เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 143 เป็นความผิดของพวกเขาทั้งหมด
บทที่ 143 เป็นความผิดของพวกเขาทั้งหมด
เซี่ยงหงถลาลงพื้นดังตุบแล้วกอดขาเฉินจื่ออันแน่นในเวลาเดียวกัน
“หัวหน้าเฉิน ฉันผิดไปแล้วค่ะ ฉันผิดไปแล้ว ฉันไม่ควรมาสร้างปัญหาให้พี่ซูเลย ฉันสำนึกผิดแล้วจริง ๆ ค่ะ”
เธอร้องห่มร้องไห้อย่างน่าสมเพช แม้แต่ภาพลักษณ์ของเด็กผู้หญิงไม่ได้สนใจอีกต่อไป น้ำมูกน้ำตาไหลเปรอะเปื้อนเต็มหน้า
แม้แต่คนที่เฝ้าดูก็อดถอดถอนใจด้วยความสงสัยไม่ได้ว่าเฉินจื่ออันทำเกินไปหรือเปล่า
อย่างไรเสียหล่อนก็เป็นเด็กผู้หญิงนี่นา ถึงจะมีทำผิดไปบ้าง แต่ในฐานะผู้ใหญ่จำเป็นต้องโต้เถียงกับคนเด็กกว่าอย่างหล่อนด้วยหรือ
บางคนก็ว่าเฉินจื่ออันทำเกินไป
ชายหนุ่มผู้ตกเป็นประเด็นกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ทำให้ผู้คนที่ส่งเสียงจอแจปิดปากฉับ
เขากระชากขาตัวเองออกมาอย่างแรง ส่งผลให้เซี่ยงหงถลาล้มลงกับพื้นโดยไม่รู้ตัว
เฉินจื่ออันหลุบตามองไปยังเซี่ยงหงตรงหน้า สายตาเย็นเยือกดุจธารน้ำแข็ง ถึงสภาพอากาศจะสดใส แต่เซี่ยงหงก็ยังหนาวสั่น
“เซี่ยงหง เธอคิดจะทำลายฉันใช่ไหม?”
เธอคุกเข่าต่อหน้าเขาเพื่อให้คนอื่นเห็นใจ ควรจะพูดว่าอย่างไรดีล่ะ?
ลูกสาวของตระกูลเซี่ยงคนนี้มาเพื่อขอความเมตตา หรือมาเพื่อทำอะไรลับหลังกันแน่?
ตอนนี้เซี่ยงหงไม่ได้คุกเข่าแล้ว เธอหมอบคลานอยู่กับพื้น ไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไร สิ่งที่อีกฝ่ายพูดหมายความว่าอย่างไร?
“หัวหน้าเฉิน ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นค่ะ!” เธอพึมพำ “ฉันแค่อยากให้คุณปล่อยฉันไป ฉันไม่อยากถูกส่งตัวไปชนบท!”
“แล้วเธอเป็นจะเป็นเยาวชนพวกนั้นที่ถูกส่งตัวไปชนบททำไม งั้นก็ไปถามพ่อเธอสิ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉัน!”
“พ่อให้ฉันเป็นเยาวชนเพราะคุณ เขาบอกว่าคุณโกรธมาก!” เสียงของเซี่ยงหงแผ่วเบา
“ฉันโกรธเพราะครอบครัวเธอทำมากเกินไปแล้ว เซี่ยงหง ต้องให้ฉันบอกเธอไหมว่าครอบครัวเธอทำอะไรไว้บ้าง?” เฉินจื่ออันยิ้มเย็น
เซี่ยงหงใส่ร้ายเขาไม่สำเร็จ ส่วนสือสวิ่นฟางก็ให้คนมาตรวจสอบเขา กะทำลายเขาอย่างถอนรากถอนโคนเลยสินะ
ครั้งนี้ที่ให้เซี่ยงหงถูกส่งตัวไปชนบทก็เพื่อเชือดไก่ให้ลิงดู และรักษาหน้าตาตระกูลเซี่ยงเอาไว้ ไม่คิดเลยว่าเซี่ยงหงไร้สมองคนนี้จะมาสร้างความวุ่นวายถึงบ้าน
เด็กหญิงมองชายหนุ่มด้วยความตกใจ เธอคิดมาตลอดเลยว่าเฉินจื่ออันไม่มีทางรู้ในสิ่งที่แม่เธอทำ
แล้วเขาหมายถึงอะไรกัน?
รู้แล้วหรือ?
ถึงจะแข็งแกร่งแต่ก็ตัวคนเดียว แล้วจะรู้ได้อย่างไร?
ไม่ เป็นไปไม่ได้
เขาไม่มีทางรู้หรอก ต้องโกหกกันแน่ ๆ
เฉินจื่ออันมองเซี่ยงหงที่กำลังตื่นตระหนก ยังมีอะไรไม่เข้าใจอีกล่ะ?
ก็เป็นคนแวดวงในเหมือนกัน ไม่แน่ว่าอาจเพราะการยุยุงของเธอ สือสวิ่นฟางถึงได้หาคนมาตรวจสอบเขา
เพราะนี่คือเสือจริง ๆ ไม่ใช่แมวป่วย*[1]!
“กลับไปบอกลุงกับพ่อเธอด้วยว่านี่จะเป็นครั้งแรก แล้วก็เป็นครั้งสุดท้าย! ถ้าหลังจากนี้มันเกิดขึ้นอีก จะไม่ใช่แค่ส่งตัวไปชนบทแล้ว!”
ว่าจบก็จูงมือเสี่ยวเถียนเข้าบ้านไม่สนใจเซี่ยงหงอีกต่อไป
เขาไม่อยากต่อปากต่อคำกับเด็กด้วยเรื่องนี้
ก่อนซูเสี่ยวเถียนจะเดินเข้าไปก็มองเซี่ยงหงที่เดินกะเผลกอย่างครุ่นคิด!
ส่วนเซี่ยงหงตกตะลึงไปแล้ว
ที่มาเอะอะโวยวายในวันนี้ เดิมทีก็เพื่อบีบบังคับให้เฉินจื่ออันยอมแพ้ที่จะส่งตัวเธอไปชนบท โดยคิดว่าหากอยู่ภายใต้สายตาของทุกคน เขาจะยอมทำเพื่อชื่อเสียงตัวเอง
ไม่คิดเลยว่าเรื่องราวยากจะรับมือกว่าที่คาดการณ์ไว้เสียอีก
เฉินจื่ออันต้องโกรธมากแน่ตอนที่รู้ว่าแม่เธอทำอะไรลงไป คราวนี้เธอคงถึงวาระแล้วจริง ๆ!
เป็นพวกเยาวชนที่ถูกส่งตัวไปชนบท ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะได้กลับ ชั่วชีวิตนี้พังแล้วจริง ๆ
เธอไม่อยากเป็นแบบนี้ เธออยากอยู่ในอำเภอและมีชีวิตที่ดี ไม่อยากไปลำบากยากเค้นที่ชนบท!
ตอนนั้นเองที่เห็นเงาร่างอันคุ้นเคย
จะเป็นใครไปได้อีกถ้าไม่ใช่ซูเสี่ยวฉิน?
ครู่เดียว เซี่ยงหงก็จำสิ่งที่ซูเสี่ยวฉินพูดก่อนหน้านี้ได้
ซูเสี่ยวฉินเป็นคนยุให้เธอมาบ้านเฉินจื่ออัน ถ้าไม่ใช่เพราะซูเสี่ยวฉิน เธอคงไม่บุ่มบ่ามมาถึงหน้าบ้านและตกลงมาถึงจุดนี้ในวันนี้หรอก
ซูเสี่ยวฉินทำร้ายเธอ!
เธอคิดว่าตัวเองดีต่อเด็กผู้หญิงคนนั้นมาก และปกป้องเธอมาตลอดราวกับน้องสาวแท้ ๆ ของตัวเอง
ไม่อย่างนั้น เด็กสาวแบบนี้จะอยู่รอดในอำเภอมาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร?
ก็คงถูกรังแกจนตายไปนานแล้ว!
แล้วดูเธอว่าตอบแทนกันอย่างไร?
พอคิดถึงตรงนี้ เซี่ยงหงก็หมุนตัวพุ่งหาไปซูเสี่ยวฉิน
แน่นอนว่าซูเสี่ยวฉินเองก็เห็นพี่สาวคนนี้นั่งอยู่หน้าบ้านเฉินจื่ออัน และไม่เคยเห็นอีกฝ่ายอยู่ในสภาพน่าสิ้นหวังเช่นนี้มาก่อน
เธอสงสัยว่าควรจะก้าวไปข้างหน้าและพูดอะไรสักคำหรือไม่ แต่ดันเห็นคนคนนั้นพุ่งเข้ามาหาแทน
“เซี่ยงหง…” ซูเสี่ยวฉินฝืนยิ้มออกมาและกำลังจะเอ่ยทักทาย ทว่าก็ถูกตบจนล้มไปกับพื้น
“นังสารเลว! แกทำร้ายฉัน แกดีใจที่ตอนนี้ฉันโดนส่งตัวไปชนบทสินะ สาแก่ใจหรือยัง?”
ดวงตาของเซี่ยงหงแตกเป็นฝอย แววตานั้นไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“พี่เซี่ยงหง ฉันไม่ได้คิดแบบนั้น!” ซูเสี่ยวฉินพูดอย่างน้อยใจ
ซูเสี่ยวฉินอายุยังน้อย ท่าทางเลยอ่อนแอ ตอนนี้มีน้ำตาไหลสองข้าง ทำให้เธอดูน่าสงสารยิ่งขึ้น
ภายใต้ความแตกต่างของรูปร่างเล็กของซูเสี่ยวฉิน ทำให้เซี่ยงหงดูน่าเกลียดยิ่งกว่า
เดิมทีผู้คนรอบตัวเห็นอกเห็นใจ และเริ่มส่งเสียงซุบซิบนินทาขึ้นมา
สำหรับเซี่ยงหงที่อยู่ในความเศร้าโศก จึงไม่สนใจเสียงของผู้คนรอบข้างเลย
แน่นอนว่าคงเป็นเพราะเจ้าตัวคิดว่าชีวิตตัวเองพังทลายไปหมดแล้ว เลยไม่จำเป็นต้องสนใจภาพลักษณ์อีก
ก่อนหน้านี้เคยเห็นท่าทางเด็กคนนี้น่าสงสารมาก แต่ตอนนี้กลับรู้สึกน่าขยะแขยงเหลือเกิน
ไม่ต้องคิดให้มากความ เซี่ยงหงก็ลงไม้ลงมือใส่เสี่ยวฉิน
“นังสารเลว ตั้งแต่ที่แกมาอำเภอฉันก็คอยปกป้องดูแลแก ให้ข้าว ให้เสื้อผ้า แต่ไม่คิดเลยว่าจะเลี้ยงหมาป่าตาขาวให้มาทำร้ายฉัน!”
“ซูเสี่ยวฉิน เสื้อผ้าที่แกใส่มันคู่ควรไหม? ข้าวที่กินทุกวันมันสมควรกินไหม? นังสารเลว สารเลว!”
เซี่ยงหงทั้งด่าทั้งตบตีระบายความคับข้องใจทั้งหมดในใจที่มีใส่ซูเสี่ยวฉิน
ซูเสี่ยวเถียนที่อยู่ในสวน บังเอิญได้ยินประโยคนี้พอดีก็อดเยาะเย้ยไม่ได้
ซูเสี่ยวฉินเป็นเพียงหมาป่าตาขาวที่เลี้ยงไม่เชื่องไม่ใช่หรือ? หลายปีมานี้ให้ข้าวให้น้ำ แต่กลับคิดว่าผิดที่ทำไมถึงไม่เอาของที่ดีที่สุดให้เธอแทน
อย่างที่คาดไว้ ซูเสี่ยวฉินคิดแบบเดียวที่เสี่ยวเถียนนึกเมื่อครู่เลย ทำไมเซี่ยงหงถึงไม่พาเธอกลับบ้านไปด้วย มันผิดที่ตระกูลเซี่ยงไม่รับเธอเป็นลูกสาว
เซี่ยงหงตบตีอย่างหนักหน่วง และคนถูกลงไม้ลงมือก็เริ่มต่อต้านแล้ว
แต่เพราะขนาดร่างกายที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดช่องวางความแข็งแกร่ง
คนตัวเล็กกว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงการทุบตีอย่างรุนแรงได้
แต่ซูเสี่ยวฉินเป็นคนปากไว
“เธอเอาแต่พูดว่าปฏิบัติกับฉันอย่างดี แล้วมันดีจริง ๆ หรือ? เธอก็แค่จะใช้ประโยชน์จากฉัน”
“ถ้าดีจริง ๆ ทำไมถึงให้เสื้อผ้าเก่า ๆ กับฉันล่ะ ทำไมฉันไม่สมควรจะได้ใส่เสื้อผ้าใหม่ ๆ เล่า?”
“ถ้าดีจริง ๆ แล้วทำไมถึงให้ฉันอยู่แต่ในที่สกปรก บ้านเธอก็มีห้องหับตั้งหลายห้อง ทำไมให้ฉันแค่ห้องเดียวล่ะ?”
“แล้วถ้าดีจริง ๆ ทำไมพ่อแม่เธอไม่รับฉันเป็นลูกสาว?”
ถึงจะต้านไว้ไม่ได้แต่ก็พูดได้ เลยเปลื้องความในใจออกมาจนหมด
ถูกต้อง ก่อนหน้านี้เคยเกลียดพวกบ้านซูอย่างไร ตอนนี้ก็เกลียดเซี่ยงหงอย่างนั้น
เซี่ยงหงทำแบบนั้นก็เพื่อให้ตัวเอง ซูเสี่ยวฉินเองก็รู้สึกว่าเธออับอายขายหน้าสินะ
ให้ทานแท้ ๆ แต่ไม่ได้ทำจากใจจริง!
คนเป็นพี่ไม่คิดเลยว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้จากปากเสี่ยวฉิน ทัศนะทั้งสาม*[2] พลันแตกสลาย
นี่มันความคิดประหลาดอะไรกัน?
ทำไมถึงคิดว่าเด็กบ้านนอกที่หนีออกมาสมควรได้รับสิ่งที่ดีที่สุด?
มีค่าพอให้เป็นลูกสาวตระกูลเซี่ยงหรือ?
แล้วทำไมถึงคิดว่าครอบครัวเซี่ยงปฏิบัติต่อเธอไม่ดีด้วย?
ถึงเสื้อผ้าที่เคยมอบให้จะเคยใส่แล้ว แต่ก็สะอาดสะอ้าน ไม่มีรอยปะสักตัวเดียว
เสื้อผ้าแบบนี้ ยากมากที่คนส่วนใหญ่จะได้ใส่
ทุกเดือนก็ให้เงินและอาหารไม่น้อย แล้วยังใช้ความสัมพันธ์ของตระกูลเซี่ยงช่วยเธอแก้ปัญหาด้านอาหารด้วย
ไม่อย่างนั้นเด็กสาวกำพร้าจะใช้ชีวิตดี ๆ ในอำเภอได้อย่างไรกัน?
แต่ตอนนี้มันกลายเป็นเรื่องที่ผิดไปหมด
เธอเกลียดอีกฝ่ายจริง ๆ!
เซี่ยงหงไม่ได้ลงมือกับคนตรงหน้าอีกต่อไป จากนั้นก็หัวเราะออกมาดัง ๆ หัวเราะจนร่างกายสั่นสะท้าน หัวเราะจนน้ำตาไหลออกมา!
เธอมันคนตาบอด ตาบอดไปแล้ว!
คนที่ดูรอบ ๆ ก็ตกตะลึง นี่มันความคิดอะไรกัน? คนที่ได้รับความช่วยเหลือดันไม่พอใจคนช่วยเหลือเนี่ยนะ?
โทษที่ไม่ยอมให้ของที่ดีที่สุดแก่เธอ?
“สาวน้อย เธอคิดผิดแล้วล่ะ พวกเขาช่วยเธอเพราะความรู้สึก ไม่ได้ช่วยเพราะหน้าที่”
“นั่นก็คือถ้ามีคนช่วยเธอ ก็ควรจะขอบคุณสิ จะมาโทษคนเขาได้อย่างไรว่าทำไมถึงไม่มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้?”
“เธอคิดว่า ไม่ว่าใครก็เป็นแม่แท้ ๆ เธอหรือไง? ที่ควรช่วยเธอทุกอย่างน่ะ?”
ซูเสี่ยวฉินได้ยินแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเห็นด้วยเสียหน่อย!
“พวกเธอจะไปเข้าใจอะไร? สำหรับเธอ เรื่องพวกนี้ที่ทำให้ฉัน มันไม่ได้เปลืองแรงอะไรนี่!” ซูเสี่ยวฉินโต้กลับทันที
แม้แต่คนที่รายล้อม ทัศนะคติทั้งสามยังแตกสลาย!
“ซูเสี่ยวฉิน ฉันมันตาบอด คิดว่าหมาป่าตาขาวอย่างแกจะดีได้ ถ้าแกคิดว่าฉันควรขอโทษ งั้นก็ขอโทษแล้วกัน จากนี้ไปจะไม่มีเงินคอยช่วยเหลือแกอีก ฉันอยากจะเห็นนักว่าคนอย่างแกจะใช้ชีวิตอย่างไร!”
ว่าจบก็เดินโซซัดโซเซออกไป ทิ้งเสี่ยวฉินไว้ตามลำพัง
ซูเสี่ยวฉินตื่นตระหนก ถ้าไม่มีเงินสนับสนุนของเซี่ยงหงจริง ๆ เธอจะทำอย่างไร?
แต่ตอนนี้เธอไม่เต็มใจจะขอโทษอีกฝ่าย
ช่างมัน เซี่ยงหงก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว เวลาโมโหจริง ๆ รอสักวันสองวันค่อยไปพูดดี ๆ ด้วยเดี๋ยวก็หายแล้ว
หลังจากที่โดนตบตีกลับไม่กล้าขุ่นเคืองพี่สาว แต่เอาความรู้สึกเหล่านั้นใส่ซูเสี่ยวเถียนและซูหม่านซิ่วแทน
เธอมองไปประตูบ้านของเฉินจื่ออันอย่างชั่วร้าย
ถ้าครอบครัวนี้มันคิดว่าเธอเป็นญาติจริง ๆ ก็ควรจะช่วยสิ ปล่อยให้โดนเซี่ยงหงดูถูกแบบนี้ได้อย่างไร?
มันเป็นความผิดของพวกเขาทั้งหมด!
*[1] อย่าประเมินค่าต่ำไป อย่าคิดว่าไม่เอาไหน
*[2]ทัศนคติต่อโลก ทัศนคติต่อชีวิต ทัศนคติต่อคุณค่า