เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 1003 ได้พบฉืออี้หย่วนอีกครั้ง
บทที่ 1003 ได้พบฉืออี้หย่วนอีกครั้ง
บทที่ 1003 ได้พบฉืออี้หย่วนอีกครั้ง
ตอนนั้นเองที่ต่งเยี่ยนอันพุ่งเข้ามาหา “ขอเกาะขาด้วยคนซี่!”
ในห้องเรามีพวกหลี่เจี้ยนหงเท่านั้นที่ไม่ได้กลับบ้านตอนวันหยุดฤดูหนาว และไปทำงานที่หออีหมิง ไม่คิดเลยว่าจะได้กลโกงแบบนี้มา
การเรียนก้าวหน้า ทั้งยังทำงานหาเงินได้ด้วย
แค่ภาคเรียนเดียวก็มีเงินเป็นกอบเป็นกำ
ทั้งสามจึงวางแผนไว้ว่าจะไปเที่ยวในช่วงวันหยุดอีก
เพื่อน ๆ เช่าบ้านและซื้อเครื่องจักรไว้สองเครื่องเพื่อทำเครื่องประดับ
ตอนนี้ยังไม่มีปัญหาเรื่องยอดคาด แต่คิดไว้ว่าต่อให้ปิดเทอมก็ยังมีเงินอยู่ดี
ครอบครัวของจ้าวหงเหมยไม่ได้ลำบากอะไร แต่ก็ไม่สามารถพูดว่าสุขสบายได้
ดังนั้นเธอจึงอยากทำงานหาเงินเหมือนกัน
ส่วนเหตุผลของต่งเยี่ยนอันไม่ต่างกันนัก ฐานะทางบ้านค่อนข้างดี ไม่ต้องห่วงเรื่องอาหารและเสื้อผ้า แต่ทรัพย์สมบัติไม่ได้มีมาก
พอเห็นเพื่อนคนอื่น ๆ มีเงินจึงจุดประกายความคิดขึ้นมา
ความคิดทั้งสองจึงเป็นเอกฉันท์
เสี่ยวเถียนตอบตกลง
แต่รอบนี้ไม่ได้ให้เพื่อนไปทำงานที่ร้านแล้วนะ แต่ตั้งใจว่าจะพาไปโรงงานแทน
“เรามาตกลงกันก่อน โรงงานฉันตั้งอยู่ชานเมือง เวลาเดินทางไปห้ามบ่นว่าเหนื่อยเด็ดขาด”
สองคนนี้เป็นคนเมืองกรุง ต่างจากพวกหลี่เจี้ยนหง
“ไม่ต้องห่วง ขอแค่หาเงินได้ฉันสัญญาเลยว่าจะไม่บ่นใด ๆ ทั้งสิ้น” จ้าวหงเหมยตบหน้าอก
“ถ้าไม่นึกเสียใจแล้วก็ดี เราจะไปที่นั่นในประมาณหนึ่งสัปดาห์ เตรียมตัวให้พร้อมด้วยนะ”
ทั้งสองคนได้ยินเช่นนั้นพลันนึกลังเล แต่สุดท้ายก็บอกว่าจะไป
เสี่ยวเถียนยังอยู่ได้ ทำไมพวกเธอจะอยู่ไม่ได้ล่ะ?
อยู่หอพักไม่ใช่หรือ? คงคล้าย ๆ กับที่เราอยู่ในมหาวิทยาลัยล่ะมั้ง?
ทางฝ่ายฉู่เยว่เป็นคนเดียวในห้อง 314 ที่ต้องกลับบ้าน
เห็นแผนการเพื่อน ๆ แล้วเด็กสาวรู้สึกอิจฉาเหลือเกิน
แต่เธอจำเป็นต้องกลับ
ผู้ใหญ่ที่บ้านตัดสินใจจะส่งตนไปฝึกทหาร
เธอทำอะไรไม่ได้สักนิด ต่อให้ไม่อยากไปแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องโบกมือลาทั้งน้ำตา
หลังจากสอบเสร็จ เสี่ยวเถียนเลือกกลับบ้านทันทีโดยที่ไม่รอฟังผล
ไม่ว่าจะได้คะแนนเท่าไรก็ไม่สำคัญแล้ว สิ่งสำคัญสุดคือเธอได้หยุดสักที และปลดปล่อยตัวเองได้
เสี่ยวเถียนบอกจ้าวหงเหมยและต่งเยี่ยนอันตกลงกันว่า วันที่สองให้มาหาเธอด้วย แล้วเดี๋ยวเราไปฟาร์มด้วยกัน
เมื่อจัดเตรียมสัมภาระเสร็จ เสี่ยวเถียนก็เตรียมกลับบ้าน
“เจี้ยนหง กลับด้วยกันไหม?”
หลี่เจี้ยนหงหน้าแดง “เราปรึกษากันแล้วน่ะ ว่าจะทำเครื่องประดับขายอย่างจริงจัง”
ส่วนเฉียนเสี่ยวเป่ยไม่ได้ส่งเงินทั้งหมดกลับไปบ้าน ตอนนี้เจ้าตัวกำลังจะลงทุนรอบใหม่ เตรียมตัวทำงานหาเงินอีกครั้ง
“ที่บ้านฉันส่งจดหมายมาบอกว่าไม่ต้องกลับบ้าน ให้อยู่ทำงานหาเงินไปน่ะ เขาบอกไว้มหาวิทยาลัยเปิดก็ส่งเงินไปด้วย ที่บ้านจะได้ใช้กัน”
เธอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม แต่กลับเจือไปด้วยความเศร้า
วันหยุดครั้งก่อนก็ไม่ได้กลับ ที่บ้านไม่คิดถามไถ่เลยสักนิด เอาแต่บอกให้หาเงิน ๆ
โชคดีที่ไม่ได้โง่บอกไปจนหมดว่าทำงานได้เงินจากการขายเครื่องประดับมา ไม่อย่างนั้นคงโดนบังคับให้ส่งเงินกลับไปแน่
“ไม่เป็นไรนะ วันหยุดนี้เธอจะหาเงินได้แน่นอน แล้วก็ส่งกลับไปเดือนละสามสิบห้าหยวนพอ” เสี่ยวเถียนปลอบใจ
ในเมื่อเจอกับครอบครัวแบบนี้จะไปทำอะไรได้ล่ะ?
ทางฝั่งซูซื่อเลี่ยงเดินทางไปวาดรูปเมื่อหลายวันก่อน คงไม่กลับมาอีกเดือนสองเดือน เสี่ยวเถียนจึงจำต้องกลับบ้านด้วยตัวเอง
เด็กสาวหิ้วกระเป๋าเดินเอื่อย ๆ อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย
ตอนนี้อากาศกำลังร้อน ตกบ่ายจะร้อนจนแผดเผาเลยเชียว
เสี่ยวเถียนเดินออกประตูมาแล้วก็ต้องตกใจกับคนที่ปรากฏตัวตรงหน้า
เธอกะพริบตาถี่ ๆ
เรื่องอะไรกันเนี่ย?
เราตาฝาดหรือ?
เธอเห็นฉืออี้หย่วนได้ยังไง?
พี่เขาน่าจะอยู่เยอรมนีสิ!
ไม่มีทางกลับมาหรอก
เสี่ยวเถียนหยิกแขนแรง ๆ ก่อนจะร้องโอ๊ยออกมา
“เด็กโง่ อยู่ดีไม่ว่าดีทำตัวเองทำไม?” ฉืออี้หย่วนเข้าไปคว้าแขนเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยด้วยความปวดใจ
ไม่เจอแค่ปีเดียวเอง ทำไมถึงโง่แบบนี้?
หยิกแขนตัวเองทำไม?
มันทำจากโคลนหรือไง?
เมื่อสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากฝ่ามือแห้งกร้าน เสี่ยวเถียนถึงยอมเชื่อแล้วว่าฉืออี้หย่วนอยู่ตรงหน้าตนเองจริง ๆ
ทันใดนั้น น้ำตาก็พรั่งพรูออกมา
“พี่กลับมาได้ยังไงคะ?”
เสี่ยวเถียนโยนกระเป๋าทิ้งแล้วพุ่งเข้าไปกอด
ฉืออี้หย่วนเองก็ปล่อยกระเป๋าในมือแล้วกอดตอบเช่นกัน
ในที่สุดก็ได้พบกันอีกครั้ง!
หลังจากลงเครื่องเขาตรงมาที่มหาวิทยาลัยทันที
หลังจากถามฮั่วซือเหนียนถึงได้รู้ว่าวันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้าย และเสี่ยวเถียนยังอยู่ที่มหาวิทยาลัยด้วย
ทีแรกจะไปรอหน้าหอพัก แต่ไม่นึกว่าพอมาถึงหน้าประตูจะพบเสี่ยวเถียนเดินออกมาพอดี เลยหยุดรอ
“เด็กโง่ หยุดร้องไห้ได้แล้ว โตขนาดนี้แล้วนะ”
พริบตาเดียวสาวน้อยผู้น่ารักและอ่อนโยนก็โตเป็นสาวเสียแล้ว
พอเห็นเธอสวยวันสวยคืน ชายหนุ่มก็เริ่มรู้สึกเป็นกังวลไม่ได้ ว่าจะมีหนุ่มไล่จีบตอนเขาไม่อยู่หรือเปล่า
เสี่ยวเถียนปล่อยโฮจนใบหน้าเปรอะไปด้วยน้ำตา เธอทำได้แค่เช็ดมันด้วยเสื้อฉืออี้หย่วนเท่านั้น
ฉืออี้หย่วนลูบหัวน้องด้วยความรักใคร่
“กลับบ้านกัน!”
กลับบ้านหรือ?
เป็นคำพูดที่น่าฟังจังเลยนะ
ชายหนุ่มตั้งใจจะหิ้วกระเป๋าให้ แต่เสี่ยวเถียนปฏิเสธ
“พี่อี้หย่วน พี่มาหาหนูหลังจากลงเครื่องเลยหรือ? พี่เหนื่อยมากเลยใช่ไหม? เดี๋ยวหนูถือเอง”
“พี่ต้องเดินทางมานานมากแน่ ๆ เลย!”
“พี่ใจร้ายจัง ไม่บอกกันสักนิดว่าจะกลับมาหา”
“พี่อี้หย่วน…”
พอได้ฟังเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กสาว ชายหนุ่มรู้สึกว่าชีวิตนี้ประสบความสำเร็จแล้ว!
โชคดีจริง ๆ ที่ผืนแผ่นดินใหญ่ยังมีคนห่วงใยเราอยู่
อบอุ่นกว่าอยู่ที่เยอรมนีมากเลย
“ทำไมพี่ไม่พูดอะไรเลยล่ะ?”
“พี่ฟังอยู่ไง!”
พระเจ้ารู้ดีว่าเขาคิดถึงเสียงนี้มากแค่ไหน เสียงนุ่ม ๆ และไพเราะราวกับเวทมนตร์ที่ดังก้องในความฝันทุกคืน
และในที่สุดก็ได้ยินมันจริง ๆ เสียที
ทั้งสองยืนอยู่ที่ป้ายรอรถ กระทั่งรถคันหนึ่งเคลื่อนมาตรงหน้า