เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 16 ฉันจะไม่ถามแก
บทที่ 16 ฉันจะไม่ถามแก
บทที่ 16 ฉันจะไม่ถามแก
ฉืออี้หย่วนมองไปยังซูเสี่ยวเถียน ภายในใจเกิดความรู้สึกผสมปนเป
ไม่รู้ว่าทำไมทุกครั้งที่เขามองไปยังซูเสี่ยวเถียน เหมือนได้เห็นน้องสาวที่จากไปเมื่อนานมาแล้ว
สองสามวันก่อนที่เห็นเธอถูกผลักลงไปในแม่น้ำ หัวใจพลันเจ็บปวดมากจนกระโดดลงไปในแม่น้ำโดยไม่ได้คิดอะไร และพยายามช่วยเธอขึ้นมาอย่างเต็มที่
ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะเข้ามาเกี่ยวพันกับสาวน้อยคนนี้ได้
ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดีกันแน่ที่เธอได้ปู่ของเขามาเป็นครู
ท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างล้วนมีโชคชะตาของมันเอง เหตุใดเขาต้องแกว่งเท้าหาเสี้ยนด้วย?
“อี้หย่วน จากนี้ไปน้องเถียนจะเป็นน้องสาวของหลานแล้วนะ ต้องปกป้องเธอดี ๆ นะรู้หรือไม่” ฉือเก๋อกล่าวอย่างเคร่งขรึม
เขารู้ว่าภายในใจของหลานชายมีปมแบบไหนอยู่ หากมีการน้องสาวอย่างซูเสี่ยวเถียน หากไม่มากเกินไปก็คงทำให้ในใจหลานชายเบาขึ้นสักหน่อยคงจะดี
น้องสาว?
ฉืออี้หย่วนตกตะลึงเล็กน้อย
ซูเสี่ยวเถียนก็ตกตะลึงเช่นกัน
ดูเหมือนจะมีเรื่องไม่ถูกต้องอยู่นะ
ซูเสี่ยวเถียนครุ่นคิด ตนเองจะเป็นน้องสาวของฉืออี้หย่วนได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าเธอฝากตัวเป็นศิษย์คุณปู่ฉือนะ?
แต่คงไม่ได้จะพูดว่าให้เธอเป็นป้าของฉืออี้หย่วนใช่ไหม?
ช่างเถิด จะตำแหน่งไหนก็ไม่สำคัญหรอก
แต่ฉืออี้หย่วนคิดไปมากกว่านั้น
เขาคิดว่าคุณปู่ยอมรับซูเสี่ยวเถียน แม้จะเป็นเพราะพรสวรรค์ แต่เหตุผลส่วนหนึ่งคือรู้ว่าปมในใจของเขาไม่สามารถแก้ไขได้
“คุณปู่วางใจเถอะ ผมจะปกป้องน้องสาวอย่างดีครับ!”
ฉืออี้หย่วนไม่อยากให้ปู่กังวล จึงพยักหน้าตอบรัยด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นที่หายไปนาน
คุณปู่ซูไม่เข้าใจว่าทำไมหลานสาวของเขาถึงอยากให้ฉือเก๋อเป็นครูของตนเอง
แต่ว่าครอบครัวชาวนาจะให้ความสำคัญในเรื่องการตอบแทน หากรู้จักครูอาจารย์ก็ต้องมอบขอบตอบแทนให้ แม้ว่าวันนี้เขาจะเอามาส่วนหนึ่ง แต่นั่นก็เพื่อขอบคุณฉืออี้หย่วนที่ช่วยชีวิตเสี่ยวเถียนหลานรักเอาไว้ ไม่นับว่าเป็นคารวะครูหรอก
ดูเหมือนว่าหลังจากกลับถึงบ้านแล้ว คงต้องให้ยายเฒ่าเตรียมของไหว้ครูอย่างเป็นทางการที่พอดูได้สักหน่อยแล้ว
“พี่ฉือ ผมรู้ ที่น้องเถียนรับคุณเป็นครูก็เป็นบารมีสูงส่งแล้ว ถึงครอบครัวเราจะเป็นเกษตรกร แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจกฎอะไรเลย”
“ตอนนี้ไม่มีกฎมากมายเช่นนั้นหรอก” ฉือเก๋อโบกมือพัลวัน
“พี่ฉือ พีธีคารวะไม่สามารถละเลยได้นะ รออีกสองวัน ผมจะเตรียมมื้ออาหารไว้ เชิญท่านมาที่บ้านเถอะ มันก็นับว่าเป็นพิธีหนึ่ง พิธีคารวะครู ครอบครัวของผมก็จะจัดด้วย!” คุณปู่ซูยืนกราน
“นี่ไม่ได้เอาฟักทองเก่ามาหรอกหรือ?” คุณปู่ฉือพูดพลางชี้ไปที่ตะกร้าไม้ไผ่ข้าง ๆ เขา
“ไม่ได้หรอก นี่คือคำขอบคุณเด็กน้อยฉือที่ช่วยเสี่ยวเถียนหลานรักเอาไว้ จะมาเป็นของคารวะครูได้อย่างไร?”
“น้องชายซูเกรงใจเกินไปแล้ว” ฉือเก๋อว่า “น้องหย่วนช่วยน้องเถียนไว้นั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น ช่วยหนึ่งชีวิตยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้นเสียอีก! การช่วยชีวิตผู้คนก็เหมือนได้ช่วยชีวิตตัวเองด้วย!”
แต่คุณปู่ซูกลับลุกขึ้นแล้วพูดว่า “อย่างที่ผมบอกไป พอดีเลยอีกไม่กี่วันจะเป็นวันเกิดผมอายุครบหกสิบปี ผมจะใช้สิ่งนี้เป็นข้ออ้างเพื่อเชิญผู้เฒ่าในหมู่บ้านสักสองสามคนมาร่วมด้วย แค่ไม่ต้องให้เสี่ยวเถียนคุกเข่าขอคำนับท่านก็พอ รู้สึกละอายใจจริง ๆ”
ฉือเก๋อหัวเราะ “น้องชายซูเกรงใจเกินไปแล้ว วันนี้น้องเถียนก็คุกเข่าคำนับไปแล้วอย่างไรล่ะ!”
หลังจากซูเหล่าซานทำงานเสร็จก็ได้รู้จากพ่อว่าลูกสาวตัวน้อยฝากตัวเป็นศิษย์กับอาจารย์ จึงเกือบจะตกใจจนกรามค้างแล้ว
นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
ถึงแม้ว่าการฝากตัวเป็นศิษย์จะดี แต่อาจารย์ฉือก็คือคนที่ถูกจับตามอง เช่นนี้แล้วจะไม่กระทบต่อครอบครัวเราหรือ?
เขาถามเสียงแผ่วเบา แต่กลับถูกคุณปู่ซูถูกจ้องกลับมา
“เจ้าเด็กคนนี้ ไม่เข้าใจหรืออย่างไร? คนอย่างอาจารย์ฉือไม่ใช่คนธรรมดา และประเทศจะไม่ยอมให้คนเก่งที่แท้จริงอยู่ในถิ่นทุรกันดารเหมือนอย่างพวกเราตลอดไปหรอก ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจะต้องกลับไปในที่สุด ต้องพูดว่าเป็นบารมีสูงส่งของครอบครัวพวกเราแล้ว!”
หากไม่เป็นเพราะอาจารย์ฉือถูกเนรเทศมาที่แห่งนี้ กลับกันแล้วจะให้หลานสาวตัวน้อยของเขาฝากตัวเป็นศิษย์ได้ที่ไหน?
ในเวลาเดียวกันนั้น ฉืออี้หย่วนหยิบฟักทองในตะกร้าออกมา
ตอนนั้นเองที่ค้นพบว่าไม่ใช่แค่ฟักทองลูกใหญ่ในตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่
ใต้ฟักทองยังมีแป้งทอดและน้ำตาลหนึ่งถุง ส่งกลิ่นเนื้อหอมกรุ่นลอยออกมา
แม้ว่าท่าทางของจะนิ่งสงบ แต่ก็อดน้ำลายสอไม่ได้
ตั้งแต่มาถึงหมู่บ้านแห่งนี้ก็ไม่เคยได้กินเนื้ออีกเลย ครั้นได้กินก็พลันรู้สึกหิวขึ้นมา
“คุณปู่ มันคือแป้งทอดไส้เนื้อ” น้ำเสียงของฉืออี้หย่วนตื่นเต้นเล็กน้อย
“ตระกูลซูเกรงใจเกินไปแล้ว อี้หย่วน ผู้ที่ตอบแทนน้ำใจเช่นนี้เป็นคนที่สามารถสร้างมิตรภาพอันเหนียวแน่นได้” ฉือเก๋อกล่าว “สองปู่หลานจะทำเงินได้แล้ว”
“คุณปู่ ไม่ควรยอมรับนะครับ!” ฉืออี้หย่วนมองที่ฉือเก๋อด้วยแววตาแน่วแน่
“ฉันเข้าใจที่แกหมายถึง แต่ฉันไม่อยากให้เด็กคนนี้พลาดไปจริง ๆ ยิ่งไปกว่านั้นสถานการณ์ทางการเมืองกำลังเปลี่ยนแปลง หรือวันสักวันอาจจะผ่านพ้นไปก็ได้”
ชีวิตของฉือเก๋อยังเปี่ยมไปด้วยความหวัง
หากแต่ฉืออี้หย่วนเงียบกริบไม่พูดไม่จา!
เมื่อซูเสี่ยวเถียนกลับถึงบ้าน เธอตื่นเต้นมากจนนอนไม่หลับพลิกตัวไปมา
ตอนที่เธอกำลังอ่านหนังสืออยู่ แม้ว่าจะจำเนื้อหาได้ แต่หนังสือขั้นสูงบางเล่มที่เจอในสองวันที่ผ่านมาก็มีบางจุดที่อ่านไม่เข้าใจอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ก่อนหน้านี้ยังกังวลว่าจะขอคำแนะนำจากใครดี แต่หลังจากวันนี้ได้ที่รู้จักอาจารย์ฉือผู้เป็นครูของเธอ มันก็ง่ายราวกับปอกกล้วยเข้าปาก
ในห้องโถง คุณปู่ซูเล่าเรื่องการฝากตัวเป็นศิษย์ของหลานสาวตัวน้อยซ้ำอีกครั้ง “พิธีนี้ไม่สามารถละทิ้งได้ แม้ว่าครอบครัวของเราจะยากจน แต่เราจำเป็นต้องแก้ไขพิธีคารวะครูที่เหมาะสมขึ้นมาจึงจะเป็นการดี”
คุณย่าซูไม่คัดค้านหลังจากได้ยินมัน เธอพูดแค่ว่า “ให้เนื้อสองจิน ไข่ไก่สองจิน น้ำตาลอีกหนึ่งถุง แล้วก็แป้งสาลีห้าจินดีหรือไม่? ของขวัญสี่อย่างค่อนข้างดีทีเดียว”
คุณปู่ซูตกใจเมื่อได้ยินยายเฒ่าพูดเช่นนี้ออกมา
“ยายเฒ่า ครอบครัวเราให้ของขวัญมูลค่าสูงเช่นนี้ได้ด้วยหรือ?”
ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าสถานการณ์ในบ้านเป็นอย่างไร แต่ถ้าจัดพิธีคารวะครูเช่นนี้ กลัวว่าครอบครัวจะอดตายเสียก่อน!
แม้ว่าเขาจะโปรดปรานหลานสาวตัวน้อย แต่จะไม่ให้เรื่องของเธอมาทำให้ครอบครัวอดตายหรอกนะ
“ตาเฒ่า ไม่ต้องกังวลหรอก ถ้าฉันบอกว่าไหวก็ต้องไหวสิ นอกจากนี้ครอบครัวเราจะไม่อดตายแน่นอน” คุณย่าซูพูดด้วยความมั่นใจ
คุณปู่ซูรู้สึกว่ายายเฒ่ากำลังมีความลับบางอย่าง แต่ก็ยังอดทนที่จะไม่ถามออกมา
บางเรื่องที่ถูกเรียกว่าความลับก็เพราะไม่ต้องการให้คนอื่นรับรู้
“ตาเฒ่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่สามารถนำอันตรายมาสู่คนในครอบครัวได้หรอก”
“ฉันรู้ ฉันจะให้เหล่าซานใช้เวลาไปในตัวอำเภอเพื่อซื้อของด้วย ตำบลนี้เล็กเกินไปนัก” คุณย่าซูเข้าใจว่าคุณปู่ซูหมายถึงอะไร
เธอเองก็ครุ่นคิดเรื่องนี้ หากเข้าไปในตัวตำบลบ่อย ๆ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องตกเป็นที่สนใจ แต่ถ้าไปในตัวอำเภอมันจะไม่เหมือนกัน เพราะที่แห่งนั้นมีคนเยอะ ไม่มีใครมาคอยจ้องมองด้วย
พูดอีกอย่างก็คือ ของเล็กน้อยเช่นนี้ ไม่ต้องใช้เวลาสองหรือสามครั้งถึงจะถือกลับมาบ้านได้
คุณปู่ถูกทำให้ตกใจ ตำบลเล็กเกินไปงั้นเหรอ?
นี่หมายความว่าอย่างไร? เป็นไปได้หรือไม่ว่าครอบครัวเรายังมีตั๋วอีกมากที่สามารถแลกเป็นอาหารได้?
“ตาเฒ่า ที่บ้านยังมีตั๋วอีกเยอะ ฉันจะไม่บอกว่ามันมาจากไหน แกรู้ว่ามีก็พอแล้ว”
คุณย่าซูพูดอย่างตรงไปตรงมา
คุณปู่ซูพลันรู้สึกโล่งใจ
“ฉันไม่ถามแกหรอก พยายามระวังเข้าไว้ ถ้าลูก ๆ มาถามอีกก็บอกไปว่าฉันเคยช่วยคนมาก่อน เขาก็เลยเพิ่งส่งของมาให้”
คำพูดของคุณปู่ซูไม่ได้ไร้จุดหมาย ตอนที่เขายังเด็ก เขาเป็นคนจิตใจดี ช่วยคนอื่นไว้ไม่น้อย บางครั้งคนที่ได้รับความช่วยเหลือจากคุณปู่มักจะมาตอบแทนและก็จากไป