เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 180 เธอสั่งสอนเองไม่เป็นต่างหาก
บทที่ 180 เธอสั่งสอนเองไม่เป็นต่างหาก
บทที่ 180 เธอสั่งสอนเองไม่เป็นต่างหาก
“เสี่ยวเถียน ถ้าเราไปถึงชุมชนเมื่อไร ก็กลัวแต่เขาจะหัวเราะหาว่าพวกเราโง่น่ะสิ!” ซูเสี่ยวปาพูดอย่างเศร้าใจ
เดินไกลขนาดนี้ทั้งยังแบกหินสองก้อนอีก โชคดีที่เสียวเถียนคิดหาวิธีออก
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ถ้ามีคนถามก็บอกว่าหินกดผักกาดดองบ้านเราแตก ก็เลยแบกมันกลับมาสองก้อน” ซูเสี่ยวเถียนคิดได้รอบคอบมาก
เทียบกับสมบัติสองอย่างที่ได้ก่อนหน้านี้แล้ว ก้อนหินสองก้อนนี้ดีกว่าอีก ไม่โดดเด่นและไม่ใครคิดว่าจะเป็นสมบัติด้วย
ซูเสี่ยวปาร้องเอ่อออกมา แล้วไม่ได้พูดสิ่งใดอีก
น้องสาวพูดถูก ถ้าบอกว่าเอาไว้กดผักกาดดองก็ไว้กดผักกาดดองสิ
อย่างไรถ้ามองจากขนาดก็ดูเหมาะนะ
แน่นอนว่าตอนกลับมาถึง มีคนถามด้วยความสงสัยว่าเพราะอะไรถึงแบกหินสองก้อนนี้กลับบ้านมาด้วย
“หินสองก้อนนี้สวยมากค่ะ เอาไปเป็นหินกดผักกาดดองต้องดีแน่ ๆ ผักจะได้อร่อย!” ซูเสี่ยวเถียนยิ้มอย่างอ่อนหวาน และตอบตรง ๆ โดยไม่แสดงท่าทีสุภาพใด ๆ เลย
หญิงสาวคนนั้นมองซ้ายมองขวา ไม่เห็นจะมีความสวยงามตรงไหนเลย หินบนเขาจะสวยกว่าสองก้อนนี้อีก บางก้อนมีลวดลายด้วย
แต่เธอเป็นเด็กหญิงผู้เป็นที่รักของคนในบ้าน ถ้าเธอบอกว่าสวย ทุกคนก็จะคิดว่าบนหินสีดำมีดอกไม้อยู่แบบนั้น
“สวยก็สวย!”
พอกลับมาถึงบ้าน และเห็นสี่แม่ลูกแบกหินกลับมาคุณย่าซูก็อดหัวเราะไม่ได้
“พวกเธอทำอะไรน่ะ? เอาอะไรมาไม่เอาเอาหินมาเนี่ยนะ”
“แม่ ถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยวเถียนยืนกรานว่าหินสองก้อนนี้ดีมาก ฉันก็ไม่เอามาหรอกค่ะ” เหลียงซิ่วพูดอย่างช่วยไม่ได้
ลูกสาวของเธอถูกเอาใจจนเสียคนแล้ว ล้วนก็ผลงานของแม่สามีนั้นแหละ
“เสี่ยวเถียนอยากได้หรือเนี่ย งั้นก็เอากลับมาเถอะ” อย่างที่คิด คุณย่าซูพูดทันที “โอ้โห ทำไมก้อนหินสองก้อนนี้สวยจังเลยเนี่ย? เสี่ยวเถียนตาถึงจริง ๆ”
พอได้ยินคุณย่าชื่นชม เธอก็คลี่ยิ้มกว้างพร้อมยักคิ้ว
“เสี่ยวเถียนเอ้ย บอกย่าซิว่าหนูจะเอาหินมาทำอะไรน่ะ?”
ซูเสี่ยวเถียนพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “ไว้ที่มุมห้องก็ดีค่ะ ไม่ก็ไว้ใช้กดผักดองก็ดีเหมือนกัน!”
คุณย่าซูไม่รู้จะตอบอะไรดีอยู่พักหนึ่ง อุตส่าห์บากบั่นเอาหินกลับมา แต่เอามากองไว้ที่มุมห้องเนี่ยนะ?
เปลืองแรงเสียจริง งั้นเอาไว้กดผักดองก็ได้
“ย่าเพิ่งจะพูดไปเองว่าจะไปหาหินสักก่อน พวกหลานก็แบกมันกลับมาเลย” คุณย่าซูเปลี่ยนเรื่อง
พอเหลียงซิ่วได้ยินแม่สามีพูดเช่นนั้นก็อยากจะกลอกตา แม่สามีก็เป็นเสียอย่างนี้
บางครั้งก็คลุมเครือ แต่แค่ได้เห็นหลานสาวก็จะไขว้เขวทุกวินาทีเลย!
เธอมองลูกสาวอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเสี่ยวเถียนโดนตามใจจนเสียคนหรือเปล่า!
ช่างเถอะ ลูกสาวเธอไม่ใช่เด็กไม่รู้ความ รับรองว่าไม่โดนตามใจจนเสียคนหรอก
ในเมื่อแม่มีความเชื่อมั่นขนาดนี้ แต่เวลาเผชิญหน้ากับหลานสาวแล้วหลับหูหลับตาเชื่อทุกที
“พวกลูกกินข้าวหรือยัง?” คุณย่าซูนึกขึ้นได้ “ฉันทำอาหารไว้ในครัวน่ะ ไปกินข้าวกันก่อนไป”
หลายปีที่ผ่านมา คุณย่าซูชินแล้ว ครอบครัวฝั่งสะใภ้สามขี้เหนียวจริง ๆ และไม่เคยให้ข้าวลูกกินสักคำ
ดังนั้นทุกครั้งที่เหลียงซิ่วกลับไปบ้านพ่อแม่ แกจะทำอาหารทิ้งไว้ให้ตลอด
ตอนแรกเหลียงซิ่วก็ละอายใจ แต่หลังจากนั้นก็ชินแล้วล่ะ
“ได้ค่ะแม่ ฉันหิวจริง ๆ!”
เหลียงซิ่วตอบแล้วไปห้องครัว ส่วนเด็ก ๆ กลับไม่ได้ตามไปด้วย คุณย่าซูจึงสงสัยมาก เป็นไปได้ไหมที่บ้านสะใภ้ใจแคบจะให้ข้าวเด็กพวกนี้กิน?
“พวกหลานไม่ไปกินล่ะ?” คุณย่าซูถามอย่างสงสัย
“คุณย่า พวกเรากินแล้วครับ!” ซูเสี่ยวอู่พูดด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้จนหมดเปลือก
พอคุณย่าซูได้ฟังก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ เด็กพวกนี้ทำไว้แสบจริง ๆ
แต่ทำไมถึงกลับรู้สึกว่าพวกเขาทำได้ดีมากนะ?
“เด็กพวกนี้ นับวันยิ่งดื้อขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะ วันหลังจะไม่ทำอีกแล้วใช่ไหม? ไม่งั้นคนอื่นจะหัวเราะเยาะที่บ้านเราไม่มีกฎเกณฑ์เอานะ”
สิ่งที่คุณย่าพูดไม่ได้หมายความตามที่พูด แค่รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าก็แสดงถึงความคิดที่แท้จริงออกมาแล้ว
เด็กสามคนนี้กินหมั่นโถวไปห้าลูก ไม่ขาดทุนเลย
“พวกหลานรอก่อนนะ เดี๋ยวย่าไปทำไข่ตุ๋นให้กิน”
คุณย่าซูฮัมเพลงของตงฟางหงอย่างมีความสุขแล้วเดินไปทำไข่ตุ๋นเป็นรางวัลให้หลาน ๆ
สำหรบเด็กพวกนี้ มันไม่ง่ายเลยนะที่จะแย่งอาหารจากบ้านผู้เฒ่าเหลียงมาได้ในรวดเดียวแบบนี้
แต่ก่อนที่ไข่ตุ๋นจะทำเสร็จ ประตูใหญ่ก็โดนคนผลักเปิดอย่างแรง
“ใครกัน? ทำไมเปิดแรงขนาดนั้น?” คุณย่าซูออกมาจากครัวและถามอย่างไม่พอใจ
จากนั้นก็เห็นครอบครัวผู้เฒ่าเหลียงเข้ามาอย่างอุกอาจ
ตอนที่เด็ก ๆ พูด พวกเขาเล่าแค่ว่าบ้านยายไม่ได้ให้อะไรกินก็เลยกินหมั่นโถวแทน แต่ไม่ได้เล่าเรื่องที่บ้านนั้นบังคับให้แม่ยกตำแหน่งงานให้พวกเขา
และตอนนี้คุณย่าซูยังไม่รู้
เธอคิดว่าบ้านเหลียงจะมาสร้างปัญหาเพราะเด็ก ๆ ไปกินหมั่นโถวที่เธอทำไปให้
“ไม่รู้จริง ๆ เลยว่าทำไมพวกเขาใจแคบแบบนี้ กะอีแค่หมั่นโถวไม่กี่ลูกเนี่ยนะ? กินแล้วก็กินไปสิ เรื่องเล็กแค่นี้จะไล่ตามมาให้เหนื่อยทำไม”
เสียงของคุณย่าซูเบาจนไม่มีใครได้ยิน แต่ซูเสี่ยวเถียนที่ยืนข้าง ๆ บังเอิญได้ยิน
สาวน้อยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“คุณย่าคะ พวกเขาอยากได้งานที่แม่ทำในเมืองค่ะ” คำพูดของซูเสี่ยวเถียนทำให้คุณย่าซูเกือบตะลึงงัน
หมายความว่าอย่างไร? งานในเมือง?
หน้าใหญ่ขนาดไหนถึงพูดแบบนี้ออกมาได้
มียางอายบ้างไหม?
คุณย่าซูมองสะใภ้โดยไม่รู้ตัว เหลียงซิ่วเพิ่งกินข้าวไปได้แค่ไม่กี่คำ พอเห็นคนบ้านตัวเองมาก็หน้าซีดเผือด
เธอไม่คิดว่าพวกเขาจะตามมาถึงหงซินเพื่อมาเอางานนี้โดยเฉพาะ
ต้องมั่นใจขนาดไหนเนี่ยถึงถ่อมาหาถึงที่?
แต่เขามาแล้ว เหลียงซิ่วจึงทำได้เพียงเข้าไปต้อนรับอย่างระแวดระวังเท่านั้น
“พ่อ แม่ มาทำไมคะ?”
พ่อเฒ่าเหลียงเหวี่ยงมือตบหน้าใบลูกสาวแรงมากจนหน้าบวมเป่งในทันที
คุณย่าซูตกตะลึง เกิดอะไรขึ้น? เข้าบ้านมาตบคนอื่นเขาได้อย่างไร?
ถึงเหลียงซิ่วจะเป็นลูกสาวตระกูลเหลียง แต่เธอแต่งงานกับตระกูลซูแล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้เธอเป็นคนของตระกูลซู
ในฐานะแม่สามี เธอไม่เคยตบตีใครแบบนี้เลย ทำไมพ่อเฒ่าเหลียงถึงตบตีลูกสาวแบบนี้?
“บ้านสะใภ้ ถ้าซิ่วเอ๋อร์ทำอะไรผิดไปทำไมไม่คุยกันดี ๆ ทำไมต้องเข้ามาตบถึงบ้านด้วย?” คุณย่าซูพูดด้วยความไม่พอใจ
สะใภ้ใหญ่หวังเซียงฮวากับหม่านเซียงลูกสาวคนเล็กของเธอมีชื่อที่เขียนตัวเดียวกัน และเหลียงซิ่วกับหม่านซิ่วก็มีชื่อที่เขียนตัวเดียวกันอีก
เพราะแบบนี้ถึงได้ใช้คำว่าสะใภ้เหล่าต้า สะใภ้เหล่าเอ้อร์ด้วยการเรียกแทนพวกเธอ
แต่ตอนนี้จู่ ๆ ก็เรียกซิ่วเอ๋อร์ด้วยความสนิทสนมราวกับจะบอกพ่อเฒ่าเหลียงว่า ต่อให้เป็นลูกสาวแท้ ๆ ก็ไม่สามารถตบตีตามใจอยากได้
แต่อีกฝ่ายไม่เข้าใจความหมาย จึงพูดด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “ฉันจะสอนบทเรียนให้ลูกสาวของฉัน เธอมายุ่งอะไรด้วย”
คุณย่าซูร้องเหอะ นี่เรียกว่ายุ่งหรือ? แต่มาสร้างปัญหาถึงบ้านของคนอื่นเนี่ยนะ?
เธอคิดว่าเวลาตัวเองมองคนอื่นก็ดูดีอยู่นะ แต่ทำไมบ้านเครือญาติทั้งซ้ายทั้งขวาถึงได้เป็นแบบนี้?
ลูกสาวคนโตลูกสาวคนเล็กมีบ้านสามีไม่ดีเลย ครอบครัวเหล่าต้าเหล้าเอ้อร์ยังดี แต่ครอบครัวเหล่าซานมีแต่อะไรไม่รู้!
“เสี่ยวอู่ไม่ต้องทำแล้ว เสี่ยวปาไปตามปู่กลับบ้านมา บอกเขาว่าที่บ้านมีแขกมาเยือน”
คุณย่าซูบอกให้หลานคนที่แปดไปตามสามีเฒ่าของเธอกลับมา
เสี่ยวอู่ไม่ได้ตามน้องแปดไป เพราะที่บ้านมีแต่ผู้หญิงที่ไม่ได้เก่งกาจ มีเขาอยู่ด้วยก็ยังดี!
คุณปู่ซูไปคอกวัวเพื่อไปหาตู้ถงเหอกับฉือเก๋อ
ทั้งยังพาเด็ก ๆ ไปด้วย ที่บ้านเลยมีแค่คุณย่าและเหลียงซิ่วเท่านั้น
ผู้สูงวัยสามคนผู้มีอายุไล่เลี่ยกันมีเรื่องให้พูดมากมาย
ตอนนี้ทุกคนในชุมชนรู้ว่าที่เรามีชีวิตที่ดีได้เป็นเพราะตู้ถงเหอ
ดังนั้นคุณปู่กับสองคนนี้จึงสนิทกันขึ้นอีก ส่วนคนในชุมชนก็แสร้งปิดตาข้างหนึ่งมองไม่เห็น
ส่วนพ่อเฒ่าเหลียงดูเหมือนไม่พอใจเมื่อได้ยินว่าคุณปู่ซูไม่อยู่ แต่เพราะเป็นฝ่ายมาหาคนอื่นถึงบ้าน สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรมาก
คุณย่าให้อีกฝ่ายยืนอยู่ที่ลานบ้านเท่านั้น ไม่คิดจะต้อนรับให้เข้าไปข้างใน
มองแวบแรกก็ไม่คิดว่าพวกเขามาเยี่ยมญาติอะไร
“บ้านเขย ฉันสั่งสอนลูกสาวไม่ดีเอง! แม่มาหาถึงบ้านแท้ ๆ แต่ไม่คิดจะต้อนรับให้เข้าไปข้างใน”แม่เฒ่าเหลียงพูดอย่างหน้าไม่อาย
คุณย่าซูรู้สึกอึดอัดมากเพราะพูดกับเหลียงซิ่วเองว่าที่นี่ไม่มีกฎเกณ์อะไร และไม่รู้ว่าต้องเชิญเข้าบ้าน อันที่จริงต้องพูดว่าไม่รู้จะเชิญบ้านสะใภ้เข้าไปอย่างไรมากกว่า?
แต่ไม่อยากให้คนบ้านนี้เข้ามาเลย เดี๋ยวบ้านจะเหม็น!
คุณย่าซูไม่แสดงสีหน้าใด ๆ แม้แต่น้อย แล้วเอ่ยตรงประเด็น “ฉันว่าซิ่วเอ๋อร์ทำได้ดีมากเลย แต่งงานเข้าตระกูลซูมาตั้งหลายปี เคารพผู้หลักผู้ใหญ่ รักพวกเด็ก ๆ แล้วก็เข้ากับสะใภ้คนอื่น ๆได้ดี!”
แม่เฒ่าเหลียงไม่คิดว่าคุณย่าซูจะพูดเช่นนี้ออกมา
นี่อีกฝ่ายเข้าใจที่เธอพูดหรือเปล่า หรือไม่เข้าใจกันแน่?
ถ้าฟังเข้าใจ ทำไมไม่เชิญเธอเข้าไปนั่งพักในบ้านแล้วให้กินอาหารอร่อย ๆ กับดื่มน้ำล่ะ?
แต่ถ้าฟังไม่เข้าใจ ทำไมถึงมายกยอลูกสะใภ้แบบนี้?
เป็นแม่สามี แต่พอใจสะใภ้เนี่ยนะ? โกหกหรือเปล่า?
“บ้านเขย ไม่ต้องไว้หน้าฉันแล้วพูดว่าเธอดีอย่างงนั้นอย่างนี้หรอก ลูกสาวของฉันทำตัวแบบไหน ตัวฉันรู้ดี!” แม่เฒ่าเหลียงจ้องไปที่เหลียงซิ่วอย่างโหดเหี้ยม
เสียงที่ดังแสบหูของมารดาลอยเข้าหูของเหลียงซิ่ว เธอจึงรู้สึกอับอายมาก
เป็นแม่ผู้ให้กำเนิดแท้ ๆ คิดจะบีบบังคับให้เธอตายหรือ?
“เธอพูดแล้วนะ! ที่ซิ่วเอ๋อร์อยู่บ้านเธอแล้วทำตัวไม่ดี เป็นเพราะเธอสั่งสอนเองไม่เป็นต่างหาก” คุณย่าซูพูดด้วยเสียงเย็นชา