เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 171 ทุกอย่างต้องยุติธรรม
บทที่ 171 ทุกอย่างต้องยุติธรรม
บทที่ 171 ทุกอย่างต้องยุติธรรม
ขนมไข่นั้นคือสิ่งของล้ำค่า
สองปีก่อน ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่บ้านหลักตระกูลซูจะได้กินของดี ๆ อย่างเช่นขนมไข่
ถึงตอนนั้นจะมีลูกเขยหนึ่งคนทำงานที่สหกรณ์ แต่สามีของลูกสาวคนนั้นพึ่งพาไม่ได้เลย
แล้วสองปีที่ผ่านมานี้บ้านเราดีขึ้นมาก และดียิ่งขึ้นไปอีกตั้งแต่เฉินจื่ออันเข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกัน ทั้งยังเอาขนมอบมาฝากจากอำเภอด้วย
ส่วนมากแล้วจะเป็นขนมไข่ ทว่าบ้านหลักตระกูลซูมีสมาชิกจำนวนมาก เด็ก ๆ ได้กินมากสุดคือครึ่งชิ้น
แต่ครึ่งหนึ่งเหล่าพี่ชายยังเก็บไว้ให้เสี่ยวเถียนน้องเล็กของเขากินด้วย ส่วนตนเองกินเพียงส่วนที่เหลือเล็กน้อยเท่านั้น
“แมวตะกละ ไม่เหมือนน้องสาวเลยนะ!” เหลียงซิ่วอดหัวเราะไม่ได้ แล้วใช้นิ้วจิ้มหน้าผากลูกชาย
ซูเสี่ยวอู่ที่ถูกจิ้มหน้าผากได้แต่ยิ้มแผละ “คุณแม่ มือแม่ไม่มีกลิ่นหญ้าแล้ว มีแต่กลิ่นขนมไข่”
เด็กหนุ่มพูดไปด้วยพลางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ราวกับว่ามือแม่เป็นขนมไข่
บทสนทนาระหว่างฉีเหลียงอิงกับลูกชายไม่ต่างกันนัก ในฐานะแม่ที่ไม่เจอลูกชายมานาน จึงใกล้ชิดกันเกินกว่าจะบรรยายได้
ทั้งสองแม่ลูกใจดีต่อกัน บรรยากาศรอบด้านเต็มไปด้วยความอบอุ่น
ตอนนั้นเองที่ซานกงกับเสี่ยวลิ่วห้องใหญ่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด ซานกงแก่กว่าหน่อยนึง การแสดงออกจึงไม่ค่อยชัดเจนนัก
แต่เสี่ยวลิ่วยังเด็ก ดวงตาของเขาแดงก่ำที่เห็นเด็ก ๆ บ้านรองและบ้านสามทำตัวเป็นเด็ก ๆ ใกล้กับมารดาแล้วรอกินขนมไข่
แม่รองกับแม่สามทำงานเป็นคนงานในอำเภอ และตอนนี้พวกเธอก็เอาขนมไข่กลับมาด้วย
ถ้าเขาอยากกินด้วยจะทำอย่างไรดี? แต่มันไม่ใช่ของครอบครัวเขา
ทำไมแม่ต้องไปทำฟาร์มไก่ด้วย ทำไมไม่ไปโรงงานขนมไข่?
ไม่งั้นเขาเองก็จะได้กินขนมไข่เหมือนกัน
“พี่ครับ!” เสี่ยวลิ่วมองซูซานกงพี่ชายแท้ ๆ ของตัวเองอย่างใจจดใจจ่อ
ตอนนี้ซูซานกงโตมากแล้ว และไม่ยินดีจะเป็นฝ่ายไปขอขนมไข่จากแม่รองและแม่สามด้วย
แต่ดูหน้าตาอันเศร้าสร้อยของน้องชายที่อยากกินขนมไข่นั้นสิ ตนเองทำอย่างไรดี? จิตใจของเด็กหนุ่มปั่นป่วน เขาคิดหาวิธีที่จะทำให้จิตใจของเสี่ยวลิ่วไขว้เขว
คิดแม้กระทั่งที่ว่าควรไปฟาร์มไก่เพื่อปรึกษากับแม่ แล้วหาไข่ให้น้องกินดีไหม
แต่แวบเดียวก็ล้มเลิกความคิดนี้ แม่มีนิสัยแบบนั้น ไม่ใช่แค่ไม่ให้ไข่แต่จะโดนทุบด้วยน่ะสิ
“เสี่ยวลิ่ว รอก่อนนะ พี่จะพาไปเล่นบนเขาเองดีไหม?” ซูซานกงกระซิบกับน้องชายคนเล็ก
“บนเขามีอะไรหรือ?” ถึงเสี่ยวลิ่วจะยังคงรู้สึกเศร้าและอิจฉาอยู่บ้าง แต่ตอนนี้กลับรู้สึกโดนดึงดูดด้วยคำพูดของผู้เป็นพี่
“ไปขุดไข่กัน เดี๋ยวพี่ปิ้งให้กิน”
น้ำเสียงของซูซานกงแผ่วเบา เขาพยายามปลอบน้องชายคนเล็กอยู่
ใกล้ถึงฤดูหนาวเดือนสิบสองแล้ว บนเขายังมีไข่ด้วยหรือ? ซูซานกงเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เขาทำได้แค่พูดหลอกล่อน้องชายเท่านั้น
บ้านใหญ่มีลูกสามคน ซูโส่วเวินซึ่งทำงานกับหัวหน้าซูงานยุ่งทุกวัน เลยเหลือน้องอีกสองคนที่เล่นด้วยกันที่บ้าน เขาจึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเป็นพี่ชายที่ดี
พอได้ยินว่ามีไข่ข้างนอก เสี่ยวลิ่วก็มีความสุขมากและรีบคว้ามือซูซานกงเตรียมที่จะออกจากบ้าน
ตอนที่สองพี่น้องกำลังจะออกไป เหลียงซิ่วกับฉีเหลียงอิงก็รู้สึกถึงความผิดหวังของคนทั้งสอง
ฉีเหลียงอิงจึงกวักมือ “ซานกง จะไปไหนกันน่ะ? รีบมานี่เร็วเข้า ไม่อยากกินขนมไข่หรือ?”
ตอนนี้ซูโส่วเวินกับซูซื่อเลี่ยงไม่อยู่ที่นี่ ซานกงจึงเป็นพี่ใหญ่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งหมด
เด็กหนุ่มมองไปที่แม่รอง ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพาเสี่ยวลิ่วเข้าไปด้วย
“แม่รอง แม่สาม!” เด็กทั้งสองทักทายกันอย่างเชื่อฟัง
“นี่เป็นขนมที่แม่รองกับแม่สามเอามาให้ ลูกถือไปกินที่ห้องหลักด้วยสิ เหลือไว้ให้ปู่กับย่าหน่อยนะ ที่เหลือก็เอาไปแบ่งกันกิน”
ฉีเหลียงอิงหยิบขนมไข่ในมือตัวเองและมือเหลียงซิ่วก่อนจะยัดใส่มือของซานกง
“อย่าลืมเอาไปฝากให้พี่ใหญ่พี่รองด้วย ไม่งั้นกลับมาร้องไห้อยากกินจะทำอย่างไร?” เหลียงซิ่วสั่งเด็ก ๆ อีกครั้ง
ตอนที่เหลียงซิ่วกับฉีเหลียงอิงพูด ใบหน้าของพวกเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ซูซานกงมองแล้วพลันรู้สึกอบอุ่นในใจ
ที่แท้แม่รองแม่สามก็ยังไม่ลืมพวกเราพี่น้อง และแบ่งขนมไข่ให้พวกเราเหมือนกัน
“เข้าใจแล้วครับแม่รอง!” ซูซานกงกล่าวอย่างปรีดา
ครั้นเห็นเด็กทั้งสองมีความสุข พวกเธอต้องสบตากันแล้วคลี่ยิ้มออกมา
พวกเด็ก ๆ เริ่มโตขึ้นแล้ว จิตใจจึงอ่อนไหวมากขึ้น หลังจากนี้เวลาจะทำอะไรจะต้องระมัดระวังมากขึ้น ทุกอย่างต้องยุติธรรม
เมื่อซูเสี่ยวเถียนเห็นฉากนี้พลันอดยิ้มออกมาไม่ได้
ข้างนึงคว้ามือแม่ผู้ให้กำเนิด อีกข้างคว้ามือแม่รอง ไม่สามารถหุบรองยิ้มบนใบหน้าได้เลย
เธอกังวลอยู่เสมอ เพราะบ้านรองกับบ้านสามได้ไปทำงานในเมือง จากนี้ไปทั้งสามบ้านของเราอาจไม่มีความสุขและเกิดความขัดแย้งได้
ดูเหมือนว่าตอนนี้ความนี้อาจจะไม่เกิดขึ้น
แต่ในอนาคต… เธอไม่รู้ ตอนนี้เธอจะทำให้ดีที่สุดเพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างบ้านทั้งสาม และพยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง
ชาติก่อนพวกพี่ชายรักเธอมาตลอด และและพยายามทำให้เธอทุกอย่าง เกิดใหม่ชาตินี้เธอจึงตัดสินใจที่จะปฏิบัติต่อพี่ ๆ ให้เหมือนพี่ชายแท้ ๆ ของตัวเอง
เธอไม่อยากให้ความสัมผัสของทั้งสามเกิดความแตกแยก
ฉีเหลียงอิงและเหลียงซิ่วไม่เข้าใจว่าเสี่ยวเถียนยิ้มอะไร แต่กว่าจะคิดออก เด็กหญิงก็ปล่อยมือแล้ววิ่งออกไป
“หนูอยากกินขนมไข่ด้วย พี่สาม!” ซูเสี่ยวเถียนรีบวิ่งไปหาซูซานกงด้วยขาสั้น ๆ
พี่สามรู้สึกราวกับดอกไม้ในใจผลิบาน เขาส่งขนมไข่ในมือให้เสี่ยวซื่อ ก่อนจะอุ้มเสี่ยวเถียนขึ้นในอ้อมแขนแล้วชูขึ้นสูง ๆ
ร่างกายเด็กชายยังไม่ถือว่าแข็งแรงดี แต่เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อยกเด็กน้อยให้สูง
ซูเสี่ยวเถียนที่ถูกอุ้มโดยไม่คาดคิด ตอนแรกก็ตกใจ แต่ตอนนี้เอาแต่หัวเราะคิกคัก
“พี่สามสุดยอดไปเลย!”
ซูเสี่ยวเถียนคลี่ยิ้มให้กำลังใจ ทำซูซานกงมีพลังมากขึ้นแล้วหมุนตัวเป็นวงกลม
เห็นเด็ก ๆ มีสามัคคีรักใคร่กลมเกลียว คุณปู่คุณย่าก็หัวเราะร่า
ในฐานะคนแก่ ไม่มีอะไรน่ายินดีไปกว่าการได้เห็นความสามัคคีและมิตรภาพในครอบครัว
พวกเขาเคยเป็นกังวลเช่นกัน เพราะสถานการณ์ของทั้งสามบ้านเปลี่ยนไปแล้วในตอนนี้ มันอาจเกิดความขัดแย้งได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะปกติดี และในที่สุดก็สามารถปล่อยใจให้สบายได้
สะใภ้ทั้งสองเอาขนมไข่มาให้เยอะจริง ๆ น้ำหนักหกถึงเจ็ดจินเลย
เด็ก ๆ บ้านซูไม่มีนิสัยกินอยู่คนเดียว ทุกคนหยิบกันมาคนละชิ้น ส่วนที่เหลือวางไว้บนโต๊ะห้องหลัก รอคุณย่าซูมาจัดการ
“สะใภ้รอง สะใภ้สาม นี่เป็นของที่โรงงานให้พวกเธอหรือเปล่า?” คุณปู่ซูถามขณะหยิบบุหรี่ขึ้นมามวนหนึ่ง
“ไม่ได้ถือว่าให้ค่ะ แค่ราคาถูกกว่าและไม่ใช้ต้องตั๋วด้วย” ฉีเหลียงอิงเอ่ย “ขนมไข่หนึ่งจินราคาแปดเหมา แต่ที่พวกเราเอามามันแค่สองเหมาห้าเฟินค่ะ ราคาต้นทุนเลย ฉันกับพวกสามีคิดว่าเด็ก ๆ ไม่เคยกินกันเลยซื้อมาเยอะหน่อยค่ะ”
ขนมไข่ราคาถูกสามารถนับเป็นสวัสดิการในโรงงานได้ ดังนั้นจำนวนที่คน ๆ นั้นจะซื้อได้ในเดือนหนึ่งคือสูงสุดอยู่ที่ห้าจิน
คุณปู่ซูรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินคำตอบจากลูกสะใภ้
“พวกเธอทำงานเป็นคนงาน จะเอาเปรียบประเทศไม่ได้” คุณปู่ซูพูดอย่างจริงจัง “บ้านเราทำเรื่องแบบนั้นไม่ได้!”
คำบางคำควรพูดออกมาก่อนเพื่อไม่ให้มันเกิดขึ้นในอนาคต ก่อนที่มันจะสายเกินกว่าจะพูด
คุณปู่ซูเป็นคนมีความรับผิดชอบ ไม่เคยทำอะไรเอาเปรียบส่วนรวมเลยมาทั้งชีวิต
“เข้าใจแล้วค่ะพ่อ วางใจได้เลยนะ!” สะใภ้ทั้งสองมองหน้ากันก่อนจะพูดพร้อมกัน
เหลียงซิ่วและฉีเหลียงอิงกลับบ้านครั้งนี้ ไม่ได้เอาอะไรมาเลยนอกจากขนมไข่
เพราะอย่างไรก็เพิ่งทำงานได้ไม่ถึงเดือน ไม่มีเงินและตั๋ว ขนมไข่ของโรงงานก็เอามาได้นิดหน่อย
คุณย่าซูกลัวว่าสิ่งที่สามีพูดจะทำให้ลูกสะใภ้ไม่พอใจ เธอจึงเอ่ยบ้าง “พวกเธอกลับมาแล้ว งั้นเย็นนี้มาทำอาหารดี ๆ สักมื้อเถอะ”
“แม่ ฉันอยากกินข้าวที่บ้านมาตั้งนานแล้ว อาหารที่โรงงานไม่อร่อยเลยค่ะ” ฉีเหลียงอิงหัวเราะ
อันที่จริงมันดีนะ น้ำมันและเนื้อสัตว์มากกว่าที่บ้านอีก แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกว่าไม่อร่อยเท่าที่บ้าน