เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 135 เซี่ยงหงมาหาถึงบ้าน
บทที่ 135 เซี่ยงหงมาหาถึงบ้าน
บทที่ 135 เซี่ยงหงมาหาถึงบ้าน
บรรยากาศกลมกลืนปรากฏอยู่ได้เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ก่อนจะถูกทำลายลงด้วยเสียงเคาะประตู
“ใครมาหาตอนนี้กันนะ?” คุณย่าซูถามด้วยความแปลกใจ
ที่ประตูแขวนผ้าสีแดงเอาไว้ และทุกคนที่เห็นจะรู้ว่าบ้านนี้มีเด็กเพิ่งเกิด จึงจะไม่เคาะประตูกันตรง ๆ
ใครมันตาไร้แววไม่สนใจมองแบบนี้?
คุณย่าซูไม่รู้ แต่ซูเสี่ยวเถียนรู้อยู่แล้ว
แน่นอนว่าที่รู้ได้เพราะต้นพุทธาใหญ่บอกเธอ
ต้นพุทธาใหญ่เตือนเธอเมื่อสามนาทีที่แล้ว ก่อนคนสองคนที่แอบสอดแนมอยู่ด้านนอกจะปรากฏตัวขึ้น
ซูเสี่ยวเถียนคิดว่าจุดประสงค์ของพวกเธอคือแค่มาสอดแนม แต่ไม่คิดเลยว่าจะเคาะประตูกันโต้ง ๆ แบบนี้
ยิ่งกว่านั้นคือ เสียงเคาะประตูร้อนรนแบบนี้เห็นชัดเลยว่ามาด้วยความไม่เป็นมิตร
นี่หมายว่าจะสร้างปัญหาถึงบ้านเลยใช่ไหม?
ถึงเสี่ยวเถียนจะรู้ แต่ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ “คุณย่าคะ ทำไมไม่ออกไปดูกันล่ะคะ?”
“ได้สิจ๊ะ ย่าจะออกไปดูนะ” คุณย่าซูหันกลับมาทันทีหมายจะเดินออกไป
เฉินจื่ออันกลัวว่าแม่ยายจะรับมือไม่ได้ จึงอาสาออกไปเอง
ตอนนั้นเองก็ได้ยินหลานสาวพูดขึ้น “อาเขยขา อาอยู่ในห้องดูอาใหญ่กับน้องเล็กเถอะค่ะ เดี๋ยวหนูไปเป็นเพื่อนคุณย่าเอง!”
คนทั้งสองเลือกที่จะเหยียบเข้ามาในบ้านวันนี้ เป็นเพราะต้องคิดว่าอาเขยยังไม่กลับมาแน่นอน
ไม่แน่ว่าวันนี้อาจจะมีละครฉากใหญ่ก็ได้นะ ถ้าให้อาเขยออกมาก่อนละครก็จบตั้งแต่ยังไม่เริ่มน่ะสิ ไม่สนุกหรอก!
ถ้าอย่างนั้น อย่าเพิ่งให้อาเขยโผล่ออกมาก่อนดีกว่า
ถึงจะไม่เข้าใจว่าทำไมเสี่ยวเถียนพูดเช่นนั้น แต่ตนก็พยักหน้าตอบรับแต่โดยดี
ไม่รู้ว่าหลานตัวน้อยคนนี้คิดแผนการอะไรอยู่
ซูเสี่ยวเถียนวิ่งไม่กี่ก้าวก็ตามคุณย่าซูที่เดินไปจนถึงกลางลานบ้านแล้ว ก่อนจะจับมือแกแล้วเดินไปที่ประตูใหญ่ด้วยกัน
“เสี่ยวเถียน หนูตามมาทำไมกัน รีบกลับเข้าบ้านเถอะ”
คุณย่าซูไม่รู้ว่าคนที่อยู่ข้างนอกเป็นใคร แค่ได้ยินเสียงประตูเคาะก็รู้แล้วว่าคนที่มาหาเป็นคนไม่ดี!
ในขณะที่กำลังพูดก็ได้ยินเสียงประตูใหญ่ถูกทุบดังปึงปังอีกครั้ง
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเคาะด้วยมือหรือเตะด้วยเท้ากันแน่
“มาแล้ว ๆ ใครกัน ทำไมรีบร้อนอะไรขนาดนั้น?” คุณย่าซูตอบพร้อมกับขมวดคิ้วที่คนข้างนอกพยายามเคาะประตู
คนที่ไม่รู้จักกฎระเบียบแบบนี้คิดจะทำอะไรกัน?
รีบไปงานศพหรือ?
“คุณย่าไม่ต้องรีบนะคะ พวกเราค่อย ๆ เดินก็พอแล้ว” ซูเสี่ยวเถียนรีบดึงแขนเสื้อของคุณย่าซูไว้แล้ว
หญิงชราพยักหน้า “พวกเราไม่รีบ!”
แขกไม่ดีที่มาหาถึงบ้านนับว่าไม่ใช่แขก
คุณย่าซูค่อย ๆ เดินไปที่ประตูใหญ่ หลังจากเปิดประตูก็เห็นใบหน้าคนที่คุ้นเคย
ผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้า ถ้าไม่ใช่ซูเสี่ยวฉินแล้วจะเป็นใครได้อีก?
เด็กคนนี้ออกไปจากหงซินได้เกือบปีแล้ว รูปร่างหน้าตาเปลี่ยนไปไม่น้อย ทั้งยังสวยกว่าเมื่อก่อนมาก
เทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ เธอเปลี่ยนไปมากจริง ๆ จากเด็กสาวชนบทกลายเป็นสาวทันสมัยในอำเภอ
แน่นอนว่าสิ่งที่เรียกว่าสาวทันสมัยในยุคนี้ไม่มีอะไรมาก ก็แค่มีผมเปียสองข้าง และสวมชุดการ์ดสีน้ำเงิน
และซูเสี่ยวฉินก็แต่งกายแบบนั้นเช่นกัน
แม้ว่าครึ่งหนึ่งของชุดการ์ดสีน้ำเงินตัวใหม่จะค่อนข้างใหญ่ แต่เมื่อเทียบกับชุดที่เคยใส่ตอนอยู่ที่ชุมชนการผลิตหงซินแล้วมันแตกต่างกันมาก
ตอนอยู่หงซิน เสี่ยวฉินใส่แต่เสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยรอยปะชุน
“เสี่ยวฉิน?” คุณย่าซูเอ่ยขึ้นความประหลาดใจ “มาได้อย่างไรกัน?”
ตามสัญชาตญาณแล้ว คุณย่าซูคิดว่าซูเสี่ยวฉินเข้ากับอำเภอไม่ได้ เลยมาขอความช่วยเหลือจากญาติ
แม้เสี่ยวฉินจะเป็นเย็นชา แต่คุณย่าไม่ได้คิดจะตำหนิเธอมากไปอยู่แล้ว
อย่างไรเสียก็เป็นเด็กคนหนึ่ง ถึงจะทำผิด แต่ถ้าแนะนำดี ๆ ไม่แน่ว่าอาจจะกลับใจได้
คุณย่าซูเป็นหญิงชราใจดี และคิดดีต่อผู้อื่นเสมอ
แต่ซูเสี่ยวฉินไม่แม้แต่จะชายตามองคุณย่าซูเลย ท่าทางยโสโอหังราวกับไม่รู้จักคนตรงหน้าก็ไม่ปาน
หัวใจของคุณยายเย็นเฉียบ เธอยืนอยู่ตรงหน้าและขวางเสี่ยวฉินเอาไว้
เด็กคนนี้จิตใจบิดเบี้ยวไปตั้งนานแล้ว ไม่มีความคิดดี ๆ อยู่ในหัวสมองนั้นหรอก
“ยายเฒ่า หลบไปซะ พวกเรามาที่นี่เพื่อมาตามหานังหม่านซิ่วรองเท้าขาด!” ซูเสี่ยวฉินไม่แม้แต่จะมองคุณย่าซูเลย
เด็กสาวพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง และมีท่าทางราวกับไม่รู้จักหญิงชราตรงหน้า
คุณย่าซูตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ซูเสี่ยวฉินหมายความว่าอย่างไร?
“เสี่ยวฉิน หม่านซิ่วเป็นป้าเธอนะ ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ”
หลังจากหยุดไปครู่ ก็ถามขึ้นอีก “แล้วแกพูดแบบนั้นกับป้าตัวเองได้อย่างไร? ป้าของแกเป็นพวกรองเท้าขาดตรงไหนกัน?”
คุณย่าซูไม่เข้าใจว่าลูกสาวแสนดีของเธอจะกลายเป็นพวกรองเท้าขาดไปได้อย่างไร?
ทั้งลูกสาวทั้งลูกเขยจดทะเบียนสมรสแล้ว ประเทศชาติให้รับการยอมรับแล้ว!
“ฉันไม่มีป้าไร้ยางอายแบบนั้น!” ซูเสี่ยวฉินพูดอย่างเย็นชา “คุณอย่ามาพูดถึงความสัมพันธ์บ้าบอนั่นเลย พวกเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน!”
คำว่าไม่เกี่ยวข้องกันกรีดหัวใจคุณย่าซูเหวอะหวะ ทำไมถึงไม่เกี่ยวข้องกันแล้วล่ะ?
แต่พวกเราเป็นคนจากตระกูลซู แล้วจะไม่เกี่ยวได้อย่างไร?
ไม่เกี่ยวก็ไม่เกี่ยวเถอะ!
อย่างไรเสียหัวใจของเด็กคนนี้ก็บิดเบี้ยวไปแล้ว
หลังจากคิดทบทวนแล้ว คุณย่าซูก็ไม่มีอะไรต้องกังวลอีก
แต่อย่างไรก็ไม่เห็นด้วยกับซูเสี่ยวฉินที่กล่าวหาลูกสาวของเธออยู่ดี
“เธอต้องมีมโนธรรมหน่อยนะเสี่ยวฉิน” คุณย่าซูระงับความโกรธในใจ และกล่าวทีละคำ
“มโนธรรม? พวกคุณข้อร้องให้ฉันมี แล้วตัวคุณเล่ามีหรือเปล่า?” ซูเสี่ยวฉินพูดอย่างขุ่นเคือง แววตาของเธอดุร้าย
“ทำไมพวกเราจะไม่มีล่ะ? การที่พวกเราให้ข้าวเธอกินไม่ได้เรียกว่ามีมโนธรรมหรือ? การช่วยให้เธอหลุดพ้นจากการทุบตีโดยย่าของเธอก็ไม่ใช่งั้นหรือ? ซูเสี่ยวฉิน เธอทำอะไรลงไปย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ อย่าคิดว่าการที่ตัวเองไม่มีมโนธรรม แล้วทุกคนจะเป็นเหมือนตัวเธอสิ!” ซูเสี่ยวเถียนยิ้มเยาะ
ซูเสี่ยวฉินจ้องเด็กหญิงตาเขม็ง แววตาที่ยุ่งเหยิงและไม่พอใจไม่อาจปกปิดเอาไว้ได้
“ถ้าพวกคุณมีมโนธรรมจริง ๆ แล้วทำไมถึงให้แต่อาหารที่ไม่อร่อยกับฉันล่ะ? ทำไมถึงให้เสี่ยวเถียนกินของที่ดีที่สุด แล้วทำไมถึงให้แค่ฉันดื่มแค่น้ำซุปใส ๆ แค่นั้น”
“เป็นเด็กผู้หญิงจากตระกูลซูแท้ ๆ แต่ทำไมชีวิตถึงแตกต่างกันขนาดนี้ แกได้รับความรักจากครอบครัว แต่ทำไมฉันกลับไม่ได้มันเลย!”
“และสิ่งที่เสแสร้งที่สุดของครอบครัวคุณก็คือ ปากเอาแต่พูดว่าดูแลฉัน จริงหรือ? ดูแลจริง ๆ ใช่ไหม? ถ้าพวกคุณดูแลฉันจริง ทำไมถึงไม่พาฉันไปอยู่ด้วย? ทำไมไม่ให้ฉันมีชีวิตเหมือนกับซูเสี่ยวเถียนล่ะ?”
ซูเสี่ยวฉินทำท่าราวกับทุกอย่างเป็นความผิดของตระกูลหลักซู ทำเอาซูเสี่ยวเถียนหัวเราะลั่น
คุณย่าซูก็อ้าปากค้างไปครึ่งหนึ่ง ไม่รู้ควรพูดอะไรดี
นี่มันตรรกะอะไรเนี่ย? เธอไม่ใช่หลานสาวบ้านเราด้วยซ้ำ แล้วทำไมถึงต้องได้รับการปฏิบัติเหมือนกันเสี่ยวเถียนด้วย?
“ซูเสี่ยวฉิน เธอคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? บ้านเราไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณอะไรเธอสักหน่อย การดูแลก็ทำความตามรู้สึกด้วยซ้ำ ไม่ได้เกี่ยวกับหน้าที่”
“เหตุผลที่ฉันได้กินของดี ๆ เพราะฉันเป็นหลานปู่หลานย่าแท้ ๆ แต่เธอไม่ใช่!”
ซูเสี่ยวฉินไม่ทันจะได้พูด หญิงสาวที่มีใบหน้ากลมแต่งตัวคล้ายกันอยู่นั้นก็แทรกขึ้นมา
“มันเป็นความผิดแกนั่นแหละ คนทั้งประเทศเป็นครอบครัวเดียวกัน แล้วจะมาพูดเรื่องความสัมพันธ์อะไรนั่นได้อย่างไร?”
ซูเสี่ยวเถียนอดกลอกตาไม่ได้ คนคนนี้เป็นคนอย่างไรกัน?
ทำไมถึงถามแบบนี้?
“งั้นฉันจะไปกินข้าวที่บ้านเธอสักวันสองวันแล้วกัน!” ซูเสี่ยวเถียนพูดอย่างเย็นชา
เสื้อผ้าที่หญิงสาวตรงหน้าสวมใส่ค่อนข้างใหม่ และบนริมฝีปากยังมีรอยลิปสติกติดอยู่ และนาฬิกายี่ห้อติโตนีที่อยู่บนข้อมือก็ส่องแสงอยู่
เห็นแล้วก็รู้ว่าสถานะทางครอบครัวค่อนข้างดีเลยทีเดียว
แล้วผู้หญิงแบบนี้ตามซูเสี่ยวฉินมาที่นี่ มันหมายความว่าอย่างไร??
“แล้วทำไมแกต้องไปกินข้าวเย็นที่บ้านเราด้วย?” สาวหน้ากลมผงะ อดไม่ได้ที่จะถามกลับ
“คนทั้งประเทศเป็นครอบครัวเดียวกันไง ทุกคนเป็นพี่เป็นน้อง เธอถามออกมาได้อย่างไรล่ะ?” ซูเสี่ยวเถียนถากถาง
สาวหน้ากลมสำลัก ลำคอตีบตันพูดอะไรไม่ออก
“พูดเก่งเหลือเกินนะ!” เด็กสาวหน้ากลมสถบหลังจากนั้นไม่นาน
“พูดเก่งก็ยังดีกว่าไม่มีเหตุผลแล้วกัน แล้วพวกเธอมาบ้านฉันมีเรื่องอะไร? ถ้าไม่มีก็กลับไป พวกเราไม่ต้อนรับ!”
ซูเสี่ยวเถียนพูดจบก็เตรียมปิดประตู
สาวหน้ากลมผลักประตูทันที
“ที่เรามาวันนี้ก็เพื่อมาตามหาซูหม่านซิ่ว”
“อาของฉันไม่อยากเจอเธอ” เด็กหญิงพูดด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ
“จะอยากเจอหรือไม่ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหล่อน จากที่พวกเรารู้มา ซูหม่านซิ่วแต่งงานมาไม่ถึงสิบเดือนก็ท้องจนคลอดลูกเสียแล้ว พวกเรามีเหตุผลที่จะเชื่อว่าหล่อนท้องลูกกับพวกรองเท้าขาด”
ยามที่เจ้าของใบหน้าอ้วนกลมเอ่ย หว่างคิ้วเต็มด้วยด้วยความดูถูกและไม่เต็มใจ
ไอ้ท่าทางดูถูกเข้าใจอยู่นะ แต่ไอ้ไม่เต็มใจมันมาจากไหน?
“เธอเป็นผู้หญิงนะ แต่ทำไมพูดจาไม่น่าฟังเลย?” คุณย่าซูทนไม่ไหวจึงถามขึ้น
ทำไมผู้หญิงจากอำเภอถึงแตกต่างจากชนบทนักนะ?
“ลูกสาวคุณทำอะไรไว้ ทำไมฉันจะพูดไม่ได้?” สาวหน้ากลมโต้กลับทันที
ป้าคนนี้เหมือนจะรู้จักกฎระเบียบดี แต่เลี้ยงลูกสาวออกมาเป็นคนหน้าด้านแบบนี้ คิดอย่างไรก็ไม่ใช่คนดี
ไม่แน่ว่าแม่เป็นแบบไหนก็อาจจะให้กำเนิดลูกสาวแบบนั้นออกมาก็ได้นะ
ที่เธอจะพูดคือ ทำไมหัวหน้าเฉินถึงต้องแต่งงานกับหม่านซิ่วคนนี้ คนที่เคยแต่งงานมาก่อนแล้ว ที่แท้ก็ลอบอยู่ด้วยกันมาก่อนแล้ว
ไม่แปลกใจว่าทำไมหม่านซิ่วที่ยังไม่ได้แต่งงานกับหัวหน้าเฉินถึงอาศัยอยู่ที่นี่
ทำไมต้องนั้นถึงโง่นักที่ไม่ทันได้คิดถึงเรื่องนี้ ถ้ารู้แต่แรกก็คงไม่พลาดโอกาสนี้หรอก
สาวหน้ากลมหูเหอแดงยามนึกถึงชายหนุ่ม