู้เอาส่วนหนึ่งออกมาทำประโยชน์เพื่อลูกหลานตนเอง
จะบอกว่าเขาคิดใช้โอกาสนี้สั่งสมความดีเพื่อวาสนาลูกหลานก็เอาเถอะ สรุปเขาไม่อยากให้สองมือเปื้อนเลือดของเขาทำให้ลูกหลานเขาแต่ละรุ่นจากนี้ต้องมารับผลกรรมของเขา
ความปรารถนานี้แรงกล้าขึ้นตามท้องของสุ่ยเลี่ยนที่โตขึ้น เขายอมรับว่าเขาตอนนี้กลัวผลกรรม กลัวว่าความอบอุ่นและงดงามตรงหน้าทั้งหมดนี้จะสูญสลายไปหมดสิ้นเพราะผลกรรมการกระทำของเขาที่เปื้อนเลือดผู้อื่นมา
“เยี่ยม! เยี่ยม!” ผู้ใหญ่บ้านหวังเกิงฟานอกจากพยักหน้าแล้วก็ชมไม่หยุดปาก
ตั้งสำนักศึกษาในเมืองฝานฮัว และยังไม่มีค่าใช้จ่ายในการเรียน งานประกาศข่าวนี้แพร่ออกไป ผู้ใดจะมีหน้าพูดอะไรอีก ยังไม่ยินยอมอีกหรือ
อย่าว่าแต่ไม่มีค่าใช้จ่ายเลย แม้ว่าเก็บค่าเรียน หมู่บ้านก็สร้างสำนักศึกษาไม่ไหว หนึ่ง ไม่มีใครยอมจ่ายเงินจ้างอาจารย์มาสอน สอง เงินค่าเรียนไม่อาจพอกับค่าใช้จ่ายยาวนาน
นานวันเข้า ในหมู่บ้านก็ไม่มีคนคิดจะจัดตั้งสำนักศึกษาอีก
หากในบ้านมีลูกหลาน ก็ส่งไปสำนักศึกษาในเมือง เรียนสักปีสองปี รู้อักษรบ้างแล้ว ก็นับว่าเป็นเรื่องยอดเยี่ยมมากแล้ว
พวกไม่มีฐานะก็ย่อมพาน้องๆ อายุไล่เลี่ยกันไปเที่ยวเล่นกันตามเชิงเขาท้องนา พอโตก็จะติดตามบิดามารดาทำงาน
เช่นนี้หากว่าราบรื่นดี ปีหน้าก็จะเริ่มมีสำนักศึกษาในเมืองฝานฮัว ทุกบ้านในเมืองฝานฮัวจะดีใจกันขนาดไหน
ไม่ว่าบ้านไหน ก็มักจะมีลูกอายุเหมาะสมที่จะเข้าสำนักศึกษากระมัง
นับประสาอันใดกับอาเย่าเพิ่งจะว่าอย่างไรนะ ให้เชิญอาจารย์? สอนเด็กๆ รู้หนังสือ อ่านกลอน และสอนพวกเขาให้รู้จารีต รู้ละอายใจ รู้ถ่อมตน
ฟังแล้วเป็นความคิดที่เหมาะสมมาก เป้าหมายยิ่งใหญ่ขนาดไหน!
หวังเกิงฟายิ่งเชื่อว่า เมืองฝานฮัวเล็กๆ ย่อมมีชื่อเสียงทั่วแผ่นดินต้าหุ้ยในอีกไม่นานจากนี้
หวังเกิงฟาเดินกลับบ้าน สมองยังคงคิดเรื่องที่หลินซือเย่าบอกเขาเมื่อครู่ ตั้งสำนักศึกษาในฝานฮัว ค่าใช้จ่ายทั้งหมด หลินซือเย่ารับผิดชอบ ในฐานะผู้ใหญ่บ้าน เขาทำแค่ไปหาอาจารย์ที่มีคุณธรรมมาสอน และจัดเตรียมสิ่งของที่สำนักศึกษาต้องใช้ก็พอ
นี่ยังไม่ง่ายอีกหรือ?! แค่จ่ายเงินก็จัดการได้ สำหรับเขาแล้ว ย่อมไม่ใช่เรื่องยากอะไร
เพียงแต่จะว่าไป หลินซือเย่าเอาเงินมากมายขนาดนั้นมาจากไหน
ผู้ใหญ่บ้านเดินไปก็ลูบเคราแพะของเขาขมวดคิ้วครุ่นคิดไป
หลังจากคิดไม่ได้คำตอบ ก็สรุปไปเองว่าคงเป็นตระกูลเดิมพวกเขา
ถูกต้อง คิดถึงหลินซือเย่ากับซูสุ่ยเลี่ยนสองสามีภรรยา ตั้งแต่มาตั้งรกรากเมืองฝานฮัว เคยต้องกังวลใจเรื่องเงินทองอะไรไหม ไม่มี!
แม้ดูแต่งกายธรรมดา คนหนึ่งมีฝีมือปักผ้า แต่ดูจากท่าทางของเขาและนาง สองคนนี้ต้องมาจากตระกูลสูงศักดิ์ ไม่แน่ว่าสองคนอาจมีเรื่องกับทางบ้านจึงได้พากันหนีมาก็ได้
ไม่ใช่บอกว่าก่อนหน้านี้ หน้าบ้านหลินมีรถม้าเทียมม้าสี่ตัวสองคันหรูหรามาหรือ ใช่แล้ว ต้องเป็นตระกูลพวกเขามาหาแน่นอน ออกเงินให้พวกเขาสองคน พวกตระกูลใหญ่พวกนี้ ควักเงินทีไม่แน่ว่ามาทีเดียวร่วมร้อยตำลึงเลยกระมัง! จุ๊ จุ๊!
หวังเกิงฟายิ่งคิดก็ยิ่งมั่นใจ สุดท้ายก็อดพยักหน้าไม่ได้ นับว่าคาดเดาจนพอมั่นใจแล้ว ก็ได้เหตุผลสรุปถึงที่มาของเงินทองที่หลินซือเย่าออกสร้างสำนักศึกษาในเมืองฝานฮัวได้