เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 1062 ความอิจฉา
บทที่ 1062 ความอิจฉา
บทที่ 1062 ความอิจฉา
ภายในร้านกว้างขวาง สว่างสดใส ซูซื่อเลี่ยงทอดถอนใจไม่นึกแปลกใจเลยว่าทำไมถึงตั้งชื่อ ‘เมืองอาหารว่าง’
ที่แห่งนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเมืองเมืองหนึ่งจริง ๆ
โครงสร้างของที่นี่คล้ายกับโรงอาหารของมหาวิทยาลัย
แต่ไม่ได้เหมือนเสียทีเดียว
ร้านค้าในโรงอาหารจะมีเครื่องหมายหนึ่ง สอง สาม ตามลำดับติดเอาไว้ แต่แผงร้านของเมืองอาหารว่างจะมีป้ายเป็นของตัวเอง
ทำให้ลูกค้าที่ได้เห็นรู้สึกถึงความมีคุณภาพที่เพิ่มขึ้น
“ความคิดดีนะเนี่ย! คงเป็นนักทำเงินที่เก่งกาจอย่างเสี่ยวซื่อแน่เลย!” ซูซื่อเลี่ยงชื่นชม
ซูเสี่ยวเถียนรู้สึกภาคภูมิใจ
“พี่รอง ลองมองไปทางนั้นดูสิคะ”
“คนนั้นหน้าตาดูคุ้น ๆ นะ!”
ซูซื่อเลี่ยงเห็นจูหลานฮวาสวมหน้ากาก และใส่ชุดใส่หมวกเชฟจึงจำไม่ได้ในคราวแรก
แต่หน้าตาอีกฝ่ายดูคุ้นตามากจริง ๆ
ตั้งแต่ลายมือบนป้ายหน้าประตูไล่มาถึงบุคคลตรงหน้านี้อีก ทำไมมีแต่อะไรคุ้น ๆ ตาทั้งนั้นเลย
“พี่รอง จำคุณป้าภรรยาคุณลุงฉางจิ่วไม่ได้หรือคะ?”
อะไรนะ?
ซูซื่อเลี่ยงชะงักงัน
คุณป้ามาเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อไร?
แถมยังเปิดร้านค่าใหญ่โตขนาดนี้เลยหรือ?
หรือชาวบ้านหนานหลิ่งเก่งมากจนมาเปิดกิจการที่นี่ได้แล้ว?
การทำงานหาเงินในเมืองหลวงถือว่าง่ายดายก็จริง ทว่าสิ่งนี้จำกัดเฉพาะคนที่เก่งจริงเท่านั้น
ในขณะนั้น การมาถึงของซูเสี่ยวเถียนเรียกความสนใจเจ้าของแผงทุกคนได้ในทันที
คราวแรกเห็นเด็กสาวให้เราเช่าแผงร้านเล็ก ๆ ยังนึกใคร่สงสัย
และที่ตอบตกลงจะเช่าไปเพราะเป็นค่าเช่าเดือนแรกลดครึ่งราคาน่ะ
ทว่านี่ก็ผ่านมาสามเดือนแล้ว ธุรกิจเมืองอาหารว่างของเราขายดิบขายดีขึ้นเรื่อย ๆ เลย
พ่อค้าแม่ค้าทำงานหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำ อีกทั้งทุกคนยังขยันขันแข็งกันมาก
ยิ่งมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับซูเสี่ยวเถียนผู้พลิกชะตาชีวิตของพวกเขาแล้ว ย่อมสร้างแรงบันดาลใจให้มากโข
“เสี่ยวเถียนมาแล้วหรือจ๊ะ? พี่สะใภ้จะทำบะหมี่เนื้อแกะตุ๋นให้นะ”
คนแรกที่เอ่ยคือเถาฮุ่ยซิ่วที่กำลังทำบะหมี่เนื้อแกะตุ๋น หญิงสาวมองซูเสี่ยวเถียนด้วยความรักใคร่ราวกับอีกฝ่ายเป็นน้องสาวแท้ ๆ
“เสี่ยวเถียน ฉันเสิร์ฟขนมปังไส้เนื้อเพิ่มด้วยได้ไหม? ไอหยา ว่าแต่วันนี้พาใครมาด้วยเนี่ย เป็นพ่อหนุ่มรูปงามเชียวนะ”
ตามมาด้วยคนที่สอง เจ้าของร้านขนมปังไส้เนื้อเป็นชายวัยกลางคนไว้หนวดเครา
ถึงท่าทางจะดูหยาบกระด้างไปบ้าง แต่อาหารที่เขาทำรสชาติดีมาก
ต่อด้วยคนที่สาม คนที่สี่…
ซูซื่อเลี่ยงได้แต่ยืนตกอกตกใจ
นี่มันสถานการณ์อะไรกันเนี่ย?
ไม่อยู่บ้านเพียงไม่กี่เดือนเอง ทำไมรู้สึกราวกับว่ายัยเด็กคนนี้ทำเรื่องยิ่งใหญ่เลย?
เมื่อนึกย้อนกลับไปตอนเห็นน้องสาวทำหน้าแปลก ๆ ชอบกล ชายหนุ่มคล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้
ต่อให้คุณป้าเก่งแค่ไหน แต่คนที่เพิ่งเดินทางเข้าเมืองหลวงมาครั้งแรกไม่มีทางสร้างร้านค้าใหญ่โตขนาดนี้ได้หรอก
หากบอกว่าเป็นฝีมือของซูเสี่ยวเถียนเล่า เช่นนั้นก็สมเหตุสมผลแล้วละ
ร้านค้าแห่งนี้เหมือนเอาตลาดกลางคืนมารวมกันไว้เลย
“คนนี้เป็นพี่รองของฉันเองค่ะ วันนี้อยากพาเขามาลองอะไรใหม่ ๆ ดู พี่รองอยากกินอะไรคะ?”
ซูเสี่ยวเถียนยิ้มขอบคุณ ก่อนแนะนำพี่ชายให้ทุกคนได้รู้จัก
คราแรกยังนึกสงสัยว่าเป็นคนรักกันหรือเปล่า เพราะเหมือนจะเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย
แต่อีกใจก็คิดว่าซูซื่อเลี่ยงดูโตไปนิดหนึ่ง
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญเสียหน่อย ผู้ชายที่โตแล้วเป็นคนรักจริงนะ
ทว่าเมื่อรู้ว่าเป็นพี่น้อง ความคิดของผู้คนพลันเปลี่ยนไป
บ้านนี้เชื้อดีจังเลยนะ พี่น้องหน้าตาดีทั้งคู่เลย
จูหลานฮวาเห็นเจ้าสองพี่น้องที่กำลังถูกผู้คนรายล้อมแล้ว
ตนจึงรีบฝากร้านไว้กับผู้ช่วย แล้วเข้ามาหาทันที
“เสี่ยวเถียนมาแล้วหรือ? ซื่อเลี่ยงก็กลับมาแล้วเหมือนกันสินะ?”
“สวัสดีครับคุณป้า ผมกลับมาแล้วครับ แต่ไม่นึกเลยว่าคุณป้าจะมาเปิดร้านที่เมืองหลวงกับเขาด้วย”
จูหลานฮวายิ้ม “ผลงานเสี่ยวเถียนเขาเลยจ้ะ ถ้าไม่ได้เด็กคนนี้คงไม่มีแผงร้านให้ป้าทำหรอก”
ที่พูดไปคือเรื่องจริงนะ ตอนแรกมีแค่ตนคนเดียวเท่านั้น แต่ได้หลานสาวช่วยเอาไว้ ทั้งเช่าร้านทั้งจ่ายเงินให้ล่วงหน้า
ขนาดเรื่องประชาสัมพันธ์ร้าน เจ้าตัวยังทำเองเลย
ถ้าไม่ได้เธอร้านค้าแห่งนี้คงไม่เกิดขึ้นหรอก
ตอนนี้ผ่านมาสองสามเดือนได้แล้ว ต้องขอบคุณซูเสี่ยวเถียนจริง ๆ ที่ทำให้เธอมีเงินเก็บ
“เสี่ยวเถียน รีบพาพี่ชายมานั่งเถอะ เดี๋ยวพี่เอาอาหารมาเสิร์ฟให้นะจ๊ะ” เถาฮุ่ยซิ่วคว้าแขนเด็กสาวก่อนหาโต๊ะริมหน้าต่างให้สองพี่น้องนั่ง
สองพี่น้องทรุดตัวลงนั่ง พลางปรึกษากันว่ามื้อนี้จะกินอะไรดี
ทว่าไม่ทันได้คิดอาหารมากหน้าหลายตาก็เอามาเสิร์ฟจนเต็มโต๊ะ
เป็นอาหารที่แต่ละร้านนำมาให้อย่างละนิดอย่างละหน่อย
เห็นว่ามากันสองคน กลัวกินกันไม่หมด
เกิดอาหารเหลือเยอะแล้วต้องทิ้ง ก็เสียดายของแย่
“พวกเขาดูแลเธอดีจังเลยนะ!” ซูซื่อเลี่ยงไม่รู้จะพูดอะไรดี
น้องเล็กโด่งดังจนเป็นที่ชื่นชอบของผู้อื่นแล้ว ไม่สิ ขนาดคนไม่รู้จักยังชื่นชอบเธอเลย
ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ชายหนุ่มไม่รู้คือ พวกเขาชอบเพราะเสี่ยวเถียนเอาโชคลาภมาให้ต่างหาก
“พี่รองรีบกินเถอะค่ะ เดี๋ยวเย็นแล้วจะไม่อร่อยนะ!” ซูเสี่ยวเถียนยิ้มแล้วเริ่มกินฉางเฝิ่น
โดยที่ไม่ลืมคีบใส่ถ้วยให้อีกฝ่ายด้วย
“พี่รองอย่าดูแคลนร้านนี้เชียวนา กำไรปีกหนึ่งมากกว่าหออีหมิงของเราอีก”
ตอนแรกที่คิดธุรกิจนี้ขึ้นมาก็ไม่นึกว่าจะเป็นที่นิยมขนาดนี้หรอก
พี่สี่มาเห็นถึงกับเช่าร้านเพิ่มอีกสามแห่งเลย เจ้าตัวว่าจะเอาไปทำเป็นเมืองอาหารว่างเหมือนกันน่ะ
เธอได้ยินมาว่าตกแต่งร้านเรียบร้อยแล้ว น่าจะเปิดให้บริการในอีกอาทิตย์สองอาทิตย์นี่ละ
ขนาดเป็นแค่ของกินเล่นเองนะ ลูกค้ายังแน่นขนาดนี้เลย
“เสี่ยวเถียนเก่งจัง หลังจากนี้ต้องหวังพึ่งเธอแล้วละ!”
น้ำเสียงของคนเป็นพี่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจราวกับว่าเขาเป็นคนได้เงินเสียเอง
“ไม่มีปัญหาค่ะ!”
เด็กสาวเอ่ยอย่างใจกว้าง เรียกเสียงหัวเราะจากซูซื่อเลี่ยงได้
เหล่าเจ้าของแผงร้านเห็นความสัมพันธ์สองพี่น้องได้แต่นึกอิจฉา
พวกเขาไม่รู้ว่าทั้งสองคนเกิดจากคนละพ่อคนละแม่
ส่วนจูหลานฮวาที่กำลังทำงานอยู่มองภาพนั้นด้วยความเศร้าใจ
ทำไมลูกชายถึงทำให้เป็นกังวลทั้งคู่เลยนะ?
ดูเด็ก ๆ ตระกูลซูสิ สนิทสนมกันดีเชียว!
ถึงจะต่างพ่อต่างแม่ แต่สนิทยิ่งกว่าพี่น้องแท้ ๆ เสียอีก
ซื่อเลี่ยงสนิทกับเสี่ยวเถียนมาก ไม่เหมือนลูก ๆ ทั้งสามที่พี่ชายไม่ได้สนิทกับน้องเลยสักนิด
เมื่อไรเราจะได้สัมผัสถึงความอบอุ่นแบบนี้บ้างนะ?
ขณะนั้นเองซูเสี่ยวเฉ่าได้เดินทางมาถึงที่ร้าน