เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 1241 จบบริบูรณ์
บทที่ 1241 จบบริบูรณ์
บทที่ 1241 จบบริบูรณ์
อธิบดีตู้พลันโบกมือเป็นพัลวัน “เรารู้ว่าคุณเก่ง ไม่ต้องมาถ่อมตัวหรอก”
ซูเสี่ยวเถียน “…”
ไม่ได้ถ่อมตัวสักหน่อย
ทว่าอธิบดีตู้ไม่เปิดโอกาสให้พูดเลยสักนิด ท่านเอาแต่พูดออกมารัว ๆ ว่าให้เธอห่วงความปลอดภัยตัวเองบ้าง
ก่อนจะกล่าวปิดท้ายว่า “ถึงยินดีทำงานกับเราแค่สองปี แต่ยังไงฉันก็ต้องปกป้องคุณ ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา ไอ้พวกนั้นมันไม่ปล่อยคุณไปง่าย ๆ แน่”
เหอะ ๆ ดูเหมือนจะมีแค่กระทรวงของเราที่เสี่ยวเถียนเต็มใจทำงานด้วย พวกนั้นอิจฉาสุด ๆ ไปเลย
เห็นรอยยิ้มของอีกฝ่าย เธอก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี
เขาอายุเท่าไรแล้วเนี่ยทำตัวเป็นเด็ก ๆ ไปได้?
วันต่อมาก็ยังเหมือนเดิม เธอทำงานจนหัวหมุน
ตอนนี้เธอกำลังสอนงานให้กับหนุ่มสาวในกระทรวงที่มารับช่วงต่อ ซึ่งพวกเขาก็มีความก้าวหน้าไม่น้อย
พริบตาเดียวก็ครบสองปีแล้ว เธอทำเรื่องลาออก ฝ่ายอธิบดีตู้ไม่เต็มใจสักเท่าไร
“เสี่ยวเถียน ตัวฉันใกล้จะลาออกแล้วเหมือนกัน และก็หวังให้คุณทำงานที่นี่ต่อนะ” นี่เป็นบทสนทนาครั้งสุดท้ายของทั้งสอง
ทว่าซูเสี่ยวเถียนยืนกรานที่จะไป
“ฉันรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างยิ่งสำหรับการดูแลของคุณที่มอบให้ฉันมาตลอดสองปีนะคะ แต่ว่าฉันเองก็มีแผนการสำหรับอนาคตเช่นกันค่ะ”
“คุณตั้งใจจะไปกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือกระทรวงพาณิชย์ล่ะ?”
คนเก่ง ๆ ได้ทำงานในระบบนี้คงดีที่สุดแล้ว
เสี่ยวเถียนยิ้ม “ฉันไม่ตั้งใจจะไปทั้งสองแห่งค่ะ ฉันคิดมาดีแล้ว และตอนนี้ธุรกิจของฉันกำลังไปได้สวย ฉันอยากไปสายนี้ให้สุดทางค่ะ”
เสียใจจัง เก่งตั้งหลายอย่างทำไมเลิกทำงานด้านการเมืองไปทำธุรกิจเสียล่ะ?
ไม่อย่างนั้นอนาคตคงไปได้ไกลกว่านี้อีก
“ฉันอยากพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่ออนาคตที่ดีกว่าค่ะ เงินทุนของลุงเขยเสิ่นในการทำวิจัยทางวิทยาศาสตร์ไม่เคยพอเลย ฉันจึงตัดสินใจว่าจะลงทุนให้กับสถาบันวิจัยเป็นจำนวนสองแสนหยวนทุกปีค่ะ แล้วก็ตั้งใจจะเปิดสถาบันการศึกษาภาษาต่างประเทศอีกแห่งด้วย”
อธิบดีตู้กลับมามีเรี่ยวแรงอีกครั้ง
สาวน้อยคนนี้มีความทะเยอทะยานไม่น้อย
สนับสนุนเงินวิจัยปีละสองแสน กับเปิดสถาบันการศึกษาภาษาต่างประเทศไม่ได้ใช้เงินน้อย ๆ นะ ถ้าจะทำจริงจังอนาคตต้องใช้เงินมหาศาลแน่
“คุณพูดจริงหรือ?”
“จริงค่ะ” เธอพยักหน้าเคร่งขรึม “ในอนาคตฉันพัฒนาตัวเองดียิ่งขึ้นเมื่อไรจะค่อย ๆ เพิ่มการลงทุนค่ะ เพราะเกษตรกรรมเป็นรากฐานของประเทศชาติ อนาคตจะอยู่ในหลักพัฒนาสากลโลก ภาษาต่างประเทศก็เป็นที่จำเป็นด้วยเช่นกันค่ะ”
อธิบดีตู้หัวเราะลั่น “คุณเป็นเด็กที่หายากจริง ๆ นะ โชคดี ๆ มีเรื่องอะไรก็มาหากันได้ ถ้าช่วยได้จะช่วยนะ!”
“ถ้างั้นฉันจะไม่เกรงใจค่ะ”
หลังจากทำเรื่องเสร็จเธอก็เดินทางกลับบ้าน ก่อนจะทราบข่าวที่น่ายินดี
พี่รองพี่สามกำลังจะเป็นพ่อคน พี่สี่พี่ห้ากำลังจะแต่งงาน
ซูเสี่ยวเถียนไม่อยากจะเชื่อเลยจริง ๆ
เรื่องที่เหนือความคาดหมายคือว่าที่พี่สะใภ้ก็คือฉู่เยว่ที่เป็นเพื่อนร่วมห้องกับเธอมาตลอดสี่ปีนั่นเอง
“ต้องเก็บเป็นความลับขนาดนี้เลยหรือ” เมื่อเห็นคนทั้งสอง เธอรู้สึกโดนรับการโจมตีเข้าอย่างจัง
ทำแบบนี้ได้ยังไงเนี่ย?
เธอสนิทกับพวกเขามากที่สุดเลยนะ
โลกใบนี้มีแต่เรื่องน่าผิดหวัง ฮือ…
ฉู่เยว่เดินเข้าไปหาด้วยรอยยิ้ม “พี่ชายเธอกับฉันเพิ่งคบหาดูใจเมื่อเดือนก่อนนี้เอง ฉันตั้งใจจะบอกเธอแต่ติดภารกิจจนลืมไปเลยน่ะ”
ซูเสี่ยวเถียนกลอกตา “ไม่รู้แหละ เอาซองแดงมาให้หนูเลยนะ ขอซองใหญ่ ๆ ปลอบประโลมความเจ็บปวดของหนูซะ”
คุณย่าซูถึงกับทำอะไรไม่ถูกไปชั่วครู่หนึ่ง
“เจ้าเด็กคนนี้ จริง ๆ เล้ย พี่เขาหาคนรักได้ง่าย ๆ เสียที่ไหนล่ะ? ไม่ช่วยไม่ว่าแต่อย่าทำให้มันยุ่งยากสิ”
ซูเสี่ยวเถียน “หนูรู้นะ ย่ามีหลานสะใภ้แล้วละสิก็เลยไม่ต้องการหนูอีกแล้ว!”
ทุกคนตกใจกับปฏิกิริยาของเธอมาก
แต่บรรยากาศก็ค่อย ๆ ดีขึ้น
ซูเสี่ยวอู่เอ่ยกับฉู่เยว่ “บ้านเรามีหลานสาวคนเดียวน่ะ เธอจึงเป็นแก้วตาดวงใจของบ้าน ก็เลยนิสัยแบบนี้น่ะ อย่าคิดมากเลยนะ”
หญิงสาวเหลือบมองว่าที่สามี “ฉันรู้จักเสี่ยวเถียนนะ เธอไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย อีกอย่างเราควรให้ซองแดงกับเธอนะ”
ซูเสี่ยวอู่ “…”
นี่เราหลุดจากตำแหน่งที่โปรดปรานแล้วหรือ?
ทำไมว่าที่ภรรยาเหมือนพวกพี่สะใภ้เลยเนี่ย?
แล้วเสี่ยวเถียนก็น้องสาวแท้ ๆ ของเขานะ เขาต้องให้ด้วยหรือ?
ช่างเถอะ สนิทกันไว้ดีแล้ว จะได้ไม่มีปัญหาเยอะ
วันต่อมา ตระกูลซูเตรียมงานแต่งให้หลานชายทั้งสอง
สองปีนี้นโยบายผ่อนปรนมากยิ่งขึ้น เราจึงกล้านำสมบัติออกมาใช้
ทว่าทุกคนรู้ดีว่าเราร่ำรวย การที่พวกเขาจะนำออกมาไม่ใช่เรื่องแปลกเสียหน่อย
งานแต่งของซูเสี่ยวซื่อและซูเสี่ยวอู่จัดที่ศูนย์การค้าของเราเอง
หลาย ๆ คนเดินทางมาแสดงความยินดีด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มสดใส
และคนที่ยิ้มสดใสที่สุดคือฟ่านชูฟางที่เกษียณแล้ว และเตรียมเลี้ยงหลานชาย
หลังจากรอมานานนม ในที่สุดลูกชายเธอก็มีหลานชายให้เสียที หญิงชราจึงเกษียณตัวมาเลี้ยงดูเด็กน้อยแทน
ใครใช้ให้ลูกชายลูกสะใภ้ต้องทำงานในกองทัพล่ะ?
หญิงชราที่อุ้มหลายชายคนโตแนะนำให้ทุกคนได้รู้จัก
ซูเถาฮวาเองก็เดินทางมาด้วย
เธออุ้มหลานชายคนโตด้วยเช่นกัน เป็นลูกชายของเสี่ยวเหลียง
หลังจากซูเสี่ยวเหลียงเข้าร่วมกองทัพ เขาบากบั่นจนเข้าเรียนในโรงเรียนเตรียมทหารได้ในที่สุด ตอนนี้เรียนจบออกมาเป็นข้าราชการทหารแล้ว ได้พบกับภรรยาและมีลูกด้วยกัน มีความสุขกันมาก
ซูเถาฮวายกโรงงานให้สะใภ้ใหญ่รับช่วงต่อ ส่วนตนเองอยู่บ้านเลี้ยงหลานและดูแลสามี สมาชิกในครอบครัวปรองดองอย่างยิ่ง
สองเด็กน้อยที่อายุเท่ากันพูดอ้อแอ้เป็นคำที่ไม่มีใครเข้าใจ พวกเขามีความสุขมาก เริงร่ายิ่งกว่าผู้ใหญ่เสียอีก
คนรอบข้างมองพวกเขาแล้วหัวเราะ
“เจ้าตัวน้อยกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย?” ฟ่านชูฟางเอ่ยขึ้น
“ไม่ว่าผู้ใหญ่หรือเด็กต่างมีความสุขเป็นของตัวเองสินะ” คุณย่าซูตื้นตันใจ “หลายปีมานี้ชีวิตเราค่อย ๆ ดีขึ้น รอยยิ้มย่อมเพิ่มมากขึ้นไปด้วย”
“ว่าไปป้าโชคดีนะ ดูบ้านเราตอนนี้สิดีขนาดไหน มีแต่คนอิจฉาโชคป้าทั้งนั้นเลยค่ะ” ซูเถาฮซาแย้มยิ้ม
“เธอก็โชคดีเหมือนกันนั่นละ เมื่อก่อนลำบากขนาดไหนแต่ก็ยังผ่านมาได้ไม่ใช่หรือ” คุณย่าซูตอบ “คนเฒ่าคนแก่ก็พูดถูกนะ ลำบากวันนี้สบายวันหน้า”
คนอื่น ๆ พยักหน้าเห็นด้วย เพราะพวกเขาคือคนที่เคยลำบากมาก่อน จึงทะนุถนอมชีวิตที่มีความสุขในตอนนี้มาก
“เห็นเด็กแต่งงานมีลูกกันเร็ว ยายแก่คนนี้คงไม่มีอะไรให้ห่วงแล้ว โดยเฉพาะเสี่ยวเถียน”
หลานชายของบ้านหูผึ่งทันที
อะไรกัน?
ย่าจะให้น้องเล็กแต่งงานแล้วหรือ?
เธอเพิ่งอายุเท่าไรเอง?
ไม่ได้นะ!
“คุณย่า ทำแบบนี้ไม่ได้นะ เรายังไม่ได้แต่งเลยแล้วจะให้น้องแต่งงานก่อนพี่ได้ยังไงครับ?” ซูเสี่ยวชีเอ่ย
“ก็รู้นี่ไอ้เด็กนี่ รีบ ๆ หาเมียให้ฉันได้แล้ว!”
ทางฝั่งบ้านเกิดเราจะมีอยู่ประโยคหนึ่งที่เขาพูดกัน ‘อายุมากกว่ายังไม่แต่งงาน อายุน้อยกว่ายังแต่งไม่ได้’ แต่ยกเว้นไว้บางกรณีน่ะ
บ้านเราไม่ได้มีปัญหาอะไร ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์พิเศษอะไรด้วย
เพราะฉะนั้นจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ก่อน
โดยเฉพาะซูเสี่ยวปาที่ยังไม่แต่ง เสี่ยวเถียนจึงยังแต่งไม่ได้
ฉืออี้หย่วนเพิ่งเดินเข้ามาได้ยินพอดี จู่ ๆ ก็คิดว่าอนาคตลำบากแน่
เขาเห็นประกายในแววตาว่าที่พี่ชายภรรยา ถ้าจะแต่งกับเสี่ยวเถียนหนทางคงอีกยาวไกล
และทุกอย่างก็เป็นไปตามที่คาดไว้
ซูเสี่ยวปาแต่งงานตอนอายุยี่สิบแปดปี ในปีนั้นซูเสี่ยวเถียนก็อายุยี่สิบห้าปีแล้ว
คุณย่าซูบอกว่าถ้าเขาไม่ยอมแต่งจะตัดออกจากครอบครัว ชายหนุ่มจึงยอมในที่สุด
ณ ช่วงเวลานั้นซูเสี่ยวเถียนก็เป็นผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จมากมาย
เธอคนนี้ยังคงบริจาคให้กับสถาบันวิจัยทุก ๆ ปี ทุ่มเงินมหาศาลให้กับวิจัยการผลิตเมล็ดพันธุ์ทางการเกษตรแห่งเดียวของประเทศ
ตอนนี้สถาบันศึกษาภาษาต่างประเทศที่ก่อตั้งโดยซูเสี่ยวเถียนได้กลายเป็นมาตรฐานสถานศึกษาของประเทศแล้วด้วย ทั้งยังได้รับการยกย่องจากผู้นำระดับชาติหลายท่าน
สถานที่แห่งนี้จะฝึกฝนผู้ที่มีความสามารถด้านภาษาให้กับประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนคนสายงานภาษา
ถึงสิ้นปีที่หญิงสาวอายุยี่สิบห้าปี ฉืออี้หย่วนก็ได้แต่งงานกับเธอที่บ้านเกิดสมความปรารถนา
ตอนนี้เขาได้กลายเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เทียบเท่าได้กับภรรยาเลย
“เสี่ยวเถียน เมื่อคืนพี่ฝันด้วยว่าเราสองคนไม่ได้มีชีวิตอย่างทุกวันนี้”
สามวันให้หลังจากงานแต่ง เช้าวันหนึ่งฉืออี้หย่วนตื่นขึ้นมาแล้วเอ่ยอย่างจริงจัง “ถึงพี่จะรู้ว่ามันเป็นความฝัน แต่ไม่รู้ทำไมเหมือนเรื่องจริงเลย”
ซูเสี่ยวเถียนรู้สึกกลัวขึ้นมา
“พี่ฝันถึงเรื่องอะไรคะ?”
“พี่ฝันว่าพี่ไม่เคยแต่งงาน ส่วนเธอแต่งงานแล้ว แต่หย่าร้างและชีวิตยากลำบาก”
หญิงสาวมองด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าสามีจะฝันถึงเรื่องราวชีวิตชาติที่แล้วของเธอเอง
ซูเสี่ยวเถียนฝืนยิ้ม “มันเป็นแค่ความฝันค่ะ ตอนนี้เรามีชีวิตที่ดีแล้วนะ ทำไมพี่ถึงเชื่อกันเนี่ย?”
แต่สีหน้าอีกฝ่ายกลับเคร่งขรึมยิ่งขึ้น “พี่ว่านั่นคือสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแน่ ๆ แค่พี่นึกถึงมันก็ไม่สบายใจยังไงก็ไม่รู้ เธอบอกพี่หน่อยสิว่าตอนนี้เราอยู่ในความฝันหรือเปล่า?”
เขาเป็นกังวลมากจนกลัวทุกอย่างเป็นเรื่องที่ฝันไป
ซูเสี่ยวเถียนเข้าไปกอดเขา “ไม่ใช่ค่ะ นี่คือความเป็นจริงต่างหาก พี่ดูฉันสิ ฉันก็ยังมีชีวิตอยู่ตรงหน้าพี่นี่ไง?”
ฉืออี้หย่วนโอนเอียงตามคำพูดนั้น
“บางทีอาจจะเป็นชาติที่แล้วของเราก็ได้ค่ะ คงเพราะตอนนั้นชีวิตเราย่ำแย่ ชีวิตนี้จึงดีกว่าเดิม”
มันย่ำแย่มากเลยไม่ใช่หรือไง?
หากฉืออี้หย่วนบอกว่าไม่ได้แต่งงาน งั้นแสดงว่าชีวิตเขาในตอนนั้นคงไม่มีความสุขเหมือนกัน
“แล้วในความฝันมีพ่อแม่พี่ไหมคะ?”
เหมือนว่าตอนเราแต่งงานพวกเขาจะไม่ได้มาร่วมด้วย ชีวิตครั้งก่อนก็ไม่มีร่องรอยเลยด้วย
“ไม่มี แต่ไม่ต้องเสียใจที่พวกเขาไม่ได้เข้าร่วมหรอกนะ ไม่มาก็ดีแล้ว”
ถ้ามาต้องสร้างปัญหาแน่ ๆ เลย
พวกเขาเป็นแค่พ่อแม่ในนามเท่านั้น
ให้พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศไป ส่วนเขาอยู่กับเสี่ยวเถียนอย่างมีความสุขก็พอ
ซูเสี่ยวเถียนอยากจะบอกว่าเธอไม่เคยเสียใจกับเรื่องพวกนั้นหรอก
สิ่งที่พวกเขาทำต่อฉืออี้หย่วนได้สร้างความรู้สึกไม่ดีในใจต่อเธอไปแล้ว
แม้แต่ในวันแต่งงานก็ไม่เคยคาดหวังให้มาเลยด้วย
ไม่งั้นสองคนนั้นอาจจะทำลายงานแต่งเราเปล่า ๆ
มีแค่คุณปู่ฉือก็พอ
บนโลกใบนี้คนที่จะพึ่งพาเขาไปตลอดชีวิตก็คือคุณปู่นี่แหละ
หลังจากนี้เราจะดูแลเขาอย่างดี ให้แกได้มีชีวิตไปอีกหลาย ๆ ปีดั่งที่ปรารถนาไว้
ส่วนเรื่องอื่น ๆ ไม่ต้องไปคิดหรอก
“ว่าไป ช่วงนี้พี่เจอคนกลุ่มหนึ่งบอกว่าเดินทางมาจีนเพื่อตามหาใครสักคนด้วย พี่ว่าน่าจะเป็นเธอนะ!”
จู่ ๆ ฉืออี้หย่วนนึกอะไรขึ้นได้
“เอ๋?”
“พวกเขาบอกว่าผู้หญิงจีนคนหนึ่งจับพรรคพวกตัวเองน่ะ เลยพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะได้เดินทางมาที่นี่ คอยตามหาอยู่หลายปี เหมือนพี่จะจำได้ว่าเธอเคยทำผลงานอะไรไว้นะ”
น่าละอายใจจริง ๆ กี่ปีมาแล้วเนี่ย?
ยังจำเรื่องพวกนี้ได้อีกหรือ?
“นึก ๆ ดู ฉันจำอะไรแทบไม่ได้แล้วค่ะ!”
เธอไม่ได้พูดไปงั้น ๆ นะ มันเป็นภาพเบลอ ๆ ในความทรงจำ ผ่านมาตั้งหลายปีจำได้ก็แปลกแล้ว
ฉืออี้หย่วนยิ้ม “ลองไปเจอดูแล้วกัน ถ้าพวกเขาทำท่าเหมือนจะจำได้ พี่จะหาทางไม่ให้พวกนั้นเข้าจีนได้อีก”
เขาปล่อยเธอไปเสี่ยงไม่ได้
แน่นอนว่าในตอนที่ซูเสี่ยวเถียนอยู่ตรงข้ามกับพวกเขา ฝ่ายนั้นเอาแต่ตะโกนเรียกนายหญิง ๆ เหมือนไม่รู้จักกันมาก่อนเลย ฉืออี้หย่วนโล่งใจหลังจากยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดูเหมือนจะจำไม่ได้จริง ๆ
ตอนแรกเก็บพวกเขาเอาไว้เพราะคิดว่าคนที่ตามหาน่าจะเป็นภรรยานี่แหละ เลยไม่อยากให้เกิดอันตรายใด ๆ
ส่วนชาวต่างชาติกลุ่มนี้ลืมไปแล้วว่าคนที่หมายหัวเอาไว้หน้าตาเป็นยังไงกันแน่ รู้แค่ว่าภรรยาเจ้านายสวยมาก และตัดสินใจว่าอนาคตจะหาภรรยาชาวจีนสวย ๆ สักคนและใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข
-จบบริบูรณ์-