เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 1210 เกิดเรื่อง
บทที่ 1210 เกิดเรื่อง
บทที่ 1210 เกิดเรื่อง
ซูเสี่ยวเถียนไม่สงสัยเลยว่าจะต้องมีผู้สมรู้ร่วมคิดคนอื่นอยู่ด้วย
หากรูปถ่ายเปิดเผยตัวตนของเธอก็แย่น่ะสิ
เธอตัดสินใจรีบกินข้าวและกลับไปยังสถานที่ที่ปลอดภัย
พอคิดดังนั้นแล้วก็ทำทันที
สิบนาทีต่อมา เธอกลับมาถึงห้อง
ซูเสี่ยวเถียนดูกำหนดการที่กำลังจะมาถึง
ตารางงานในวันนี้ค่อนข้างแน่น ตอนเช้าต้องติดตามรัฐมนตรีต้วนและคนอื่น ๆ ไปพบกับเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบด้านการค้าของท้องที่
นี่เป็นการประชุมที่เป็นทางการ ต้องมีการรักษาความปลอดภัยแน่ เพียงเท่านี้ก็รับประกันความปลอดภัยได้แล้ว
ส่วนงานในช่วงบ่ายจะเป็นการเยี่ยมชม และทำกิจกรรมภายในซึ่งไม่มีความเสี่ยงใด ๆ
ตอนเย็นมีงานเลี้ยงอาหารค่ำ คนไม่เยอะ ไม่น่าจะมีอันตรายอะไร
ซูเสี่ยวเถียนได้ตรวจสอบแผนการล่วงหน้า
ที่น่าห่วงคือหลังจากงานนิทรรศการเริ่มต่างหาก
งานนี้จะเริ่มต้นวันที่สาม และกินเวลาจัดงานต่อเนื่องเป็นเวลาสามวัน เป็นโอกาสที่คนจะเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก รวมถึงคนจากทุกแขนงอาชีพ
หากคนร้ายมีผู้สมรู้ร่วมคิดอีก เธอมั่นใจเลยว่ามันต้องฉวยโอกาสช่วงเวลานี้แน่
พอถึงเวลานั้นเธอก็ระวังตัวเองก็พอ ให้ดีคือสองวันนี้แต่งตัวเรียบร้อยสักหน่อย จะได้ไม่มีใครรู้ว่าตนคือสาวชาวตะวันออกที่จับโจรในวันนั้น
คิดได้แบบนั้นก็เปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นคนแปลกหน้า
เธอคิดว่ามีความเป็นไปได้มากที่คนอื่นจะจำตนได้ หน้าตาอาจไม่ได้เปลี่ยนเยอะ แต่หลังจากแต่งตัวแล้ว ออร่าคนจะเปลี่ยนไปด้วย
เพื่อให้วันนี้ออกไปข้างนอกได้อย่างสบายใจจึงสวมชุดกีฬาสบาย ๆ แล้วรวบผมเป็นมวย
แต่งตัวตามมาตรฐานของผู้หญิงที่กำลังปฏิบัติหน้าที่
หลังจากสวมกระโปรง เธอก็ดัดผมเป็นลอนใหญ่แล้วติดกิ๊บ
เธอเปลี่ยนการแต่งหน้าด้วย
มองรูปลักษณ์ที่ไม่คุ้นตาก็รู้สึกโล่งใจมาก
แบบนี้ดีเลย ที่ต่างประเทศคนแยกหน้าไม่ค่อยออกหรอกว่าคนไหนคือคนจีน พอทุกอย่างเปลี่ยนไปก็จำไม่ได้แล้ว
ต่อให้ตำรวจประเทศ L ทราบ แต่คงรักษาข้อมูลเอาไว้เป็นความลับล่ะมั้ง?
ทางฝั่งรัฐมนตรีต้วนและเหวยจวิ้นอู๋กำลังเจอปัญหา
พวกเขาเป็นกังวลกับงานนิทรรศการที่จะเริ่มขึ้นในวันมะรืน
ผู้เข้าร่วมจะต้องจัดแสดงผ้าทั้งสามประเภทตามความต้องการของผู้จัดงาน
แถมระหว่างนั้นต้องนำผ้ามาทำเป็นเสื้อผ้าสามสไตล์และจัดแสดงอีกด้วย
แน่นอนว่าประเทศเราได้เตรียมการไว้แล้ว
ผ้าสามประเภทนี้เหมาะแก่การนำมาจัดแสดงในงานมาก และเพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหลจึงมีเพียงเหวยจวิ้นอู๋ที่ทราบเท่านั้น
ทว่าเมื่อครู่เพิ่งทราบข่าวว่าคณะผู้แทนของประเทศเพื่อนบ้านได้เตรียมผ้าแบบเดียวกับเราไว้เช่นกัน
ถ้าทุกอย่างจบแค่นั้นก็คงจะดี ทว่าสิ่งที่ทำให้วิตกยิ่งกว่าคือการที่พวกเขานำผ้าออกมาแสดงก่อนพวกเรา
มนุษย์เราก็แบบนี้ อยากได้หน้าก่อนใคร ๆ
เมื่อเช้าฝ่ายนั้นได้ประกาศกร้าวออกมาอย่างภาคภูมิใจ ฝ่ายเราเลยได้แต่ร้อนรนแบบนี้ เลยต้องกลับมาคุยกันที่ห้อง แม้แต่ข้าวก็ไม่ได้กิน
“รัฐมนตรีต้วน เรื่องนี้แก้ปัญหายากมากเลยนะครับ!” เหวยจวิ้นอู๋ดูอึดอัดใจ
“ถึงไม่รู้ว่าทำไมความลับของเราถึงรั่วไหลออกไป แต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ถ้าคิดจะทำตามเดิมก็ทำได้แค่นิ่งเฉยเท่านั้น ไม่อย่างนั้นอาจส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของประเทศ”
รัฐมนตรีต้วนไม่นึกเลยว่าจะต้องเจอเรื่องแบบนี้
นึกว่าจะแค่บังเอิญ แต่จากพฤติกรรมของฝั่งนั้นมันไม่เหมือนบังเอิญเลย
คงวางแผนกันมาแล้วติดสินบนเจ้าหน้าที่ของเราแน่ ๆ
ว่าตรง ๆ คือ ข้อมูลได้รั่วไหลออกไปตั้งแต่แรกแล้วยังไงละ
และคนพวกนั้นก็ใช้เงินจำนวนมหาศาลโดยมีเป้าหมายโจมตีเรา
จีนเป็นประเทศอุตสาหกรรมสิ่งทอขนาดใหญ่ การเหยียบย่ำมันในงานระดับนานาชาติแบบนี้จะส่งผลกระทบอย่างมาก
“ผมคิดว่าทั้งสไตล์และเนื้อผ้าผ้าคงรั่วไหลไปหมดแล้วละครับ” เหวยจวิ้นอู๋ขมวดคิ้ว
นี่ไม่ใช่ว่าเขาปัดความรับผิดชอบนะ แต่เขาคิดแบบนั้นจริง ๆ
เขาเก็บมันไว้กับตัวเอง ไม่เคยละสายตาเลย แม้แต่คนอื่นก็ยังไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ
และถึงเห็นก็ไม่มีทางจัดเตรียมได้ทันการหรอก
หากจะพูดตรง ๆ ก็คือ อีกฝ่ายได้ข้อมูลเกี่ยวกับเซตเสื้อผ้าเหล่านี้ไปหรือรับซื้อแบบเดียวกันเลยยังไงละ
ไหนจะเรื่องสไตล์เสื้อผ้าอีก ไม่มีทางที่พวกนั้นจะไม่ไตร่ตรองไว้ก่อนหรอก
“คงเป็นแบบนั้น แต่จะพูดตอนนี้ก็สายเกินไปแล้วละ ตอนนี้เราเตรียมรับมือดีกว่า” รัฐมนตรีต้วนกำผมตัวเองแน่น
เดิมทีก็หัวค่อนข้างล้านอยู่แล้ว ผมไม่ได้มีเยอะมากมาย ความเครียดสะสมที่แผ่ออกมาทางใบหน้าทำให้คนเห็นกลัวจริง ๆ ว่ามันจะล้านยิ่งกว่าเดิม
“ฝ่ายโรงงานผู้ผลิตรายใหญ่ก็ได้นำของตัวเองมาร่วมงานเช่นกัน เราคงทำได้แค่ดูแล้วละ ว่ามีแบบไหนตรงตามเงื่อนไขของทางนิทรรศการบ้าง”
ถึงเหวยจวิ้นอู๋จะทราบเช่นกัน แต่ก็รู้ดีว่าผ้าที่โรงงานนำมาไม่สามารถเทียบกับผ้าไหมที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ได้
คนทั้งหกเดินทางไปสถานที่จัดการด้วยรถสองคัน
ซูเสี่ยวเถียนบังเอิญได้นั่งคันเดียวกันกับเหวยจวิ้นอู๋และรัฐมนตรีต้วน
เด็กสาวนั่งนิ่งราวกับมีเรื่องอะไรในใจ
อีกสองคนก็มีเรื่องในใจจนไม่อยากพูดอะไรสักคำ
พวกเขาเหลือบมองเธอเป็นพัก ๆ มีบางอย่างที่แปลกไป แต่บอกไม่ได้ว่าคืออะไร
ซูเสี่ยวเถียนเหลือบมองเช่นกัน เหมือนว่าจะอารมณ์ไม่ค่อยคงที่เท่าไรนะ
เธอคิดว่าที่พวกเขามีใบหน้ามืดมนขนาดนั้นต้องเป็นเรื่องของเธอแน่ ๆ
ระหว่างทางจึงได้แต่เชื่อฟัง และไม่กล้าพูดอะไร
อย่างน้อยก็สั่งสอนกันหน่อยก็ได้ แต่พวกเขาไม่พูดอะไรเลย
เพราะมีเรื่องสำคัญต้องจัดการก่อนยังไงละ
โชคดีที่คนขับเป็นหนึ่งในคนของเรา กอปรกับซูเสี่ยวเถียนเป็นคนที่ไว้ใจได้
สุดท้ายคนทั้งสองก็สนทนาเรื่องวิธีแก้ปัญหา
ซูเสี่ยวเถียนนึกประหลาดใจเมื่อได้ยินเรื่องราว
เธอรู้ว่าครั้งนี้คณะผู้แทนเดินทางมาพร้อมกับภารกิจ ได้ยินว่ามีผ้าล้ำค่าอีกหลายชิ้นที่ตั้งใจนำมาใช้ในงานนิทรรศการครั้งนี้
แล้วทำไมจู่ ๆ ก็คุยเรื่องผ้าล่ะ?
กระนั้นเธอก็ไม่ได้ถาม และนั่งฟังเฉย ๆ