เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 1110 เดินซื้อของ
บทที่ 1110 เดินซื้อของ
บทที่ 1110 เดินซื้อของ
ระยะเวลาล่วงเลยผ่าน ตอนนี้เธอรู้เรื่องกำไรจากยอดขายส่วนตัวที่เซี่ยงอิงทำได้แล้ว
แต่ยังขาดหลักฐาน ถ้ามอบหมายให้อวี๋กวางฮุยจัดการต้องลุล่วงไปด้วยดีแน่
ที่น่าประหลาดใจคืออี้เทียนเลี่ยงที่คิดเล็กคิดน้อยไม่เคยทำเรื่องผิดกฎหมายเลยเนี่ยสิ
แต่ไม่แน่ว่าอนาคตอาจผันตัวเป็นหนอนบ่อนไส้ก็ได้
ด้วยนิสัยของอีกฝ่ายแล้วย่อมทำได้แน่นอน
แต่เธอยังไม่ต้องสนใจตอนนี้
ตอนนี้ผู้จัดการฝ่ายขายอย่างเซี่ยงอิงกล้าลงมือกับโรงงาน งั้นก็เตรียมตัวรับกรรมได้เลย
คนแบบนี้เลี้ยงไว้ไม่ได้หรอกมีแต่ผลเสียกับตัวเองทั้งนั้น อนาคตโรงงานอาจถูกทำลายเพราะเขาก็ได้
อวี๋กวางฮุยถูกเรียกไปหา เขากำลังนึกอยู่ว่ามีเรื่องอะไรหรือเปล่า
เจ้านายไม่ได้อ่านเอกสารอยู่หรือ?
หรือมีเรื่องไม่เข้าใจเลยอยากถาม?
จะว่าไป ด้วยวัยของเธอ การนั่งอ่านเอกสารสงบ ๆ ทุกวันไม่ใช่เรื่องง่ายนะ
เด็กวัยนี้จะมีความอดทนขนาดนั้นได้ยังไง?
“เจ้านาย ท่านมาถึงลี่เฉิงได้อาทิตย์กว่าแล้ว แต่ยังไม่เคยเดินชมความเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองเลย บ่ายนี้ให้ผมพาท่านเดินชมดีไหมครับ?”
อวี๋กวางฮุยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเรียกมาด้วยเรื่องอะไร แต่คิดไว้ว่าควรทำหน้าที่เจ้าบ้านอย่างดี
เด็กสาวยิ้มและเชิญอีกฝ่ายนั่ง
“ที่ฉันเรียกมาเพราะมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วยค่ะ ส่วนเรื่องเที่ยวชมลี่เฉิงไว้คราวหน้านะคะ!”
ตั้งแต่มายังไม่ได้ใช้เวลากับพวกคุณอาเลย
ผู้ใหญ่ไม่ได้พูดอะไร แต่ลูกพี่ลูกน้องเอาแต่บ่นประท้วงหลายรอบแล้ว
เธอเลยจะฝากฝังงานนี้ไว้ให้อวี๋กวางฮุยจัดการ และกลับบ้านไปอยู่กับอาใหญ่และน้องชาย
รอยยิ้มที่ส่งไปไม่ถึงดวงตาทำให้ผู้อำนวยการตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“ท่านพูดมาได้เลยครับ!” เขาดีดตัวตรง
ซูเสี่ยวเถียนยื่นสมุดเล่มเล็กไปให้
อวี๋กวางฮุยมองพลางขบคิด
ก่อนจะรับมาและอ่านด้วยความสงสัย
เพียงไม่นานสีหน้าก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นย่ำแย่ยิ่ง
“นี่มัน…”
เขารู้สึกหนาวสั่นตามกระดูกสันหลัง
เจ้านายมอบโรงงานให้เขาจัดการ เพิ่งจะไม่นานทำไมเกิดเรื่องแบบนี้ได้?
ปกติเขารอบคอบมากเลยนะ ไม่คิดเหมือนกันว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้น
“เป็นความประมาทของผมเองครับ! ผมจะจัดการให้ทันทีเลยครับ!”
ซูเสี่ยวเถียนไม่ได้ตั้งใจจะระบายโทสะใส่อีกฝ่ายอยู่แล้ว
ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนเงินทองก็ล่อลวงใจคนเสมอนั่นละ
เซี่ยงอิงเป็นผู้จัดการฝ่ายขาย การทุจริตเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนไม่ใช่เรื่องยาก
“จัดการให้ดีเลยนะคะ ไม่คิดเลยว่าพอเราสร้างกำไรได้แล้วจะเจอพวกหนอนแมลงแบบนี้ ไม่อยากจะนึกเลยค่ะถ้าปล่อยมันทิ้งเอาไว้”
อวี๋กวางฮุยยืนตัวตรง และลดสายตาลง “ผมรู้ถึงความร้ายแรงของมันดีครับ เรื่องของเซี่ยงอิงผมจะจัดการอย่างเหมาะสม และจะคิดแผนการกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้เรื่องนี้เกิดขึ้นอีกครับ”
ซูเสี่ยวเถียนพยักหน้า
ทำไว้ก็ดี
อวี๋กวางฮุยเป็นคนรอบคอบ ไม่แปลกใจที่อาเขยจะยกย่อง
คนแบบนี้ถ้ามีพื้นที่ให้แสดงความสามารถ อนาคตไปได้ไกลแน่นอน
วันต่อมา ซูเสี่ยวเถียนใช้เวลาสองสามชั่วโมงอยู่ที่โรงงาน
เธอทำความเข้าใจสถานการณ์คร่าว ๆ และความคิดผ่านสนทนากับพวกคนงาน
เวลาที่เหลือเธอก็กลับมาเล่นกับน้องชายที่บ้าน
ส่วนพี่รองไม่รู้ยุ่งอะไรอยู่ ไม่เห็นหัวเห็นหางเลย
แต่เพราะเขาเคยอยู่ที่นี่มาเกือบปี คงมีสังคมให้เข้านั่นละ เลยไม่ได้สนใจ
“เสี่ยวเถียน อาใหญ่ว่าจะพาไปเดินซื้อของ ที่นี่มีถนนคนเดินที่ขายพวกเสื้อผ้าและเครื่องประดับสวย ๆ ทั้งนั้นเลยนะ บางอย่างก็มาจากเซียงเจียง บางอย่างก็มาจากต่างประเทศ!”
ปกติซูหม่านซิ่วจะส่งเสื้อผ้าและเครื่องประดับไปให้หลานนาน ๆ ครั้ง คราวนี้เจ้าตัวมาลี่เฉิงด้วยจึงอยากพาไปดูด้วยตัวเองเลย
ซูเสี่ยวเถียนวางพู่กัน “หนูมีเสื้อผ้าใส่พอแล้วค่ะ ป้าเถาฮวาส่งมาให้ทุกฤดูกาลเลย!”
“จะไปเหมือนกันได้ยังไง? นั่นพี่เถาฮวาเขาให้ แต่นี่อาให้เองนะ!”
ซูหม่านซิ่วมองอย่างโกรธ ๆ แล้วลากเธอออกมาทันที
เฉินซิ่วหย่วนวางพู่กันในมือ ร้องจะไปด้วย
เด็กสาวโดนดึงรั้ง สุดท้ายก็พากันออกไป
ทั้งสามเดินเอื่อยไปตามทาง
“ไม่ไกลเท่าไร เราเดินกันเถอะ” ซูหม่านซิ่วว่า “มาลี่เฉิงทั้งที ยังไม่ทันได้เที่ยวก็จะกลับแล้วเนี่ย”
“ถนนหนทางของที่นี่มีแต่ต้นลิ้นจี่ เป็นฤดูที่มันจะบานพอดีน่ะ หอมมากเลย เป็นกลิ่นที่หาที่ไหนไม่ได้แล้วนะ”
“หนูคงไม่รู้หรอกว่าสมัยอามาใหม่ ๆ ไม่ได้เป็นแบบนี้หรอกนะ”
“ตอนนั้นลี่เฉิงยังสร้างอยู่เลย คงจินตนาการไม่ออกแน่ ๆ ว่ามันพัฒนาไวขนาดไหน”
ในฐานะคนที่ได้เห็นหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ กลายเป็นเมืองสมัยใหม่ทุกวันนั้นซูหม่านซิ่วรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก
“อาเคยใส่เรื่องราวพวกนี้ลงไปนะ แต่รู้สึกว่าจินตนาการเทียบกับการพัฒนาในโลกแห่งความเป็นจริงไม่ได้เลย”
“อาใหญ่เอาเรื่องที่เคยเห็นมาเขียนก็ได้นะคะ”
ก่อนหน้านี้อาใหญ่เคยเขียนนวนิยายบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ แต่ตอนนี้เรามีสักขีพยานอย่างยุคสมัยให้เห็นแล้ว น่าลองเขียนนวนิยายเชิงสารคดีเหมือนกันนะ
“อากำลังเขียนอยู่น่ะ อยากบันทึกเรื่องราวในยุคสมัยด้วยปลายปากกาและภาษาของอาเอง!”
ซูเสี่ยวเถียนยิ้ม “อาใหญ่โชคดีแล้วค่ะที่ได้เป็นพยานและผู้บันทึกยุคสมัยอันยิ่งใหญ่นี้น่ะ!”
ซูหม่านซิ่วยิ้มอย่างสดใส
หากเป็นสิบปีที่แล้วคงจินตนาการไม่ออกว่าวันหนึ่งเราจะมีชีวิตแบบนี้!
ในขณะที่บรรยากาศเป็นใจ กลับมีหญิงวัยหกสิบเศษ มีกระหย่อมผมหงอกพุ่งพรวดเข้ามาหา
จากนั้นวิ่งมาตรงหน้าซูเสี่ยวเถียน แล้วคุกเข่าคำนับเธอ