เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 261 ไร้ยางอาย (1)
บทที่ 261 ไร้ยางอาย (1)
บทที่ 261 ไร้ยางอาย (1)
เช้าวันที่สองของเทศกาลขึ้นปีใหม่ บ้านหลักตระกูลซูตื่นแต่เช้าตรู่มากินบะหมี่เส้นยาวตามประเพณี
ทั้งครอบครัวกินบะหมี่พลางพูดคุยกันไปด้วยอย่างชีวิตชีวาอยู่ในห้องหลัก สนทนาพาทีกันเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงปีใหม่ และบอกพวกโส่วเวินว่าตอนไปอยู่เมืองหลวงก็อย่าสร้างปัญหาล่ะ
พอเห็นฉากที่มีชีวิตชีวา คุณย่าซูอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
หม่านซิ่วรู้ว่าแม่ของเธอคิดถึงซูหม่านเซียง
ถึงหม่านเซียงจะทำเรื่องไม่ดีเยอะแยะมากมาย แต่เธอก็คือคนที่แม่รักและเอ็นดูที่สุด
“แม่คะ ไม่งั้นให้ฉันกับพี่สามไปดูน้องที่ตำบลดีไหม?”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง คุณย่าซูก็ส่ายหัว “อย่าไปเลยดีกว่า ด้วยนิสัยน้องแล้ว…”
ลูกสาวตัวเองเป็นเช่นไรเธอรู้จักดี ถ้าเราเป็นฝ่ายไปหาเขาเองตอนนี้ อาจจะเกิดเรื่องขึ้นมาก็ได้
หม่านซิ่วไม่ได้พูดอะไรมาก แค่แอบคิดว่าพอกลับเมืองไปจะไปหาน้องเล็กสักหน่อย
ทว่าในตอนที่กำลังกินข้าวอยู่ จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ซูเสี่ยวจิ่ววิ่งออกไปเปิดประตู แต่เห็นคนที่ไม่รู้จักยืนอยู่ตรงนั้น
“นี่ใช่บ้านของซูชวนไหม?”
ผู้มาใหม่มีน้ำเสียงสุภาพ ต่อให้เสี่ยวจิ่วอายุน้อยก็ไม่ได้โดนเขาเหยียดหยาม
“ใช่ครับ คุณมาหาคุณปู่หรือครับ?” ซูเสี่ยวจิ่วต้อนรับด้วยความสุภาพเช่นกัน
หลังจากที่ชายคนนั้นเข้าไปในห้องหลักแล้วเห็นฉากคึกคักในห้อง จู่ ๆ ปากมันก็หนักขึ้นมาเหมือนว่ามันยากเหลือเกินในสิ่งที่เขากำลังจะพูดต่อไป
“คุณคือ…” คุณปู่ซูวางชามและตะเกียบก่อนเอ่ยถาม
“คุณคือพ่อเฒ่าซูใช่ไหมครับ? ผมเป็นคนของตระกูลคังมาจากตำบลครับ”
ตระกูลคัง?
ทุกคนตกใจเมื่อได้ยินคำว่าตระกูลคัง
หลายปีแล้วที่สมาชิกบ้านตระกูลคังไม่เคยมาที่บ้านหลักตระกูลซูมาก่อน
จู่ ๆ วันนี้ก็มาหา มีเรื่องอะไรเกิดอะไรขึ้น?
“พ่อเฒ่าซู ผมเป็นหลานชายของคังเซ่า ชื่อคังเหรินอี้ครับ”
คังเซ่าหรือ? พวกผู้ใหญ่บ้านซูรู้ว่าเขาคือพ่อของคังเหรินเต๋อ
แล้วคนจากตระกูลคังมาที่นี่กันทำไม?
“เกิดอะไรขึ้นหรือ?” จู่ ๆ หัวใจคุณย่าซูพลันเต้นแรงขึ้นมา
“บ้านตระกูลคังเกิดไฟไหม้ แล้วทั้งครอบครัว…” คังเหรินอี้เอ่ยตะกุกตะกัก ทั้งครอบครัว ไม่มีใครรอดเลยสักคน
โดยเฉพาะซูหม่านเซียงที่วิ่งไปถึงประตูแล้ว แต่เพราะพิงประตูจึงถูกไฟคลอกเสียชีวิต
พอคิดถึงฉากนั้นก็รู้สึกหดหู่ใจ
“บาดเจ็บหรือ?” คุณย่าซูถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
แม้ว่าเธอจะเดาได้ว่าไม่ใช่เรื่องดี แต่ก็ยังโอบกอดความหวังอันริบหรี่เอาไว้
คังเหรินอี้ส่ายหัวอย่างเศร้าสร้อย
บรรยากาศบ้านซูเงียบสงัด ความอบอุ่นก่อนหน้านี้มลายหายไปทันที
หนึ่งชั่วโมงต่อมา คุณปู่คุณย่าซูพร้อมทั้งลูกชายลูกสาวเดินทางมาถึงตำบล
หลานชายคนโตทั้งสามติดตามมาด้วยเช่นกัน ส่วนเด็กคนอื่น ๆ ที่อายุน้อยส่งให้เถาฮวาดูแล
เสี่ยวเถียนยืนกรานที่จะตามไปด้วย เพราะเธอกังวลจริง ๆ ว่าเรื่องร้ายแรงคราวนี้จะกระทบกระเทือนจิตใจจนคุณปูคูย่าจนทนไม่ได้
ในที่สุด เหลียงซิ่วก็เลือกพาลูกสาวไป แต่ไม่ให้เด็กคนอื่น ๆ ตามไป
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เธอรู้สึกว่าพ่อแม่สามีจะรู้สึกดีขึ้นได้เมื่อมีเสี่ยวเถียนอยู่ใกล้ ๆ
ณ ตำบล
บ้านที่แต่เดิมเคยเป็นบ้านตระกูลคังถูกเผาจนเหลือเพียงซากปรักหักพัง และแม้แต่บ้านข้าง ๆ ยังเห็นร่องรอยของการถูกเผาไหม้
จะเห็นได้ว่าคนข้างบ้านได้รับผลกระทบแค่เล็กน้อยเพราะดับไฟได้ทันเวลา
ศพเจ็ดแปดศพนอนเรียงกันเป็นแถวบนพื้นที่ถูกถางออกไปชั่วคราว
เนื่องจากทุกคนถูกไฟคลอก จึงมองเห็นใบหน้าได้ไม่ชัดเจน
แค่ปรายตามองเฉย ๆ ยังไม่ทันจะร้องไห้ คุณย่าซูก็เป็นลมหมดสติไปเสียก่อน
หม่านซิ่วกับเหลียงซิ่วมีสายตาเฉียบคมและว่องไว พวกเธอปรี่เข้ามาประคองมารดาทั้งซ้ายขวาได้ทัน
เหตุการณ์อันโหดร้ายนี้ไม่มีใครจินตนาการถึงมาก่อน
ทุกคนจากไปหมด ไม่เหลือรอดสักคน…
“บ้านสะใภ้ พวกคุณมาแล้วหรือ?” ชายชราวัยห้าสิบกว่าเข้ามาทักทายคุณปู่ซู
ถึงแม้จะไม่ได้เจอกันมานานหลายปี แต่คุณปู่ซูก็รู้ว่านี่คือ คังจ้าว น้องชายของคังเซ่า
คุณปู่ซูกลั้นความโศกเศร้าแล้วเอ่ยทักทายอีกฝ่าย ก่อนจะมองไปที่ศพเหล่านั้น
ริมฝีปากของเขาสั่นเล็กน้อยราวกับว่าอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่พูดอะไรสักคำ
เสี่ยวเถียนก้าวไปข้างหน้าแล้วกุมมือคุณปูไว้อย่างอ่อนโยน
เธอเห็นแล้วว่าปากคุณปู่เอาแต่พึมพำชื่อของอาเล็ก ท่าทางนั้นของผู้เป็นปู่ทำให้หัวใจของเด็กหญิงสั่นสะท้าน และคิดว่ามันง่ายเกินไปหรือเปล่า?
แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลจะถูกตัดขาดสะบั้นไม่เหลือชิ้นดี แต่ความสัมพันธ์ทางสายเลือดจะตัดขาดกันได้อย่างไร
มือคุณปู่ซูเย็นเฉียบจนไร้ซึ่งความอบอุ่น
แต่เมื่อหลานสาวตัวน้อยยื่นมือออกมา เขาก็เผลอออกแรงขึ้นไปอีก แรงบีบที่มือทำให้เสี่ยวเถียนรู้สึกเจ็บ หากแต่ก็พยายามอดทนเอาไว้
“ในเมื่อพวกคุณมาแล้ว งั้นพวกเรามาปรึกษาเรื่องงานศพกัน”
คุณปู่ซูไม่อยากจะเข้าใจ แค่มองคังจ้าวอย่างลังเลราวกับไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร
“ตาเฒ่าซู ในเมื่อมีคนตายก็ต้องฝังศพให้พวกเขาจากไปอย่างสงบ คุณดูสิ คนทั้งครอบครัว… เราจะปล่อยให้พวกเขานอนที่นี่หรือ?”
สิ่งที่คังจ้าวว่า ทำให้คนรอบข้างรู้สึกไม่สบายใจ
ตระกูลคังถือว่าเป็นครอบครัวใหญ่เช่นกัน คังจ้าวมีลูกชายสามคนและลูกสาวสามคน และสองสามีภรรยาคังก็ใช้ชีวิตอยู่กับคังเหรินเต๋อลูกชายคนเล็ก
คราวนี้ทั้งครอบครัวตั้งแต่คนแก่ไปจนเด็กไม่มีใครเหลือรอดเลยสักคน
แต่เหล่าต้าและเหล่าเอ้อร์ตระกูลคังไม่ได้อาศัยอยู่กับเขา จึงยังสบายดีอยู่
ตระกูลคังยังมีคนที่รอดชีวิตอยู่ แต่ไม่ว่าใครจะพูดอะไร เรื่องงานศพก็ไม่สามารถให้ตระกูลซูจัดการได้
แถมคังเหล่าต้ากับคังเหล่าเอ้อร์ก็ไม่ปรากฏตัว แต่ขอให้ลุงจ้าวออกหน้าและจัดการเรื่องงานศพให้ตระกูลซูแทน
คนรอบข้างล้วนคิดว่าคนตระกูลคังไร้ยางอายเกินไป
“อารองคัง ดูสิ่งที่คุณพูดสิ ตระกูลคังจะไม่เหลือใครเลยเชียวหรือ?” ซูเหล่าต้าอารมณ์เสีย และเอ่ยขึ้นอย่างไม่เกรงกลัว
“ไอ้เด็กนี่ ทำไมพูดจาแบบนี้ล่ะ? เรื่องของน้องสาวแกจะไม่ใช่เรื่องของแกได้ยังไง?” คังจ้าวพูดกับซูเหล่าต้าด้วยความไม่พอใจ
เหล่าต้ามองออกแล้วว่าตระกูลคังหมายถึงอะไร เขาจึงร้องเหอะออกมา
“อารองคัง อย่าโทษที่ผมพูดไม่ดีเลยนะ น้องสาวผมแต่งงานเข้าบ้านคุณมาตั้งหลายปี จนมีลูกมีหลาน แต่ตอนนี้เธอจากไปแล้ว มันไม่น่าจะถึงคราวที่บ้านเราจัดงานศพหรือเปล่า?”
เหล่าต้าไม่กลัวที่จะทำให้คังจ้าวเคืองใจอยู่แล้ว จึงแสดงความไม่พอใจออกมาตรง ๆ
“ที่พูดมันก็ถูก แต่ว่าคนทั้งครอบครัวจากไปหมดแล้ว…”
อารองคังแสดงท่าทีลำบากใจ และท่าทางแบบนั้นทำให้ซูเหล่าต้าไม่พอใจมาก
หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเป็นผู้อาวุโส สาบานเลยว่าเขาต้องระเบิดโทสะออกมาแน่ ๆ
“งั้นให้คังเหล่าต้ากับคังเหล่าเอ้อร์ออกมาคุยสิ พ่อก็พ่อพวกเขา แม่ก็แม่พวกเขา พี่น้องก็พี่น้องเขาด้วยซ้ำ แล้วทำไมต้องรอพวกเราล่ะ?” ซูเหล่าเอ้อร์โมโหจนต้องพูดออกมา
งั้นไม่น่าแปลกใจที่รีบร้อนวิ่งมาที่หงซิน เพื่อรอให้พวกเราจัดงานศพ?
ไม่รู้เลยว่าตระกูลคังมันเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!
“งั้นก็โชคไม่ดีหน่อยนะที่พวกเขาป่วยกันหมดเลย!”
เหล่าซานยิ้มเย็นเยือก
“สะใภ้ น้องใหญ่ พวกเรามาดูกัน พาพ่อแม่กลับเลย”
คังจ้าวไม่คิดว่าคนบ้านซูจะกลับไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ พวกเขาทำเพียงแค่ดูแล้วก็พากันกลับไป
แล้วเรื่องราวมันกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไรกัน?