เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 1013 จะกลับไปให้ลุงตบหน้าเอง
บทที่ 1013 จะกลับไปให้ลุงตบหน้าเอง
บทที่ 1013 จะกลับไปให้ลุงตบหน้าเอง
ตอนมาถึงกลุ่มคณะกรรมการหมู่บ้าน นักบัญชีอย่างซูเสี่ยวถงก็เห็นมุมปากเหยียดยิ้มกว้างของซูฉางจิ่ว
เขาได้แต่จ้องมองที่ซูฉางจิ่วอย่างสงสัย อยากจะถามว่ามีเรื่องน่ายินดีอะไร ผู้ใหญ่บ้านถึงมีความสุขออกนอกหน้าแบบนี้?
แต่เมื่อมองคนที่ยังคุยโทรศัพท์อยู่ ซูเสี่ยวถงก็ยังไม่ถาม แค่รอฟังเรื่องซุบซิบอย่างอยากรู้
เด็กหนุ่มเอามือกุมหน้าแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ของตน ดูสนใจมาก
ซูเสี่ยวเถียนที่อยู่อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ยังคงถามต่อไป “ลุงคิดอย่างนั้นจริง ๆ หรือคะ?”
“แน่นอน เด็กหนุ่มคนนี้เป็นเพื่อนร่วมชั้นของซานกงหรือ? เป็นนักเรียนของอาจารย์ฉินด้วยหรือเปล่า?” ซูฉางจิ่วถาม
[ลุงฉางจิ่ว ถ้าเป็นพี่สามของหนู ดีหรือไม่ดีคะ?]
เมื่อซูเสี่ยวเถียนพูดแบบนี้ ก็ระมัดระวังมากขึ้นอีกหน่อย
เพราะกลัวว่าสิ่งกระตุ้น จะทำให้ชายชราสะเทือนใจ
นั่นจะทำให้เธอกลายเป็นคนมีโทษ
[เด็กน้อย พูดถึงเรื่องอะไร? พี่สามของหนู จะเป็นไปได้ยังไง?]
ซูฉางจิ่งส่ายหัวเหมือนว่าเสียงจะสั่นเล็กน้อย
เขาคิดว่า ซูเสี่ยวเถียนเด็กคนนี้ยังเขลาอยู่
ซูซานกงกับซูเสี่ยวเฉ่าเป็นพี่น้องกัน ทำไมลืมสิ่งสำคัญเช่นนี้ไปแล้วหรือ?
แต่เพียงชั่วครู่ต่อมาจู่ ๆ ซูฉางจิ่วก็นึกถึงอะไรบางอย่าง ใบหน้าของเขาจึงค่อย ๆ เปลี่ยนไป
“พาไอ้เด็กนั่นมาคุยซิ!”
ซูฉางจิ่วกล่าวด้วยเสียงที่ดังมาก จนแม้แต่ซูซานกงและคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ซูเสี่ยวเถียนก็ยังได้ยินชัดเจน
ซูซานกงตื่นเต้นมาก แต่ต้องก้าวไปรับโทรศัพท์
แต่เสี่ยวเฉ่าจับโทรศัพท์ขึ้นมาก่อน
[พ่อ ฉันเสี่ยวเฉ่าเองนะ]
ซูฉางจิ่วได้ยินเสียงของลูกสาวตน พลันถามขึ้นว่า “เสี่ยวเฉ่า ซานกงไปกล่อมอะไรลูก?”
[พ่อ ไม่ใช่ซานกงที่เกลี้ยกล่อมหนู เป็นหนูที่ชอบซานกง หนูชอบซานกงจริง ๆ]
เมื่อเสี่ยวเฉ่าพูดคำเหล่านี้ออกมา ใบหน้าก็ยิ่งแดงขึ้นเรื่อย ๆ เธอรู้สึกว่าสองแก้มเกือบจะร้อนเท่าแผ่นแป้งทอดแล้ว
เธอรู้สึกว่า ตนเองอับอายขายหน้าจริง ๆ ไม่นึกเลยว่าจะสามารถพูดคำว่าชอบซานกงออกมาได้
ซูฉางจิ่วไม่เคยคิดว่า ลูกสาวที่ขี้อายของตนจะพูดแบบนั้นออกมา
จึงเห็นได้ว่าเธอชอบซูซานกงคนนี้จริง ๆ
ทันใดนั้น เขาก็เข้าใจแล้วว่า ทำไมทุกครั้งที่บอกให้ลูกสาวหาคนที่เหมาะสมที่จะแต่งงาน เธอถึงมักจะหาข้อแก้ตัวอยู่เสมอ
ที่แท้ก็มีคนอยู่ในใจนี่เอง
ผู้หญิงคนนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันที่มีความคิดที่ไม่ควรมี?
“เสี่ยวเฉ่า ความสัมพันธ์ของหนูกับซานกงเป็นยังไง? หนูเองก็ไม่รู้หรือ”
เสี่ยวเฉ่าได้ยินเสียงอัดอั้นตันใจของพ่อเธอทางโทรศัพท์ไม่รู้เลยสักนิดว่าจะต้องพูดอะไร
เธอยืนอยู่ที่นั่นด้วยใบหน้าแดง ก่ำ
ซูซานกงรีบก้าวไปบีบมือเธอเบา ๆ แล้วจับโทรศัพท์มาไว้ในมือของตน
[ลุงฉางจิ่ว ผมซานกงนะครับ] ซูซานกงระงับความวิตกกังวลในใจและกล่าวทักทายอย่างระมัดระวัง
“ไอ้เด็กเวร แกทำแบบนี้ได้ยังไง? อยากให้ชาวบ้านเขานินทาหรือยังไง? ไม่ใช่แค่แกนะ ไหนจะพ่อแก ปู่แกอีก แม้แต่หน้าตาของตาแก่แบบฉันก็ยังไม่เหลือให้เลย!”
ซูเสี่ยวถงเดิมทีมองอยู่ข้าง ๆ ซูฉางจิ่วซึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ใครจะรู้ ว่าในช่วงพริบตาเดียว เขาจะเริ่มด่าแล้ว
ด่าซานกงหรือ?
ซานกงทำอะไรนะ?
เด็กชายคนนั้นคือคนที่พ่อแม่พูดว่าเป็นความภาคภูมิใจของหมู่บ้าน
เขากับซานกงมีอายุใกล้เคียงกัน จึงมักถูกเปรียบเทียบกันเสมอ
ทำไมผู้ใหญ่บ้านถึงด่าซานกงล่ะ?
ซูเสี่ยวถงตื่นเต้น แทบรอไม่ไหวที่จะออกมาฟังอย่างตั้งใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ในกลุ่มคนรุ่นเดียวกันก็เป็นอย่างนั้น พวกเขาจะเริ่มเปรียบเทียบอีกฝ่ายกับตัวเองโดยที่ไม่รู้ตัว
ส่วนคนที่ไม่เคยถูกเปรียบเทียบก็อดดีใจไม่ได้ เมื่อตนหลุดพ้นจากบ่วงการเปรียบเทียบอันน่ารังเกียจนี้
[ผมชอบเสี่ยวเฉ่า ชอบจริง ๆ ครับ ผมอยากจะทำดีกับเธอไปตลอดชีวิต ลุงฉางจิ่ว ได้โปรดคุณช่วยทำให้เราสมปรารถนาด้วยเถอะครับ]
[แม้ผมกับเสี่ยวเฉ่าจะเป็นลูกพี่ลูกน้องในเชิงความหมาย แต่สายเลือดเราก็ห่างมาเป็นเจ็ดแปดชั่วโคตรแล้วครับ ในทางกฎหมายแล้วย่อมเป็นไปได้]
[ลุงฉางจิ่ว ได้โปรดยกเสี่ยวเฉ่าให้กับผม ผมสัญญาว่าจะทำให้เสี่ยวเฉ่ามีความสุข!]
ซูฉางจิ่วได้ยินซูซานกงพูดเช่นนี้ ก็ยังมีหวั่นใจเล็กน้อย
เสี่ยวเฉ่าไม่ใช่เด็กแล้ว เธอปฏิเสธที่จะเข้าหาครอบครัวของฝ่ายสามีของเธอในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะเป็นเพราะความสัมพันธ์ของซูซานกง วันนี้ทั้งสองคนโทรมา เห็นได้ชัดว่าตัดสินใจแล้ว
เขาอยากคัดค้าน แต่ไม่สามารถค้านได้
ในใจเขารู้ดีว่า เด็กสองคนนี้ในความเป็นจริงคือไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ เกี่ยวข้องกัน
“เจ้าเด็กเหลือขอ ถ้าแกอยู่ตรงนี้นะ ฉันจะตบแกเลยคอยดู!”
ทว่าเด็กเวรนั่นไม่ได้อยู่ตรงนี้ แม้อยากตีก็ตีไม่ได้
ซานกงตอบอย่างไวว่อง [ถ้าอยากตบผม ผมจะซื้อตั๋วกลับไปตอนนี้เลยครับ จะนั่งคุกเข่าต่อหน้าให้ลุงตบให้เต็มที่เลย!]
เดิมทีเขาพูดแบบนี้เพื่อเอาใจซูฉางจิ่ว แต่อีกฝ่ายกลับสำลักจนพูดไม่ออก
หลังจากนั้นไม่นาน ซูฉางจิ่วพูดว่า “ช่างเถอะ คุณปู่คุณย่าของนายพูดว่าอย่างไร?”
[คุณปู่ของผมไม่เห็นด้วย คุณย่าบอกว่าได้] ซูซานกงลดเสียงลง [ผมต้องการแต่งงานกับเสี่ยวเฉ่า ขอร้องคุณลุงละครับ ช่วยทำให้เราสมปรารถนาด้วยเถิด ถ้าคุณเห็นด้วย เป็นไปได้ว่าคุณปู่ของผมจะเห็นด้วย]
ซูซานกงทำเสียงทุ้มต่ำ จนเกือบจะเป็นการอ้อนวอน
เขารู้ว่า คุณปู่มีนิสัยดื้อรั้น มีเพียงต้องพูดโน้มน้าวซูฉางจิ่วเท่านั้น คุณปู่จึงจะคล้อยตามเห็นด้วย
แต่ลุงฉางจิ่วคงจะไม่เห็นด้วย
ท้ายที่สุดแล้ว ความสัมพันธ์นี้ของพวกเขาชายชราไม่เห็นด้วยก็หลีกเลี่ยงไม่ได้
ในชนบท แนวคิดการแต่งงานระหว่างเครือญาตินั้นสำคัญมาก
ก็เหมือนกับที่ลุงฉางจิ่วพูด ถ้าคนในหมู่บ้านอื่นรู้ เขาย่อมถูกนินทาลับหลังแน่นอน
“ไปบอกปู่ซะว่าฉันเห็นด้วย”
ซูซานกงที่กำลังคิดอยู่ว่าจะโน้มน้าวยังไงดี จู่ ๆ ก็ได้รับคำตอบจึงไม่มั่นใจว่าหูฝาดไปหรือเปล่า
[ลุงฉางจิ่ว ผมฟังผิดไป หรือลุงพูดผิดครับ?]
ซูซานกงถามอย่างโง่เขลา
“อะไร? ฉันเพิ่งพูดไป คิดว่าจะกลับคำหรือ?” ฉางจิ่วพลันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
เจ้าเด็กเหลือขอนี่หมายความว่าอะไร?
เขาเห็นด้วยแล้ว คิดว่าจะกลับคำหรือ?
ซูฉางจิ่วรู้สึกว่า ซูซานกงเจ้าเด็กเหลือขอกล้ากลับคำ เขาก็สามารถไปหักขาเจ้าเด็กนี่ถึงในเมืองได้เหมือนกัน
ลูกสาวของเขาซูฉางจิ่ว แม้จะไม่ใช่ผู้ให้กำเนิด แต่ก็จะไม่ให้ซูซานกงเจ้าเด็กเหลือขอรังแกเธอได้
[ไม่ ไม่ ลุงฉางจิ่ว จะเป็นไปได้ยังไง ผมแค่คิดว่าลุงจะไม่ตอบตกลงง่ายแบบนี้!]
“พอลูกสาวโต เธอก็ไม่ควรอยู่บ้าน ฉันซึ่งเป็นพ่อจะทำอะไรได้ล่ะ?” ซูฉางจิ่วพูดอย่างไม่มีทางเลือก
เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา ซูฉางจิ่วก็ครุ่นคิดมากมายอยู่ในใจ
ฮึ! อย่ากลัวคนอื่นจะนินทาลับหลัง บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่พระเจ้ามอบให้ก็ได้
เรื่องนี้ที่ตนเองรับเลี้ยงเสี่ยวเฉ่า บางทีอาจถูกเปิดเผยแบบนี้
ก็ได้
พวกเขาสองสามีภรรยาก็คิดเรื่องนี้เหมือนกัน ชีวิตของน้องเซี่ยหนานยากลำบากเกินไป
แม้มีลูกสาวของตนยืนเคียงข้าง แต่ไม่สามารถเข้าใกล้ได้
ตั้งแต่เด็กสองคนนี้ชอบกัน เพียงใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้พูดทุกอย่างออกมาก็ได้
ถึงภรรยาเขาอาจไม่เห็นด้วย แต่ก็ยังต้องทำหน้าที่เป็นแม่ที่ดีได้
แต่ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถปล่อยให้เด็กสองคนถูกผู้คนนินทาลับหลังได้