เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 252 หลานเป็นหมูป่าที่เลี้ยงจากคอกหมูหรือยังไงกัน
- Home
- เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ
- บทที่ 252 หลานเป็นหมูป่าที่เลี้ยงจากคอกหมูหรือยังไงกัน
บทที่ 252 หลานเป็นหมูป่าที่เลี้ยงจากคอกหมูหรือยังไงกัน
บทที่ 252 หลานเป็นหมูป่าที่เลี้ยงจากคอกหมูหรือยังไงกัน
ก่อนหน้านี้เคยขึ้นเขาไปกับเสี่ยวเถียน ไม่เคยเดินทางที่โล่งเปล่าแบบนี้มาก่อน มีครั้งไหนบ้างที่กลับมาพร้อมกับกระเป๋าว่าง ๆ แบบนี้?
ขาดแค่เสี่ยวเถียนคนเดียว ทำไมถึงต่างกันขนาดนี้?
เสี่ยวเถียนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ เธอดึงมันฝรั่งที่ย่างออกมาจากกองไฟแล้วรีบเอ่ย “พี่อี้หย่วนขึ้นเขาไปตั้งนาน ต้องหนาวและหิวมากแน่ ๆ รีบกินมันเผาเร็วค่ะ”
สองมือถือมันฝรั่งเผาสีดำสนิท มันร้อนมาก
แต่ฉืออี้หย่วนรู้สึกว่าหัวใจเขาสงบเหลือเกิน
ตอนที่กินเสร็จสองมือก็ดำปี๋ โดยเฉพาะเสี่ยวเถียนที่ใบหน้าเปื้อนเขม่าขี้เถ้าตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
ผู้เป็นพี่เช็ดทำความสะอาดใบหน้าน้องสาวด้วยแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง
“เด็กคนนี้ ทำไมกลายเป็นแมวไปแล้วล่ะ?” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรักความเอ็นดู ไม่สามารถปกปิดได้เลย
ฉือเก๋อที่เห็นภาพนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม
“ผู้เฒ่าฉือ กลับไปจะต้องหาวิธีที่ทำให้อี้หย่วนได้กลับเมืองหลวงแล้วล่ะ”
หลานชายเขาเป็นเด็กดี ถ้าอยู่ที่นี่ตลอดชีวิตจะต้องเสียเวลาเปล่า
“ฉันไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะได้กลับไปหรือเปล่า สหายเสิ่น ถ้ามีวิธีพาอี้หย่วนกลับไปได้ ฉันจะจดจำบุญคุณครั้งนี้ไปตลอดชีวิตเลย” เป็นธรรมดาที่ฉือเก๋อไม่อยากให้หลานชายจมปลักอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต
ตั้งแต่ที่หลานบ้านซูไปเรียน อารมณ์ของอี้หย่วนย่ำแย่มาก ฉือเก๋อรู้มาตั้งนานแล้ว
แต่เขาแค่แสร้งทำเป็นไม่รู้เท่านั้น
เขาให้การศึกษาแก่ผู้คนมาเกือบทั้งชีวิต แต่ตัวเองกลับไม่สามารถส่งหลานชายไปเรียนได้ นึกแล้วก็เศร้ายิ่งนัก
เสิ่นจื่อเจินเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นก็พยักหน้า
เสี่ยวเถียนบังเอิญได้ยินบทสนทนาพอดี จึงพูดกับฉือเก๋อด้วยรอยยิ้มที่สดใส “คุณปู่ฉือ ปู่เชื่อหนูนะ มากสุดคือปีหน้า ปู่จะได้กลับเมืองหลวงแน่นอน!”
ฉือเก๋อไม่คิดว่าเสี่ยวเถียนจะพูดจาหนักแน่นเช่นนี้
ฉืออวี้หยวนที่อยู่ข้าง ๆ ได้ยิน เขาก็เอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ “เสี่ยวเถียน พูดจริงหรือ?”
ต่างจากปู่มาก เด็กหนุ่มขาดการควบคุมพอสมควร
เขาอยากกลับเมืองหลวง อยากกลับไปเรียน อยากกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเมื่อก่อน ชีวิตที่ปกติ
“เป็นเรื่องจริงแน่นอนค่ะ!” ซูเสี่ยวเทียนพยักหน้าหนัก ๆ ทั้งยังทำท่าทำทางด้วย
ฉืออี้หย่วนทนไม่ไหวดึงเด็กหญิงเข้ามากอดแน่น
“ขอบคุณนะเสี่ยวเถียน ขอบคุณที่ให้ความหวังกับพี่!”
ว่าจบ เขาก็นึกได้ว่าตัวเองโง่จริง เสี่ยวเถียนเป็นแค่เด็ก เธอก็พูดไปแบบนั้น ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่าด้วยซ้ำ
แต่เขาก็เชื่อโดยไม่ลังเล
“พี่อี้หย่วน หนูไม่เคยโกหก ถ้าหนูพูดออกมามันเป็นความจริงแน่นอน”
เห็นเธอพูดอย่างเด็ดเดี่ยว สามีภรรยาตู้ก็มองหน้ากันแล้วอดถามไม่ได้ “เสี่ยวเถียน หลานว่าพวกเราจะได้กลับไหม?”
“ได้สิคะ” เสี่ยวเถียนกล่าวอย่างหนักแน่นอีกครั้ง
ในอนาคตพวกเราจะได้กลับไปใช้ชีวิตของตัวเองแล้ว
วันต่อมา เด็กบ้านซูขึ้นเขาไปอย่างเอิกเกริก
ตอนนี้มีเหยื่อบนเขาไม่มาก แต่ที่คุณปู่ซูไม่เข้าใจคือ ทำไมทุกครั้งที่เสี่ยวเถียนไป ถึงได้ของมาเยอะขนาดนี้
วันนี้ก็เช่นเดียวกัน ตอนที่เด็ก ๆ ลงจากเขา ได้ทั้งไก่ กระต่าย รวมถึงหมูป่าตัวเล็กด้วย
เหล่าต้าอดหัวเราะไม่ได้ “แม่บอกเสมอว่าเสี่ยวเถียนมีโชค ผมคิดว่ามันเกินจริงไปหน่อย แต่ดูเหมือนเธอจะมีโชคจริง ๆ”
แล้วทำไมไอ้เด็กพวกนั้นที่ขึ้นเขากันไปเมื่อวานถึงไม่ได้อะไรกลับมาเลยล่ะ วันนี้มีเสี่ยวเถียนไปด้วยดันได้ของมาเพียบ
คุณย่าซูได้ยินลูกชายคนโตพูด ก็นึกถึงที่หลานชายคนที่เก้าบอกไว้ เห็ดพวกนั้นเหมือนโตมามีขาเพราะมันวิ่งเข้ามาหาเสี่ยวเถียนตลอด
เห็ดไม่มีขา แต่หมูป่ากับไก่มี ไม่แน่ว่าอาจจะวิ่งมาหาเองก็ได้นะ
“คุณย่า หมูป่าตัวเล็กเอามาตากแห้งกันค่ะ ไว้รอตอนที่ลุงเสิ่นจะกลับเมืองหลวงค่อยเอาไปให้กัน!” เสี่ยวเถียนมองหมูป่าแล้วนึกถึงหมูแผ่นของคนยุคหลัง ก่อนจะเอ่ยออกมา
เดิมทีคุณย่าซูเคยคิดที่จะเอาหมูป่ามาหมักทำเป็นเนื้อผัดขลุกขลิกให้กินกันครอบครัวไปหลาย ๆ เดือน
แต่พอหลานพูดแบบนั้น เธอก็คิดว่าสมเหตุสมผลดี
พวกเขาเป็นผู้มีพระคุณกับเสี่ยวเถียน เธอจำได้ขึ้นใจ
“ได้สิ งั้นคืนนี้เรามาแอบทำกันนะ” คุณย่าซูพยักหน้าเห็นด้วย
ค่ำคืนนี้ลมกระโชกแรงเหมาะแก่การทำอะไรที่คนอื่นมองไม่เห็นหรือได้กลิ่น
ตัวอย่างเช่นการตุ๋นเนื้อสัตว์ เหมาะเหม็งที่สุด
และกลิ่นจะกระจายไปตามลมด้วย ไม่กลัวโดนจ้องหรอก
ใครจะรู้เล่าว่าหลังกินข้าวเย็นเสร็จ หิมะก็เริ่มโปรยปราย ตอนแรกมันมาเป็นแค่ละอองเล็ก ๆ แต่พอฟ้ามืดสนิทมันก็ตกหนัก
ซูเสี่ยวเถียนมองหิมะที่ตกหนัก อดดีใจไม่ได้ “โชคดีนะเนี่ยที่กลับมาแล้ว ไม่งั้นนะพรุ่งนี้รถอาจจะไม่วิ่งก็ได้”
คุณย่าซูเห็นด้วยมาก
“ยังเป็นหลานย่าที่วาสนาดี ถ้าพรุ่งนี้หิมะยังตกหนาขนาดนี้ พวกหลานไม่ต้องอยู่บ้านในเมืองหรอกหรือ?”
ในใจหญิงชราคิดว่าแม้เราจะมีบ้านในเมือง แต่เมื่อพูดถึงเรื่องครอบครัวแล้ว มันไม่สู้บ้านบรรพบุรุษเราที่หงซินหรอก
ย่าหลานไม่ได้เจอกันมาหลานวัน ผนวกกับหิมะตกหนัก พรุ่งนี้คงไม่มีอะไรให้ทำนอกจากนอนบนเตียงเตา คุณย่าซูก็คงจะนั่งโม้กับหลาน ๆ แทน
“ยามราตรีเคลื่อนคล้อยหิมะโปรย ขอร่วมเมาซักจอกได้หรือไม่!*[1] น่าเสียดายจังค่ะที่บ้านเราไม่มีเหล้า!” จู่ ๆ เสี่ยวเถียนก็อารมณ์เสียขึ้นมา
“หลานพูดถูก วันแบบนี้ดื่มเหล้าสักหน่อยก็ดี ที่บ้านเรามีเนื้อพอดีเลยนะ พรุ่งนี้เชิญอาจารย์เสิ่น อาจารย์ฉือ แล้วก็อาจารย์ตู้มาร่วมวงกินข้าวกันเถอะ” คุณปู่ซูกำลังอึ้งงันกับคำพูดของหลานสาวอยู่
ที่บ้านเรามีเหล้าอยู่แล้ว แต่เสี่ยวเถียนยังเด็ก เขาไม่หวังให้หลานดื่มอยู่แล้ว
เสี่ยวเถียนไม่คิดว่าปู่จะอยากดื่มจริง ๆ
“เอาล่ะ หาได้ยากที่อาจารย์เสิ่นจะกลับมา พรุ่งนี้ชวนพวกเถาฮวามากินข้าวด้วยดีกว่า” คุณย่าซูก็เห็นด้วยเช่นกัน
พอถึงตอนเย็น ไม่มีใครรู้เลยว่าเถาฮวากำลังจะไปใช้ชีวิตที่เมืองหลวง ส่วนคุณย่าซูรู้ได้โดยธรรมชาติ
หลังจากเรื่องราวได้จบลง คุณย่าซูก็นับเนื้อสัตว์ที่บ้านและแบ่งไว้กินในวันพรุ่งนี้ ส่วนที่เหลือนั้นจากคำแนะนำของเสี่ยวเถียน เธอเลือกเนื้อไม่ติดมันเพื่อทำเนื้อตากแห้ง และเนื้อติดมันเอามาต้มเป็นน้ำมัน
แน่นอนว่าไม่ลืมที่จะแบ่งเนื้อส่วนเล็ก ๆ ทำเนื้อผัดขลุกขลิกสำหรับฉือเก๋อและตู้ถงเหอด้วย
ตอนนี้บ้านเถาฮวาไม่เหมือนเดิมแล้ว คุณย่าซูตัดชิ้นเนื้อออก ก่อนจะเอ่ยว่า “เนื้อพวกนี้ ให้พวกเขาไปทำกินเองแล้วกัน”
หลังจากแยกเนื้อเสร็จ คุณย่าซูวานให้หวังเซียงฮวาเอาไปทำเนื้อตากแห้ง
เสี่ยวเถียนคอยอยู่ด้านข้าง ทำบางอย่างที่เธอพอทำได้
โส่วเวินเห็นทั้งสามคนกำลังยุ่ง เขาจึงเข้ามาช่วยด้วย
ทุกคนร่วมมือกันทำงาน และความเร็วก็เพิ่มขึ้นมาก
ต้มเนื้อกันค่อนคืน ในที่สุดก็ออกมาเป็นเนื้อตากแห้งประมาณหนึ่ง
คุณย่าซูยิ้มเมื่อเห็นเนื้อตากแห้งที่กึ่งแข็งกึ่งนิ่มออกจากอ่างไม้ แล้วยิ้มกว้าง
“ทำไว้ค่อนคืนไม่เสียเปล่านะเนี่ย รู้งี้ทำตั้งนานแล้ว!”
“ย่าครับ วันหลังเราขึ้นเขาไปหาหมูป่าตัวใหญ่กว่านี้กันนะ” เสี่ยวจิ่วว่าพลางแอบจิ๊กเนื้อตากแห้งออกจากอ่างไม้ เหมือนหนูที่แอบขโมยน้ำมันกิน
คุณย่าซูดีดหน้าผาก “โลภมากจิง ๆ หลานเป็นหมูป่าที่เลี้ยงจากคอกหมูหรือไง? ถ้าอยากได้ตัวใหญ่ก็ได้ตัวใหญ่ อยากได้ตัวเล็กก็ได้ตัวเล็กเนี่ย?”
เสี่ยวจิ่วพยักหน้าเคร่งขรึม “ย่าครับ จริง ๆ นะ มันทำได้จริง ๆ!”
เขาเชื่อในโชคของน้องเล็ก แค่มีเสี่ยวเถียนใกล้ ๆ จะต้องได้ของดี ๆ แน่นอน
เช้าวันต่อมา ตอนที่เสี่ยวเถียนตื่น หิมะยังตกอยู่ เหมือนจะไม่เบาลงสักนิด
มีหิมะบนพื้นหน้าบ้านหนาประมาณห้าหกชุ่น
“เมื่อคืนนี้หิมะตกหนักขนาดนี้เลยหรือ?” เสี่ยวเถียนว่าพลางมองฟ้าอึมครึม เหมือนว่ามันจะไม่หยุดตกในเวลาอันสั้นนี้
“ใช่จ้ะ พ่อใหญ่กับพ่อรองไปฟาร์มหมูแต่เช้า ส่วนแม่ใหญ่ก็ไปฟาร์มไก่นู่น”
ลูกชายกับลูกสะใภ้ยุ่งกันหมด แม้คุณย่าจะมีความสุข แต่ก็ปวดใจเช่นกัน
ตอนนี้บ้านอื่นคงนอนขลุกกันบนเตียงเตา
“คุณย่า พวกย่ากวาดหิมะออกจากลานบ้านก่อนแล้วกันครับ แล้วเดี๋ยวค่อยกวาดบนหลังคา” โส่วเวินเดินมาพร้อมกับไม้กวาดอันใหญ่
*[1] ยามราตรีเคลื่อนคล้อยหิมะโปรย ขอร่วมเมาซักจอกได้หรือไม่ เป็นบทกวี《问刘十九》โดย 白居易 ในสมัยราชวงศ์ถัง เป็นคำเชิญชวนให้สหายร่วมดื่มสุราในค่ำคืนที่หิมะตก ร่วมปันสุขกันจากใจจริง