เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 230 ทำไมต้องรักลูกสาวมากกว่าลูกชายด้วย
บทที่ 230 ทำไมต้องรักลูกสาวมากกว่าลูกชายด้วย?
บทที่ 230 ทำไมต้องรักลูกสาวมากกว่าลูกชายด้วย?
พวกเขามาหาเพราะอยากจะใช้ชีวิตด้วยกันอีกครั้งใช่ไหม?
คุณย่าซูมีข้อสงสัยมากมายในใจ แต่ไม่รู้จะถามใครดี
อวี่รุ่ยหยวนที่ได้ยินก็พูดขึ้น “เถาฮวา เธอก็เห็นกับตาตัวเองแล้ว อาจารย์เสิ่นต้องเจ็บปวดเพราะพวกเขาและไม่มีทางอยู่ด้วยกันได้อีกครั้งหรอก เธอไม่ต้องกังวลว่าเขาจะเปลี่ยนใจกลับไปหาพวกเขาแล้วทิ้งเธอไปนะ!”
ถึงจะไม่รู้ว่าพวกเขาจะได้กลับไปตอนไหน แต่สหายตู้และสหายฉือก็รู้ว่าข่าวที่เสี่ยวเถียนได้ยินมาอาจเป็นความจริง
อีกไม่นานอาจารย์เสิ่นอาจต้องกลับเมืองหลวง
ตอนนั้นเถาฮวาอาจจะไปด้วย
ถึงอาจจะมีสามแม่ลูกเข้ามาพัวพันกัน แต่ตราบใดที่ทั้งคู่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน ชีวิตก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป
ซูเถาฮวาถอนหายใจ ได้แต่ก้มหน้าก้มตานวดแป้ง
อวี่รุ่ยหยวนมองท่าทางเช่นนั้น ทำไมจะไม่รู้ว่าสิ่งที่ซูเถาฮวาขาดคือ การขาดความมั่นใจในตัวอาจารย์เสิ่น
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เถาฮวาไม่ไว้ใจตัวเอง
“น้องสาว มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับอดีตภรรยากับลูกอาจารย์เสิ่นหรือ? ทำไมฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย” คุณย่าซูคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามอวี่รุ่ยหยวน
ถ้าจะมีคนรู้ก็ต้องเป็นอวี่รุ่ยหยวน
อีกฝ่ายไม่คาดคิดว่าคุณย่าซูจะไม่รู้เรื่องนี้จึงบอกไป
เป็นไปโดยปริยาย เธอยังพูดอีกว่าเสี่ยวเถียนคนเดียวต่อสู้กับคนสองคนด้วย
ตอนที่คุณย่าซูได้ยินใบหน้าเธอย่ำแย่มาก
ถึงจะไม่เคยเห็นลูกอาจารย์เสิ่น แต่อายุต้องมากกว่าเสี่ยวเถียนแน่
เด็กคนเดียวสู้กับคนสองคน ไม่รู้เลยว่าใครจะเสียเปรียบ!
ซูเสี่ยวเถียนบอกอวี่รุ่ยหยวนแล้วว่าอย่าเล่าเรื่องนี้
แต่อีกฝ่ายดันตื่นเต้น เลยไม่เห็นว่าหลานสาวกำลังขยิบตาบอกใบ้อยู่
ถึงขนาดที่การขยิบตานั้นมันไร้ความหมายไปเลย
พอได้ยินว่าท่านเล่าจนหมดเปลือก เสี่ยวเถียนอดไม่ได้ที่จะร้องโหยหวนในใจ
พวกพี่ชายก็เช่นกัน
เดิมทีคิดว่าหลังจากกินเกี๊ยวแล้วเรื่องนี้จะจบลง
ใครจะรู้เล่าว่าย่าอวี่จะไม่เห็นที่น้องเล็กขยิบตา เหมือนไม่ต่างไปจากว่าพวกเราทำไข่แตกเองเลย
โชคร้ายอะไรอย่างนี้!
ในใจของพวกเด็กชายยิ่งอารมณ์เสียต่อสามแม่ลูกนั่นหนักขึ้น
ถ้าไม่ได้ยินว่าแม่ใหญ่ส่งไปที่ชุมชน พวกเขาคงไปเตะคนถึงฟาร์มไก่เองเพื่อระบายอารมณ์แน่
คุณย่าซูไม่ยอมปล่อยไปเพียงเพราะหลานชายคร่ำครวญหรอก เธอมองพวกเขาด้วยใบหน้าเย็นเฉียบ
“ย่า พวกเราผิดไปแล้วครับ!” เสี่ยวจิ่วเอ่ยก่อนใคร
“พวกแกนี่มันมีประโยชน์จริง ๆ เจอเรื่องอะไรให้หลานฉันออกหน้าก่อนเลย ไม่กลัวคนมันทุบน้องที่อ่อนโยนคนนี้หรือ?”
เธอเห็นสีหน้าหลานชายก็รู้ว่าตัวเองทำผิดไปแล้ว
“พี่สาว อย่าโกรธเลย เด็กพวกนี้ปกป้องเสี่ยวเถียนเหมือนกัน แต่เสี่ยวเถียนแกร่งมาก เธอจัดการเองเลย อีกอย่างเสิ่นเหวินหยวนเป็นผู้หญิง ถ้าตะโกนใส่ว่าพวกอนาจาร เด็กผู้ชายที่ไหนก็ไม่กล้าเข้าไปหรอก”
ตอนเธอพูดก็ตำหนิตัวเองด้วย “มันเป็นความผิดของฉันเองที่ไร้ความสามารถ ถ้ากล้าออกไปเผชิญหน้า และห้ามสามแม่ลูกนั่นไว้ได้คงจะดี!”
“น้องสาว ฉันไม่โทษเธอหรอกนะ มันเป็นเพราะหลานบ้านฉันมันไร้ประโยชน์ที่ต้องให้น้องปกป้อง!” คุณย่าซูตะคอกเสียงเย็น แล้วมองหลานในบ้านด้วยสายตาเย็นชา
โส่วเวินเป็นพี่คนโต เขารีบพูดทันที “ย่าครับ มันเป็นความผิดของผมเองที่วันนี้ไปไม่ทัน!”
“ย่าครับ อย่าโทษพี่ใหญ่เลย พี่ใหญ่พี่รองไม่อยู่ ผมอายุมากสุด แต่ไม่ได้ปกป้องน้องให้ดี” ซูซานกงรีบเอ่ยปากขอโทษ แต่เขาไตร่ตรงดีแล้วว่าเขาล้มเหลวในการทำหน้าที่จริง ๆ
เสี่ยวซื่อและเสี่ยวอู่ก็ขอโทษเหมือนกัน
“ย่าครับ มันเป็นความผิดของเรา ย่าลงโทษเราเลย! แม่ใหญ่ลงโทษพี่สามไปแล้ว!”
คุณย่าซูไม่สนใจพวกเขา แต่ว่าหลังจากได้ยินหวังเซียงฮวาจัดการซานกง สีหน้าเธอก็ดูดีขึ้น
เธอมองเสี่ยวเถียนขึ้น ๆ ลง ๆ แน่ใจว่าหลานสบายดีก็โล่งใจ!
“หลานรัก ไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม? ไม่งั้นเข้าห้องไปให้ย่าดูหน่อยไหม?”
เสี่ยวเถียนรีบส่ายหัว “คุณย่าคะ หนูไม่เป็นไร หนูสบายดีค่ะ หนูบอกย่าเลยว่าย่าไม่ต้องห่วงหนูหรอก หนูเก่งกว่าพวกพี่ ๆ เยอะเลย!”
เดิมทีเธอเพื่อช่วยพี่ ๆ แต่มันดันไม่เข้าหูย่าเนี่ยสิ
“เหอะ ย่ารู้ว่าพวกมันไร้ประโยชน์ เวลาคับขันก็พึ่งพาไม่ได้!” คุณย่าซูพูดเสียงเย็น
“ปกติก็ฝึกกันตั้งเยอะ พวกคนสองคนที่ไม่ตั้งใจแล้วสู้น้องเล็กไม่ได้เนี่ย ไม่อายหรือ?”
คุณย่าซูด่า พวกหลานชายทำได้แค่ฟัง ไม่กล้าคัดค้านอะไร
ถึงอย่างไรย่าก็ด่าไม่เท่าไร ฟัง ๆ ไปก็พอแล้ว แต่ถ้าค้านขึ้นมาแกอาจจะโกรธหรืออาจจะทุบใครขึ้นมาจริง ๆ ก็ได้นะ
ซูเสี่ยวเถียนรีบเยินยอ “คุณย่า หนูเก่งที่สุด พวกพี่สู้ไม่ได้หรอก”
ผู้เป็นย่าได้ยินก็ยิ้มออก
“แน่นอนว่าหลานรักย่าเก่งที่สุด ไอ้พวกเด็กเหลือขอ จากนี้ไปเรียนรู้จากน้องพวกแกให้มันเยอะ ๆ ครั้งหน้าจะได้ปกป้องน้องได้ ฉันจะรอ!”
หลังจากด่าเสร็จ ย่าก็พูดอย่างร่าเริง “เดี๋ยวเย็นนี้ย่าจะทำไข่หวานให้หลานรักเพิ่มอีกแล้วกัน”
ซูเสี่ยวเถียนยิ้มอย่างมีความสุข “คุณย่า หนูไม่กินหรอก หนูอยากกินเกี๊ยวเนื้อ!”
คุณย่าซูยิ้มอย่างสดใส “ได้สิ คืนนี้กินเกี๊ยว เดี๋ยวพรุ่งนี้ย่าทำไข่หวานให้เป็นพิเศษ ไม่ให้พวกพี่ ๆ ด้วย”
ซูเสี่ยวเถียนยอมรับในที่สุด
ถ้าก่อนหน้านี้เธอคงปฏิเสธ แต่ตอนนี้ฐานะทางบ้านดีแล้ว แม้แต่พี่ ๆ ก็ไม่คิดว่ามันจะแย่อะไร ปกติแล้วพวกเขาไม่ใช่คนตะกละ
ทุกคนมองการกระทำของย่าก็ได้แต่ตกตะลึง
เคยได้ยินมาว่าบ้านซูรักลูกสาวมากกว่าลูกชาย ทุกคนไม่ค่อยเชื่อ แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นเรื่องจริง
คุณย่าซูเป็นคนสองหน้า ต่อหน้าหลานชายเป็นอีกอย่าง ต่อหน้าหลานสาวเป็นอีกอย่าง
แต่เด็กบ้านซูเหมือนจะยอมรับได้ และไม่ได้คัดค้านอะไร อันที่จริงหลังจากที่ย่าด่าจบพวกเขาก็ไปหาเสี่ยวเถียนเพื่อสัญญาว่าจากนี้จะฝึกให้หนักเพื่อที่จะได้ปกป้องน้องไว้ได้
“พี่สาว พี่ทำแบบนี้ไม่กลัวเด็กมันมีความคิดค้านในใจหรือ?” อวี่รุ่ยหยวนถามด้วยความสงสัย
“ต้องกลัวอะไรล่ะ? มีพี่ชายตั้งเก้าคน แต่มีน้องสาวคนเดียว ฉันก็ต้องเอ็นดูอยู่แล้ว ลูกสาวบ้านเรามีน้อย ถ้าไม่รักให้มากอีกหลายปีคงปวดใจแน่!”
อย่างที่ว่า คุณย่ากล่าวก่อนมองหลานสาว
เสี่ยวเถียนในวัยยี่สิบกว่าที่รอแต่งงานออกเรือน กับเสี่ยวเถียนในวัยสิบขวบไม่เหมือนกันหรอก เธอทนไม่ได้
อวี่รุ่ยหยวนถอนหายใจ “ก็จริงนะ ลูกสาวแต่งงานไปก็เป็นครอบครัวอื่นแล้ว จะใช้ชีวิตได้ดีหรือไม่ดี ครอบครัวของเธอก็ยื่นมือเข้าไปช่วยไม่ได้ ตอนนี้รักได้ก็รักเถอะ”
ซูเถาฮวาฟังแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ “ในเมื่อพวกเขาพูดแบบนี้ ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เรื่องเลย เสี่ยวเหมยมีพี่ชายแล้วก็มีน้องชายด้วย แต่ฉันไม่ค่อยสนใจลูกสาวเท่าไรเลย จากนี้ต้องรักให้มากแล้ว”
เทียบระหว่างเสี่ยวเถียน เสี่ยวเหมยมีเวลาอยู่ด้วยน้อยกว่า
แต่เธอเอาแต่สนใจคนโตและคนเล็ก ไม่ได้สนใจคนกลางเลย
“ที่จริงเธอทำได้ดีนะ สมัยนี้การให้ลูกสาวไปเรียนหนังสือเนี่ยหายากมาก!” อวี่รุ่ยหยวนถอนหายใจ
ที่หงซิน การมีเด็กผู้หญิงไปเรียนหนังสืออีกสองปีหายากมาก
ที่จริงไม่ใช่แค่หงซินหรอก แต่ในเมืองหลวงก็มีเด็กผู้หญิงเรียนหนังสือไม่เยอะเลย ส่วนใหญ่จบประถมก็หางานทำแล้ว
พออายุสิบขวบกว่า ๆ คนที่มีความสามารถหน่อยก็บรรจุเป็นพนักงานโรงงาน ส่วนคนที่ไม่ได้มีความสามารถอะไรก็จะส่งตัวลูกสาวไปเป็นยุวชนที่ชนบท
ซูเสี่ยวเหมยเรียนจบมัธยมต้น ตอนนี้ยังต้องไปเรียนมัธยมปลายต่อ
อาจจะต้องพึ่งพานิดหน่อย แต่ในฐานะแม่แล้ว มันไม่มีปัญหาเลย
“จากนี้ไปฉันจะใส่ใจลูกสาวให้มาก ไม่แน่ว่าปีหน้าหรือปีต่อไป เธออาจจะต้องหาคู่ครองแล้วก็ได้” เถาฮวาชำเลืองมองลูกสาวตัวผอม
ก่อนหน้านี้สัญญาไว้ว่าจะให้ลูกเรียนต่อ ตอนนี้เสี่ยวเถียนอยู่มัธยมปลายปีที่สองแล้ว อีกหนึ่งปีหลังจากนี้ก็จะเรียนจบ ถึงตอนนั้นอายุก็ไม่น้อยเหมาะแก่การหาคู่ครอง
เมื่อคิดเช่นนี้ เวลาที่เสี่ยวเหมยจะอยู่บ้านก็แค่ปีสองปีเท่านั้น ต้องรักเธอให้มาก ๆ แล้ว
สีหน้าเสี่ยวเหมยเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เธอไม่อยากมีคู่ครอง ไม่อยากแต่งงาน จะทำอย่างไรดี?
แต่เธอไม่กล้าบอกแม่จริง ๆ