เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 227 ผู้ชายเข้าครัวไม่ได้
บทที่ 227 ผู้ชายเข้าครัวไม่ได้
บทที่ 227 ผู้ชายเข้าครัวไม่ได้
หลังจากที่หวังเซียงฮวาจัดการพวกลูกชายเสร็จก็รีบกลับไปที่ฟาร์มไก้ทันที ก่อนจะพบว่าไข่ทั้งห้าตะกร้าแตกหมดเลย
หัวใจเธอเจ็บปวดเป็นอย่างมาก หนึ่งตะกร้ามีไข่ตั้งสองร้อยฟองเลยนะ!
แต่ทำแตกห้าตะกร้าเนี่ย มันหนึ่งพันฟองเลยนะ!
แตกเยอะขนาดนั้นจะปวดใจก็ไม่แปลกหรอก!
หวังเซียงฮวาตบขา เอ่ยถามด้วยดวงตาก่ำ “ใครมันทำไข่ไก่ของฉันแตกแบบนี้?”
เธออยากจะทึ้งหัวนัก น่าโมโหเหลือเกิน!
“ป้า พวกเขาเป็นคนแปลกหน้า ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลย!” สะใภ้สาวคนหนึ่งกระซิบ
คนแปลกหน้า?
เธอไม่คิดเลยว่าจะเป็นคนแปลกหน้า หวังเซียงฮวาเดินไปตามทางที่พวกเขาบอกเพื่อตามหาคนที่ทำไข่แตกและคิดบัญชีกับพวกเขา!
พวกซูเสี่ยวเถียนกำลังอ่านหนังสือที่บ้านอย่างเชื่อฟัง แม้แต่เสี่ยวปาและเสี่ยวจิ่วยังไม่กล้าสร้างปัญหาอีก
พวกเขากำลังรอคุณปู่คุณย่าที่ไปตำบลกลับมา
แต่คนที่กลับมาก่อนคือเหล่าเอ้อร์ พร้อมด้วยโส่วเวินและซื่อเลี่ยง
เหล่าเอ้อร์ประหลาดใจ “เป็นอะไรกันเนี่ยวันนี้? ทำไมตั้งใจอ่านหนังสือจัง เสี่ยวจิ่ว ไม่ใช่ว่าไม่ชอบอ่านหนังสือหรอกหรือ?”
เสี่ยวจิ่วเป็นลูกชายของเหล่าเอ้อร์ แน่นอนว่าลูกชายเป็นอย่างไรเขารู้จักดี
นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าตอนเห็นลูกชายอ่านหนังสือจึงปวดหัว ปกติเด็กคนอื่นทำการบ้านได้สองหน้า แต่เสี่ยวจิ่วทำได้หน้าเดียวกันดีถมถืดแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะคนอื่นในบ้านตั้งใจเรียน เสี่ยวจิ่วคงไม่ตั้งใจเรียนหรอก
เสี่ยวจิ่วอ่านหนังสืออย่างเคร่งขรึม ที่จริงแล้วมันทำให้เขาไม่มีความสุข
แต่น้องเล็กบอกว่าวันนี้ต้องเชื่อฟังหน่อย!
พอเห็นพวกเด็ก ๆ ไม่ได้พูดอะไร เหล่าเอ้อร์พอจะคาดเดาบางอย่างออก
“วันนี้ไปสร้างเรื่องอะไรมาล่ะ?”
พวกเขาต่างมองหน้า ถึงจะไม่ใช่เรื่องใหญ่โต แต่ก็ไม่น่าแย่ไปกว่านี้แล้ว
เสี่ยวเถียนก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผล
จู่ ๆ เด็กที่บ้านก็เชื่อฟังกัน แต่ไม่น่าจะจริงหรอก น่าจะมีเรื่องมากกว่าเหมือนที่คนเขาชอบว่ากัน
เสี่ยวเถียนโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วพูดกับเหล่าเอ้อร์ “พ่อรอง อย่าพูดแบบนี่สิคะ จะไปมีเรื่องได้ยังไง? พวกเราเป็นเด็กดีไม่ดีหรือคะ?”
เหล่าเอ้อร์ลูบผมเธอก่อนจะยิ้ม “พ่อไม่ได้โง่นะ จะไม่รู้จักพวกลูกได้ไง?”
เสี่ยวเถียนแพ้แล้ว พ่อรองคนจริง!
“พ่อจะไปฟาร์มหมูแล้ว พวกลูกเอาของไปเก็บให้ดีนะ อย่าให้ใครเห็นล่ะ!”
เหล่าเอ้อร์หมายถึงตะกร้าที่แบกลงมาจากเขา
ตะกร้าใบนี้ด้านบนสุดเป็นผัก ส่วนล่างสุดเป็นเนื้อสัตว์
ตอนที่เหล่าเอ้อร์แบกมาตลอดทางก็สงสัยว่าเด็กพวกนี้ หรือต้องบอกว่าโชคของเสี่ยวเถียนนับวันยิ่งดีมากขึ้นนะ
เนื้อเยอะขนาดนี้ คนไม่รู้ก็คงคิดว่าบนเขามีคนเลี้ยงสัตว์ไว้อยู่!
พ่อรองรีบเร่งออกไป ส่วนพวกเสี่ยวเถียนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ด้วยสภาพอากาศเช่นนี้ เนื้อจะส่งกลิ่นเหม็นโฉ่หลังจากผ่านไปสองวัน จึงต้องตากลมให้แห้งถึงจะเก็บไว้ได้
ไก่กับกระต่ายแขวนผ่าเป็นสองส่วนไว้ก็ได้แล้ว แต่แพะกับเนื้อทรายยากหน่อย
โชคดีที่ผู้ชายบ้านซูไม่ใช่พวกอ่อนด้อย ใช้เวลาไม่นานก็ชำแหละแพะเสร็จ
พวกเขามองก้อนเนื้อ โส่วเวินเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากด้วยแขนเสื้อ
ช่างเป็นงานที่หนักจริง ๆ!
เหมือนจะง่าย แต่ความจริงแล้วยากมาก
อีกอย่างทำไมเนื้อที่พวกเขาหั่นถึงไม่เหมือนที่ย่าทำเลย?
เนื้อที่ย่าหันออกมาดูดีมาก แต่เนื้อที่พวกเขาหั่นย่ำแย่จริง ๆ แถมเนื้อยังขาดไปหลายส่วนด้วย
“ย่าทำอาหารให้พวกเรากินแบบนี้คงลำบากมากเลยจริง ๆ!” ซูโส่วเวินพูดด้วยความซาบซึ้ง
ถูกต้อง ตอนนี้บ้านซูมีคุณย่าเป็นคนทำอาหาร
สะใภ้ทั้งสามมีงานต้องทำ เธอเลยต้องทำงานหนักมากขึ้น
ครอบครัวใหญ่แถมคนยังเยอะอีก แม่เฒ่าทำอาหารคนเดียวไม่ง่ายเลยจริงๆ
ถึงเสี่ยวเถียนมีใจจะช่วย แต่ย่าก็ไม่ยอมทุกที ส่วนใหญ่คือให้เธอช่วยเก็บผัก
“จากนี้ไปฉันจะช่วยย่าทำอาหารแล้ว!” ซานกงเอ่ยปาก
“พี่สาม พี่ไม่กลัวคนอื่นบอกว่าพี่เข้าครัวแล้วไร้ประโยชน์หรือ?” เสี่ยวลิ่วถามอย่างโง่เขลา
พวกผู้ใหญ่ในชุมชนล้วนบอกว่า ผู้ชายเข้าครัวไม่ได้ ผู้ชายที่เข้าครัวจะโดนคนดูถูก
“ทำไมต้องใส่ใจขนาดนั้น ผู้ชายทำอาหารไม่ได้หรือไง?”
ในยุคแบบนี้ พวกผู้ชายจะมีความชายเป็นใหญ่อยู่เล็กน้อย
หลังจากนั้นพวกผู้ชายที่เข้าครัวได้ ต่อให้ไม่มีใครเห็นก็โดนดูถูกอยู่ดี!
“แต่คนในชุมชนพูดแบบนั้น!” เสี่ยวลิ่วไม่เชื่อ
คำพูดพวกนี้เขาไม่ได้พูดสักหน่อย
เสี่ยวเถียนร้องเหอะ “ถ้าไม่มีผู้หญิงทำอาหาร เหลือแต่กลุ่มผู้ชายขึ้นมาจะไม่หิวตายกันหรือ?”
คุณย่าซูที่เพิ่งเข้ามาได้ยินคำพูดหลานสาวพอดี จึงพูดขึ้นบ้าง “ไอ๊หยา หลานรักย่าพูดถูก ทำไมต้องให้แต่ผู้หญิงทำอาหารด้วยล่ะ? ผู้ชายทำบ้างไม่ได้หรือไง?”
ตอนคุณย่าพูดประโยคนี้ สายตาเหลือมองปู่เป็นพิเศษ
ปู่อดกลอกตาไม่ได้ แล้วเดินไปห้องหลังโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ปู่กับย่าไม่ได้ไปตำบลมาหรือ? ทำไมกลับมามือเปล่าล่ะ?
เสี่ยวเถียนมองอย่างสงสัย สีหน้าพวกเขาไม่ค่อยดีด้วย หรือว่าเกิดอะไรขึ้น?
ถึงซูเสี่ยวเถียนจะเดาได้ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไปอยู่ แต่พูดด้วยรอยยิ้มแทนว่าพวกพี่ ๆ หั่นเนื้อแพะเป็นชิ้นเล็ก ๆ รอไปเอาไปจากลมก็จะสามารถเก็บไว้กินได้นานแล้วล่ะ
คุณย่าซูได้ฟัง ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อย
“ยังเป็นหลานรักของย่าที่เยี่ยมเสมอเลย!”
เหล่าหลานชายต่างงุนงง
ทำไมเลือกปฏิบัติขนาดนี้?
เนื้อทรายมีพวกเขาเป็นคนหั่นไม่ใช่หรือไง?
ทำไมกลายเป็นเสี่ยวเถียนที่ได้รับคำชมล่ะ?
คิดไปคิดมาก็ช่างเถอะ ชมน้องก็เหมือนชมพวกเราแล้ว
“เด็กดีเอ้ย คืนนี้อยากกินอะไร?” คุณย่าซูถามด้วยความรักใคร่
เสี่ยวเถียนจำที่พี่เก้าพูดได้ว่าอยากจะกินเกี๊ยวเนื้อ ก็รีบเอ่ยปากทันที “คุณย่า พวกเรามีเนื้ออยู่ กินเกี๊ยวดีไหมคะ?”
ตอนได้ยินน้องเล็กบอกว่าอยากกินเกี๊ยว ดวงตาเสี่ยวจิ่วพลันเปล่งประกาย
“เกี๊ยวเนื้อแพะก็น่าอร่อยนะครับ!” เสี่ยวจิ่วพยักหน้าซ้ำ ๆ ท่าทางไม่ต่างไปจากแมวจอมตะกละ!
แต่คุณย่าซูเดิมทีไม่อยู่ในอารมณ์จะห่อเกี๊ยวอยู่แล้ว คนตั้งเยอะ ใช้เวลาห่อก็นาน!
ตอนนี้สะใภ้ก็ไม่อยู่ ทำเกี๊ยวง่ายที่ไหนล่ะ
เสี่ยวเถียนกลอกตาคิด “คุณย่า ให้ป้าเถาฮวากับคุณย่าอวี่มาช่วยดีไหมคะ?”
คุณย่าซูคิดก่อนจะพยักหน้าตกลง
จากนั้นก็พูดขึ้นอีก “หลานไม่ต้องไป ให้พี่รองพี่สามไปก็พอ!”
ถนนเส้นนี้ อย่าปล่อยให้เสี่ยวเถียนเดินไปคนเดียว
ซูซื่อเลี่ยงและซูซานกงรีบวิ่งไปเชิญพวกเขามา
“ไอ้เด็กสองคนนี้รอก่อนสิ ชวนเขามาแล้ว อย่าลืมบ้านปู่ฉือด้วยนะ!”
คุณย่าซูตะโกนเสียงดัง และเธอไม่รู้ว่าไอ้เด็กพวกนั้นได้ยินหรือเปล่า