เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 1145 เพื่อการแปลที่ดียิ่งขึ้น
บทที่ 1145 เพื่อการแปลที่ดียิ่งขึ้น
บทที่ 1145 เพื่อการแปลที่ดียิ่งขึ้น
ขณะที่กำลังอ่านหนังสือก็ได้รับงานใหม่
คนที่เข้ามามอบหมายงานให้คือหัวหน้าเติ้ง
เขาเข้ามาทำงานในกระทรวงเร็วกว่าซูโส่วเวิน
แต่ไม่ได้ทำงานด้านการแปลนะ เขาทำงานด้านธุรการ
ซึ่งเธอชื่นชมซูเสี่ยวเถียนผู้เชี่ยวชาญภาษาต่างประเทศหลายภาษามาก ถึงตนจะทำงานในกระทรวงต่างประเทศ แต่รู้แค่บทสนทนาง่าย ๆ เท่านั้น
ซูเสี่ยวเถียนตื่นเต้นมากเมื่อได้ยินคำว่า…ประเทศเยอรมนี!
พี่อี้หย่วนคงใกล้จะกลับแล้วใช่ไหม?
ถึงจะส่งจดหมายหากันได้ แต่มันล่าช้าจนเกินไป!
ตลอดทั้งปีเพิ่งจะส่งหากันได้แค่สองสามฉบับเอง
เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่เขาสบายดีหรือเปล่า
เห็นเด็กสาวดูงง ๆ หัวหน้าเติ้งจึงถามด้วยความสงสัย “เป็นอะไรไปหรือเปล่า? ฉันจำได้ว่าเธอเชี่ยวชาญเยอรมันใช่ไหมหรือจำผิด?”
ในฐานะที่ทำงานด้านธุรการ หัวหน้าเติ้งย่อมรับรู้ถึงสถานการณ์ของทุกคน
ซูเสี่ยวเถียนเชี่ยวชาญเยอรมัน ข้อนี้เธอจำไม่ผิด
“ขอโทษค่ะ พอดีหนูคิดเรื่องอื่นอยู่น่ะค่ะ”
เธอรีบกล่าว
การคิดเรื่องอื่นขณะสนทนากับผู้อื่นถือเป็นการกระทำที่หยาบคายมาก
หัวหน้าเติ้งไม่ได้คิดมาก นึกว่าเด็กสาวเหนื่อย
เพราะเจ้าตัวมีหน้าที่รับผิดชอบงานแปลให้ใครหลาย ๆ คน
ไม่ว่าจะเป็นล่ามหรือแปลงานเอกสาร เธอมักเป็นตัวเลือกแรกเสมอ
“ถึงเธอจะยังเด็ก แต่ทำงานเหนื่อยเกินไปไม่ได้นะ ช่วงนี้พักผ่อนเถอะ ไว้คณะผู้แทนมาก็ไม่ได้พักแล้วนะ!”
เธอเอ่ยอย่างใจดี
เด็กเพิ่งอายุแค่นี้จะให้ทำงานหนักได้ยังไง?
“เข้าใจแล้วค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ หนูจะทำให้เต็มที่ค่ะ”
เด็กสาวเอ่ยด้วยความมั่นใจ
“ฉันเชื่อว่าเธอทำได้จ้ะ”
ว่าจบก็จากไป
พวกถังผิงมองด้วยความอิจฉา
สายตาอิจฉาล้วน ๆ ไม่มีอย่างอื่นผสม
ตอนนี้เราจะทำงานได้ก็ต่อเมื่อมีคณะผู้แทนมา
ทว่าไม่ได้รับความไว้วางใจมากเท่าซูเสี่ยวเถียน
แต่เป้าหมายย่อมไม่เปลี่ยน นั่นคือการได้ทำงานที่นี่
ช่วงนี้จึงตั้งใจอย่างเต็มที่เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว
แต่กลับรู้สึกว่าความพยายามพวกนี้คงไม่ได้รับการตอบแทน
ซูเสี่ยวเถียนคงได้อยู่ต่อแน่
เรามีโอกาสเดียวเท่านั้น
ตอนนี้เราได้เผชิญหน้ากับช่องว่างระหว่างตัวเองกับซูเสี่ยวเถียนแล้ว
แต่ทำได้แค่อิจฉาสัตว์ประหลาดอย่างเธอเท่านั้น
ถ้าไล่ตามไม่ทัน นอกจากอิจฉาแล้วเราจะไปทำอะไรได้อีกล่ะ?
“เสี่ยวเถียน ทำไมเธอเลือกเรียนเอกจีนแทนที่จะเลือกเรียนภาษาต่างประเทศล่ะ?”
ถังผิงไม่เข้าใจสักนิด
เรื่องนี้เป็นปัญหาที่กวนใจเธอมานาน
ซูเสี่ยวเถียนเงียบไปครู่หนึ่ง
ถ้าบอกว่าเลือกเอกจีนเพราะไม่รู้จะเรียนอะไรได้ไหม?
จะโดนทุบหรือเปล่า?
เหมือนอวดเลย!
“ฉันอยากแม่นภาษาแม่ก่อนน่ะ ถึงจะทำงานแปลภาษาต่างประเทศได้”
ที่จริงเธอพูดไปอย่างนั้นแหละ
แต่หลาย ๆ คนได้ฟังกลับรู้สึกสมเหตุสมผล
รู้เขารู้เราสินะ!
ถ้าไม่เก่งภาษาแม่ แล้วจะแปลให้แม่นยำได้ยังไง?
พวกผู้นำพูดเสมอเลยว่า พวกเขาใช้คำแข็งไปหน่อย
หรือไม่ใช่เพราะเขาไม่เข้าใจภาษาต่างประเทศ แต่เป็นไม่แม่นยำภาษาแม่มากกว่า?
แค่ระดับภาษาต่างประเทศสูง แต่ถ้าไม่เชี่ยวชาญพอแล้วจะแปลให้สวยได้ยังไง?
ถังผิงเหมือนจะคิดได้เพราะประโยค ก่อนได้พบกับสิ่งที่ตัวเองขาดมาโดยตลอด
“มีเหตุผลมาก แสดงว่าที่งานแปลเราเหมือนขาดอะไรไปเป็นเพราะไม่เข้าใจภาษาแม่ดีพอสินะ!”
ถังผิงเอ่ย
ซูเสี่ยวเถียนอยากอธิบาย แต่ไม่รู้จะพูดยังไงดี
เธอหลอกเพื่อนอยู่หรือเปล่าเนี่ย?
เอาเถอะ ไม่ใช่เรื่องแย่เสียหน่อย!
การทำให้พวกเขาขยันมากขึ้นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน
ในไม่ช้า ทุกคนในกระทรวงการต่างประเทศก็ได้รู้ว่าเด็กสาวเรียนเอกจีนเพื่อทำงานแปลให้ดีขึ้น
ถึงบางคนจะรู้สึกแปลก ๆ แต่บอกไม่ได้ว่าแปลกตรงไหน
เพราะความสามารถก็มีให้เห็นอยู่โต้ง ๆ อยู่แล้ว
แต่ถ้าคนแข็งแกร่งพูดออกมาคนอื่น ๆ ก็ต้องเชื่อกันทั้งนั้น
ทันใดนั้นเจ้าหน้าที่ในกระทรวงต่างประเทศก็เริ่มมีกระแสเรียนรู้ภาษาแม่ขึ้น
แม้กระทั่งผู้อาวุโสบางคนยังไปเริ่มเรียนภาษาตัวเองอีกครั้ง
ปรากฏการณ์นี้ทำให้ผู้นำของกระทรวงรู้สึกแปลกใจ
ทำไมถึงเรียนภาษาแม่แทนที่จะเรียนภาษาต่างประเทศล่ะ?
หรือมันจะดีกว่า?
แต่หลังจากนั้นไม่กี่วันดันพบว่ามีประโยชน์จริง ๆ
คุณภาพงานแปลที่ออกมานั้นดีกว่าเมื่อก่อนมาก
อย่างน้อยการใช้คำก็มีความแม่นยำ และการเลือกคำมาสร้างประโยชน์เยอะมากขึ้น
อธิบดีตู้ทราบว่าเรื่องนี้ได้รับคำแนะนำมาจากซูเสี่ยวเถียนจึงยิ่งชื่นชมเธอมากขึ้น
น่าเสียดายที่เด็กสาวผู้เก่งกาจเลือกที่จะทำงานกับเราแค่สองปีเท่านั้น
พระเจ้ารู้ดีว่าเขาไม่เคยถ่อมตัวขนาดนี้มาก่อน
กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานที่ดี มีคนอยากเข้าเยอะมาก
แต่เกณฑ์การรับของเราสูงกว่าที่อื่น จึงทำให้กันคนออกไปได้เยอะ
และหน่วยงานที่ดี ๆ แบบนี้กลับไม่เข้าตาซูเสี่ยวเถียน จึงทำให้เขารู้สึกล้มเหลว
ซูเสี่ยวเถียนไม่รู้เลยว่าตนได้โจมตีผู้นำกระทรวงเข้าจัง ๆ
ยามคณะผู้แทนจากเยอรมนีมาถึงตามกำหนด เธอจึงเริ่มต้นทำงานรอบใหม่
ระหว่างนั้นก็ได้เจอคนรู้จักเก่าอย่างคุณออกัสและคุณคริสติน่าด้วย
ครั้งนี้สองพี่น้องไม่ได้มาเพื่อหารือเรื่องธุรกิจด้วยตนเอง แต่มากับคณะผู้แทนของเยอรมนี
นอกจากนักธุรกิจแล้ว ยังมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงชาวเยอรมันบางส่วนในกลุ่มด้วย
ครั้งนี้คุณคริสติน่าจึงเชื่อฟังเป็นพิเศษ ตอนที่ได้พบกับเด็กสาวก็แค่พยักหน้าเบา ๆ
ซูเสี่ยวเถียนยิ้มกลับ แสดงการต้อนรับต่อเธอ