เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 1048 เรื่องสำคัญได้รับการตัดสิน
บทที่ 1048 เรื่องสำคัญได้รับการตัดสิน
บทที่ 1048 เรื่องสำคัญได้รับการตัดสิน
“มา ๆ ไว้ลุงเก้าตู้มาค่อยพูดพร้อมกันทีเดียว”
คนที่ซูฉางจิ่วนัดมาในวันนี้เป็นคนมีตำแหน่งในหมู่บ้าน
เขาตั้งใจจะสร้างฟาร์มเพาะพันธุ์และโรงงานขึ้นมาตามที่เสี่ยวเถียนบอก จึงต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่น ๆ
และหากได้พวกเขาให้ความช่วยเหลือจะยิ่งสะดวกขึ้นมาก
ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ทุกคนต่างมีชีวิตเป็นของตัวเอง การเชื่อฟังแต่หัวหน้าไม่มีอีกต่อไป
ชายชราทั้งสามอายุร่วมเกือบสองร้อยปีใคร่สนใจของใหม่ที่เจ้าของบ้านเอาออกมาวางตรงหน้า
พวกเขาเคยเห็นบรรจุภัณฑ์แบบนี้มาก่อน แต่ไม่เคยเห็นในลักษณะเช่นนี้มาก่อนเลย
ทุกอย่างในนั้นจะโดนกดจนแน่นเลยใช่ไหม?
ตอนนั้นเองที่ลุงเก้าตู้มาถึง
“ผู้ใหญ่บ้านกลับมาแล้วเรอะ? มีเรื่องดีอะไรหรือเปล่ากลับมาถึงก็ชวนดื่มเลย”
คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านแซ่ซู แต่มีบางส่วนที่ใช้แซ่อื่น เพื่อไม่ให้โดนคนตระกูลซูรังแกคน คนเหล่านี้จึงรักใคร่กลมเกลียวกับซูฉางจิ่วมาก
ลุงเก้าตู้เป็นคนเก่ง นั่นคือเหตุผลที่ซูฉางจิ่วเชิญเขามาในวันนี้
“เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับของพวกนี้หรอก พอดีมีอะไรนิดหน่อยเลยอยากหารือด้วยน่ะ”
เขาไม่คิดจะปิดบังอยู่แล้ว
หลังจากทุกคนนั่งลง สายตาเห็นเจ้าของบ้านฉีกถุงแล้วเทเนื้อข้างในออกมา
“ฉางจิ่ว เนื้อนี่ปรุงสุกแล้วหรือ?” เลขาถาม
“ปรุงสุกแล้วครับ กินได้ทันที วันนี้เราเอามาทำเป็นกับแกล้มน่ะ”
ซูฉางจิ่วยิ้มก่อนจัดเนื้อใส่จาน ดูใช้ได้เหมือนกันนะ
มีเนื้อชิ้นใหญ่ ไส้ใหญ่ หูหมู หนังหมู น่องไก่ ตีนไก่ และไข่ไก่
หลังจากจัดจานเสร็จ คนอื่น ๆ ที่มองอยู่ก็น้ำลายไหล
ฝ่ายแม่และภรรยาเสี่ยวถงมาถึงที่บ้านก็เห็นบนโต๊ะเต็มไปด้วยเนื้อ
พวกเธอตกใจมาก
ไอ้เราก็รีบเตรียมกับแกล้มไว้สี่อย่าง ทำไมจู่ ๆ ก็มีเนื้อเต็มไปหมดเลยเนี่ย?
“ฉันเห็นว่าพวกคุณจะดื่มกัน แต่ไม่มีอาหารเลยรีบทำมาให้ค่ะ ไม่นึกว่าจะมีเนื้อกันอยู่แล้ว”
ภรรยาเสี่ยวถงยิ้มก่อนวางอาหารที่ทำมาไว้บนโต๊ะ
“ภรรยาเสี่ยวถงก็มาด้วยเรอะ? รบกวนช่วยหั่นเนื้อพวกนี้หน่อยสิ ชิ้นมันใหญ่ไปหน่อยน่ะ!” ซูฉางจิ่วเห็นเธอจึงเอ่ยไหว้วานตรง ๆ
“ได้เลยค่ะ”
ภรรยาเสี่ยวถงเข้าครัวเตรียมหั่น
“ผู้ใหญ่บ้าน แม่เสี่ยวเฉ่าล่ะคะ?”
แม่ของซูเสี่ยวถงไม่เห็นจูหลานฮวาจึงเอ่ยถาม
“พี่สะใภ้แกอยู่ต่อน่ะ บอกว่าอยากเที่ยวเล่นสักหน่อยฉันเลยกลับมาก่อน”
“เที่ยวเล่นก็ดีเหมือนกันนะ ตอนนี้ในบ้านฝุ่นเขรอะมากเลย คุณกลับมาตัวคนเดียวด้วย เดี๋ยวฉันให้ต้าฟางมาช่วยทำความสะอาดแล้วกันนะคะ เพราะไม่มีคนอยู่นาน”
ตอนนั้นเองที่สายตาเธอเหลือบไปเห็นถังน้ำและผ้าขี้ริ้วที่เจ้าของบ้านเพิ่งใช้
ซูฉางจิ่วหมายจะห้าม แต่ได้ซูเสี่ยงถงโน้มน้าวใจ
ต้าฟางผู้เป็นภรรยาของเสี่ยวถงกลับมาพร้อมกับเนื้อที่หั่นเสร็จแล้ว
“ผู้ใหญ่บ้าน เนื้อกลิ่นหอมมากเลยค่ะ!” หญิงสาวยิ้มขณะเดินกลับมา
คนอื่น ๆ มองเนื้อในจาน ด้านบนโรยด้วยต้นหอมและพริกแดงสับ ทำให้ดูน่ากินกว่าเดิม
“จานนี้เป็นเนื้อที่คุณเอากลับมาหรือ? เอามาจากเมืองหลวงเลยหรือเปล่า?” เลขาถาม
เขาใช้ชีวิตมานานกว่าหกสิบปี นี่เป็นครั้งแรกที่เพิ่งได้เห็นอะไรแบบนี้
ซูเสี่ยวถงแทบไม่อยากเชื่อ จึงเข้าไปดมกลิ่นใกล้ ๆ หอมมากเลย ไม่เสียด้วย
“มันไม่เสียเลยหรือครับ?”
“เสี่ยวเถียนบอกว่าเก็บไว้ได้ถึงครึ่งปีเลยนะ”
“เนื้อนี่ดูดีกว่าของเราเยอะเลย”
ซูเสี่ยวถงถอนหายใจ เสียดายจังที่ชีวิตนี้ไม่มีโอกาสได้ไปเยือนเมืองหลวงเสียแล้ว
ตอนนั้นเองที่ทุกคนเริ่มเข้าใจถึงสิ่งที่ซูฉางจิ่วต้องการเรียกมาในวันนี้
หลังจากรินสุราให้ เจ้าของบ้านก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น
“เลขา คุณว่าถ้าเราจะเปิดโรงงาน คุณมีความเห็นว่ายังไงบ้างครับ?”
ไม่ทันได้ตอบ ซูเสี่ยวถงพลันเป็นฝ่ายวิตกจริตคนแรก
“ผู้ใหญ่บ้านเมารถไฟหรือเปล่าครับ? เราจะสร้างโรงงานได้ยังไงกันครับ ขนาดมณฑลเรายังทำไม่ได้เลยนะ!”
ชายหนุ่มคิดว่าผู้ใหญ่บ้านคงสมองได้รับกระทบกระเทือนแน่ ๆ หรือไม่ก็คงได้รับประสบการณ์ที่ดีมาถึงได้กล้าหาญมากขึ้น
เฮ้อ ต้องไปเห็นด้วยตัวเองก่อนสินะ
ฝ่ายผู้ใหญ่ตวัดสายตามองเด็กหนุ่ม ไอ้เด็กนี่มันพูดอะไรเนี่ย?
“เวลาผู้ใหญ่พูดอย่าขัด!”
ซูฉางจิ่วนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เด็กคนนี้คือผู้สืบทอดตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านที่ตนจะฝึก จะไม่ว่าอะไรเลยได้ยังไงกัน?
ไม่ใช่พูดเฉย ๆ แต่ต้องพูดให้ดีและสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง
ไว้กลับไปค่อยเตือนสักหน่อยอย่าพูดจาซี้ซั้ว!
“แกคิดว่าฉันไม่รู้หรือยังไง? เพราะเราสู้ไม่ได้จึงต้องทำเพื่ออนาคตไม่ใช่หรือ?
เขานึกถึงสิ่งที่หลานสาวบอกไว้ก่อนจะจากกัน
เสี่ยวเถียนบอกว่าตอนนี้ภาครัฐกำลังสนับสนุนกิจการของหมู่บ้านและชุมชน ถ้าช้ากว่านี้จะพลาดโอกาสเอาได้
ทั้งยังกล่าวเสริมอีกว่าให้เขาลองสมัครขอเงินทุนสนับสนุนจากเบื้องบนดู
“จริงจังใช่ไหม? คุณว่าเราทำได้หรือ?”
ลุงเก้าตู้เอ่ยขึ้น
“ทำได้ครับ แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพวกเราด้วยนะ คุณอาจจะไม่รู้ว่าโลกข้างนอกนั้นมันเป็นยังไง” ซูฉางจิ่วว่า “ถ้าไม่ทำอะไรเลย จะไล่ตามใครไม่ทันแน่ ๆ!”
“ถ้าฉางจิ่วว่าทำได้ก็เอาเลย ฉันสนับสนุนอยู่แล้ว!” เลขา
ในฐานะคนที่ทำหน้าที่เป็นเลขาของหมู่บ้าน เขามักจะให้ซูฉางจิ่วที่อายุน้อยกว่ายี่สิบปีเป็นคนจัดการเสมอ
“คุณไปถามครอบครัวซูชวนมาด้วยใช่ไหม?” ปู่เจ็ดถาม
เขาว่าตระกูลซูเก่งนะ อยู่เมืองหลวงได้ตั้งนานนม ทั้งยังมีทายาทมากความสามารถอีก
ถ้าในหมู่บ้านมีคนแบบนี้เราก็คงอยากถามเหมือนกัน
ซูฉางจิ่วยิ้มขมขื่น “เป็นความคิดของครอบครัวลุงซูชวนครับ คนสมองบื้อแบบผมไม่มีทางคิดเรื่องนี้ได้หรอก!”
ซูฉางจิ่วไม่ได้บอกว่าอาหารที่พวกเขาเห็นกันอยู่ ผลิตจากโรงงานตระกูลซู
มันเป็นธุรกิจของเสี่ยวเถียนน่ะ เรื่องบอกคนในหมู่บ้านยกให้ที่บ้านเขาพูดเองดีกว่า
ต่างคนต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง หากไปถึงหูซูซานเข้าอาจจะเกิดปัญหาขึ้นก็ได้
ปู่เจ็ดเงียบไป
ในใจพลันคิดว่าสิ่งที่ครอบครัวซูชวนแนะนำมาจะต้องเป็นหนทางที่ถูกต้อง
“พวกเขาอยู่เมืองหลวงมาหลายปี ได้ร่ำเรียนหนังสือ แถมยังมีลูกเขยเป็นข้าราชการตำแหน่งสูงอีก ถ้าพวกเขาว่าทำได้เราก็ทำได้”
ปู่สามซูเห็นด้วย
“ในเมื่อทุกคนไม่มีข้อโต้แย้ง งั้นเรียกผู้ชายในหมู่บ้านทั้งคนหนุ่มคนแก่มาหารือกันนะ เราจะเริ่มจากฟาร์มกันก่อน แล้วค่อยทำโรงงานแปรรูปอาหาร”
ซูฉางจิ่วมั่นใจมากขึ้น
ฝ่ายเลขาเพิ่งได้สติ “ยังแปลกใจอยู่ว่าทำไมเสี่ยวถงถึงบอกให้คนมาทำความสะอาดฟาร์ม ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง!”
ซูฉางจิ่วกับซูเสี่ยวถงหัวเราะ
หลังจากคุยเรื่องสำคัญระหว่างดื่มอยู่ ฝั่งแม่และภรรยาของซูเสี่ยวถงที่อยู่ในบ้านไม่ได้รับรู้เลยว่ามีการพัฒนาครั้งสำคัญจะเกิดขึ้นในหมู่บ้านเลย