เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 242 ข่าวคราวที่มาอย่างกะทันหัน
บทที่ 242 ข่าวคราวที่มาอย่างกะทันหัน
ในบรรดาลูกสะใภ้ทั้งสาม มีแค่สะใภ้รองที่ชอบคิดในใจ แต่หลายปีมานี้ หากไม่คิดเหมือนสะใภ้คนอื่นด้วยจะเป็นโทษ
“บ้านนี้แม่ซื้อมาสองร้อยแปดสิบหยวน แล้วก็มีตั๋วเงินอีกจำนวนไม่น้อย พวกแกรู้ดีว่าฐานะทางบ้านของเราเป็นยังไง ตอนนี้ในมือฉันกับพ่อแกไม่มีเงินแล้ว”
เหล่าลูกชายลูสะใภ้มองหน้ากัน ไม่มีเงินแล้วเอาออกมาจ่ายเยอะขนาดนี้ได้ยังไง?
“เงินกับตั๋วเป็นของเสี่ยวเถียน ฉันเก็บไว้ชั่วคราว และบ้านนี้ก็ควรยกให้หลาน แต่พวกเราครอบครัวเดียวกันที่อยู่ด้วยกันในตอนนี้ ไม่ต้องแบ่งแยกให้ชัดหรอก”
“แม่ครับ แบ่งแยกให้ชัดไปเลยจะไม่เป็นปัญหานะ” เหล่าต้าเป็นคนรอบคอบ
ถึงจะไม่กังวลเรื่องภรรยา แต่อีกฝ่ายเป็นพวกไม่อิงนังขังขอบ และอาจจะไม่ระวังก็ได้
และสะใภ้รองอาจจะมีความเห็นที่ขัดแย้งกัน
“ถึงตั๋วกับเงินจะเป็นของบ้านเหล่าซาน แต่ก็ไม่อยากให้ครอบครัวพี่น้องที่เหลือเสียเปรียบเกินไปไม่ได้”
ฉีเหลียงอิงที่หมดอาลัยตายยากและมีความหวังอันริบหรี่ พอได้ยินก็สดใสขึ้นมาทันที
“ตอนนี้พวกเรายังอยู่ด้วยกัน แต่ถ้าแยกบ้านกันแล้ว บ้านที่เป็นมรดกตกทอดจะเป็นของเหล่าต้า บ้านที่เหล่าซานอยู่จะเป็นของเหล่าเอ้อร์ ส่วนบ้านหลังที่เพิ่งซื้อมาใหม่ให้เหล่าซาน พวกแกคิดเห็นยังไงกัน?”
ซูเหล่าซานเอ่ย “พ่อ แม่ แบบนี้ไม่ดีมั้งครับ ถึงจะเป็นเงินเสี่ยวเถียน แต่พวกเราไม่แยกกันหรอกนะ”
คุณปู่ซูมองพวกลูก ๆ ก่อนจะกล่าวอย่างหนักแน่น “ต้องแยกสิ ก่อนที่จะซื้อบ้านหลังนี้ ครอบครัวเราได้แยกบ้านกันแล้วนะ”
จากนั้นทุกคนก็จำเรื่องนี้ได้ และทำสัญญาปากเปล่าเรื่องบ้านด้วย
ที่จริงพวกเขาก็ใช้ชีวิตประจำวันกันในบ้านตามปกติ แล้วก็ให้เงินพ่อกับแม่ มันเป็นเช่นนี้เสมอ
และตอนนี้ก็แยกบ้านกันอีกครั้ง แต่ครอบครัวเหล่าต้ากับเหล่าเอ้อร์กำลังเอาเปรียบครอบครัวเหล่าซาน
แม้แต่ฉีเหลียงอิงก็คิดเช่นนั้น
เพราะบ้านเหล่าซานก็เป็นบ้านหลังเล็ก
เมื่อมีบ้านหลังนี้แล้ว จากนี้ไปเธอจะได้มีถิ่นฐานการใช้ชีวิตในเมือง
เรื่องที่เศร้าโศกตอนนี้คลี่คลายลงแล้ว
หินที่กดทับหัวใจของเธอหายไป และอารมณ์ของคุณย่าซูก็ดีขึ้นมากเช่นกัน
เสี่ยวเถียนรู้สึกว่าที่ย่าเหมือนจะอารมณ์ดี เพราะทุกคนมารวมตัวกันในวันเทศกาลหรือเปล่า?
………
หลังจากเทศกาลไหว้พระจันทร์ สมาชิกหงซินประหลาดใจกับข่าวที่ว่าเสิ่นจื่อเจินจะได้กลับเมืองหลวง
เขาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรและตอนนี้ทางนั้นเชิญเขาให้กลับไปสอน
อีกอย่างสถานะก่อนหน้านี้ก็จะได้เพิ่มระดับขึ้นด้วย
ยิ่งกว่าไปกว่านั้น เงินกับตั๋วในช่วงปลายปีมานี้ก็จะชดเชยให้ด้วย
พอได้ข่าว เสิ่นจื่อเจินถึงกับคุกเข่าลงพร้อมกับร้องไห้ด้วยความขมขื่น
ชายชราตรีร้องไห้เหมือนเด็ก ๆ ไม่สามารถเป็นตัวเองได้อีกแล้ว
เขาใฝ่ฝันและเฝ้ารอวันนี้มานาน รอนานเกินไปจริง ๆ!
เถาฮวายืนอยู่ใต้ต้นไม้ข้าง ๆ มองสามีด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ
นับตั้งแต่ที่อดีตภรรยาและลูก ๆ ของเขามาครั้งนั้น เธอเคยคิดว่าวันนี้จะต้องมาถึง แต่ไม่คิดว่าจะไวขนาดนี้
เสิ่นจื่อเจินจะไปเลยไหม? ชีวิตนี้เราจะได้มีโอกาสกลับมาเจอกันหรือเปล่า?
อวี่รุ่ยหยวนเดินเข้าไปบีบมือเถาฮวาเบา ๆ หากแต่ไม่ได้พูดอะไร
ถึงจะเชื่อมั่นในตัวสามี แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไป ใครจะรู้ว่าอะไรจะเปลี่ยนไปบ้างล่ะ?
เสิ่นจื่อเจินเป็นคนเดียวที่รับประกันให้เธอได้ แต่คนอื่นทำให้ไม่ได้
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ อาจารย์อวี่!”
“เขาเป็นคนมีความรับผิดชอบ ตอนนี้แต่งงานแล้วไม่มีทางทิ้งคุณหรอกนะ!”
เห็นเถาฮวาแสร้งทำเป็นเข้มแข็ง อวี่รุ่ยหยวนจึงพูดออกมา
สามวันต่อมา เสิ่นจื่อเจินออกเดินทางจากหงซินไปยังเมืองหลวง
เถาฮวาย้ายกลับไปที่บ้านหลังเดิมในวันรุ่งขึ้น
ลูก ๆ ไปเรียนในเมือง จึงเหลือเพียงเธอคนเดียวภายในบ้านหลังนี้ และจิตใจเธอก็อ้างว้างขึ้นเรื่อย ๆ
เถาฮวาจึงย้ายไปฟาร์มไก่เพื่อไปอยู่เป็นเพื่อนหวังเซียงฮวา
และในตอนที่อีกฝ่ายไม่ว่าง เธอจึงคอยช่วยเฝ้ายามให้
หวังเซียงฮวารู้ว่าสามีของเถาฮวากลับไปเมืองหลวงแล้ว ก่อนจะไปเขาบอกอีกว่าเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีจะกลับมารับเธอ
เธอเชื่อว่าเสิ่นจื่อเจินจะพาเถาฮวากลับไปด้วยแน่นอน
แต่คนอื่นอาจไม่คิดเช่นนั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า ทว่าไม่มีข่าวคราวใดเลย
สมาชิกหงซินพรั่งพรูทุกสิ่งที่อยากพูดออกมา
พวกเขาบอกว่าเถาฮวาจะโดนทิ้งอีกครั้ง เพราะสามีใหม่มาจากเมืองหลวง พอกลับไปก็ไม่ต้องการสาวบ้านนอกแบบเรา ๆ อีกแล้ว
เถาฮวาได้ยินทุกอย่างที่พวกเขาพูด หากแต่แสร้งทำเป็นหูทวนลม
อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ พืชผลถูกเก็บเกี่ยวอีกครั้ง มองไปที่ทุ่งโล่งกว้างและบ้านว่าง ๆ ที่ไม่มีคนอยู่ คนคอกวัวทั้งสี่ก็รู้สึกเศร้า
ถึงจะดีใจที่เสิ่นจื่อเจินกลับไปเมืองหลวง แต่ก็เสียใจที่เขาหายไปโดยไม่มีข่าวคราวส่งกลับมา
เสี่ยวเหมยกับคนอื่น ๆ ได้ยินข่าวนี้หลังจากครึ่งเดือนต่อมา
ได้ยินข่าวว่าพ่อเลี้ยงกลับเมืองหลวงไปแล้ว เสี่ยวเหมยจึงเกิดความรู้สึกเป็นห่วงมารดาขึ้นมา
ความจริงแล้วเธอคิดด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายจะไม่กลับมาแล้ว
เพราะจากนี้ไปพวกเราก็จะได้ติดต่อกันน้อยลง
เธอยากจะหยุดเรียนกลับบ้านไปดูแม่ และคิดว่าจะอยู่กับแม่สักพัก
แต่ตอนนี้การสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้กลับมาดำเนินการขึ้นอีกครั้ง และข่าวที่ว่าจะมีการสอบคือจะเกิดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนต่อมา
เสี่ยวเหมยตะลึง ทำไมจู่ ๆ ถึงกลับมามีการสอบได้ล่ะ?
แต่ครูที่ถือหนังสือพิมพ์ประชาชนจีนอยู่นั้นกำลังสั่นสะท้าน และยามเอ่ยออกมาน้ำเสียงของเขาก็สั่นเครือ
แม้แต่ตอนที่กลับบ้านมา เสี่ยวเหมยก็ยังสับสน ไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง และคิดว่ามันเป็นเพียงความฝัน
แม้แต่เสี่ยวเฉ่าและพวกโส่วเวินจะพูดว่าหนังสือพิมพ์ได้ประกาศไว้แล้ว มันจะไม่ได้ใช่เรื่องโกหกอย่างแน่นอน
“พี่เสี่ยวเหมย นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ลุงเสิ่นกลับไปก็ได้ค่ะ” เสี่ยวเถียนนั่งตรงข้ามพี่สาม และจับมืออีกฝ่ายไว้
“แต่ว่า… แม่พี่จะทำยังไงล่ะ?” เสี่ยวเหมยพูดอย่างหดหู่
เรื่องสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่เสี่ยวเถียนว่า ทำให้ความตื่นเต้นกลับมาอีกครั้ง แต่สีหน้าเสี่ยวเหมยตอนนี้บอกไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไร
ถ้าเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ และจะทำให้แม่โดนสามีใหม่ทิ้ง เธอไม่ยินดีไปสอบหรอก
“ป้าเถาฮวาจะต้องไม่เป็นไรค่ะ พอลุงเสิ่นลงหลักปักฐานเมื่อไร เขาจะต้องกลับมารับป้าเถาฮวาแน่นอนค่ะ”
เสี่ยวเหมยยิ้มอย่างขมขื่น เธอกับน้องชายจะไปเมืองหลวงได้ไหมนั้นมันไม่สำคัญหรอก
พวกเขาโตแล้ว ต่อให้อยู่หงซินก็ไม่อดตาย!
“พี่เสี่ยวเหมย พี่กับพี่เสี่ยวเฉ่าควรสอบเข้ามหาวิทยาลัยนะ ไม่ต้องคิดเรื่องนี้แล้วค่ะ ทำใจให้สบายเพื่อเตรียมตัวสอบ แล้วค่อยว่ากันนะ ตกลงไหม?” เสี่ยวเถียนปลอบโยน “แต่ว่าถ้าพี่กับพี่เสี่ยวกังทำสำเร็จ ป้าเถาฮวาอาจจะมีความหวังก็ได้นะคะ!”
เสี่ยวเหมยรู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลมาก
เธอต้องตั้งใจเรียนแล้วสอบเข้ามหาวิทยาลัย และเป็นนักศึกษาที่รุ่งโรจน์ให้ได้
เพื่อสร้างชีวิตที่ดีกว่าให้กับผู้เป็นแม่