เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 265 เส้นทางต่าง จะมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกันไหม
บทที่ 265 เส้นทางต่าง จะมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกันไหม?
บทที่ 265 เส้นทางต่าง จะมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกันไหม?
ภรรยาคังเหรินสือไม่เต็มใจจึงถามออกไป แต่ก็ถูกอีกฝ่ายชี้หน้าและด่ากลับมาว่า “บ้านตัวเองทำอะไรไว้ยังไม่รู้อีก? ต้องรอให้คนอื่นมาบอกหรือ?”
ประโยคเดียวทำให้เธอหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย
ลูกสาวของคังเหรินสือโดนถอนหมั้นโดยไม่มีเหตุผล เธอรู้สึกละอายใจจึงเอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในห้อง แล้วร้องไห้คร่ำครวญ
ปีนี้ครอบครัวของเราประสบพบเจอความลำบากจริง ๆ
พวกเขาเริ่มบ่นถึงบ้านซู
และคิดว่าพวกเขาทำเกินไป ถ้าไม่ทำเรื่องไร้ปรานี มันจะเกิดเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร
แต่พวกเขาไม่เคยคิดว่า ถ้าเรื่องนี้คังเหรินเต๋อเป็นคนทำคนเดียว และไม่ได้รับความช่วยเหลือจากพวกเขา แม่ม่ายคนนั้นจะเข้ามาอยู่ในบ้านได้อย่างไร?
ถ้าไม่เอาแม่ม่ายคนนั้นเข้ามาในบ้าน แล้วใช้ความรักของคังเหรินเต๋อมาข่มเหงหม่านเซียง เรื่องราวหลังจากนี้มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร?
เพราะพวกเขาทำเรื่องราวเลวร้ายแบบนั้น จึงไม่มีใครเห็นใจ
ทุกคนบอกว่าตระกูลคังไร้ความซื่อสัตย์ และก่อเรื่องสร้างปัญหาขึ้นมาเอง
แม้กระทั่งยังมีบางคนเอาเรื่องสกปรกของบ้านคังไปบอกพวกพ้องและเครือญาติด้วย
ตอนนี้ตระกูลคังกลายเป็นพวกน่าสมเพชเวทนา
พี่ใหญ่พี่รองบ้านคังเริ่มโมโหโกรธเคืองขึ้นมา
คังเหรินเต๋อเป็นคนทำเรื่องสกปรก แล้วทำไมพวกเขาต้องรับผิดชอบด้วย?
ตอนนั้นพวกเขาลืมไปเลยว่า ถึงคังเหรินเต๋อจะไม่ใช่คนดี แต่ถ้าพวกเขาไม่ได้มีเจตนาข่มขู่คนอื่น และยอมฝังคนแยกกันไปตั้งแต่แรก คนบ้านหลักตระกูลซูก็คงไม่รู้เรื่องแม่ม่ายหรอก
พอคนบ้านหลักตระกูลซูมาถึงก็จะเห็นแค่ศพลูกสาว ไม่แม้แต่จะแยแสคนที่ไม่เกี่ยวข้อง
ตอนนั้นถึงครอบครัวของทั้งสองพี่น้องจะโมโห แต่ก็ยังมีงานให้ทำปลอบใจ และยังมีแรงใจในการจัดงานศพให้น้องกับครอบครัวด้วย
เดิมทีทั้งสองตั้งใจว่า หลังงานศพจะให้ลูกชายคนโตของคังเหรินเสียนเข้ามาทำงานแทนคังเหล่าซาน
แต่เขาจะทำเฉย ๆ ไม่ได้ ต้องอุดหนุนเงินให้บ้านคังเหรินสือด้วยเงินหนึ่งร้อยห้าสิบหยวน
ทั้งสองครอบครัวรอจนไม่มีเรื่องอะไร ทว่าก็ได้ยินข่าวร้ายอีกครั้ง
หลังจากฝังศพ คังเหรินเสียนพาลูกชายไปที่สหกรณ์เพื่อขอรับตำแหน่งต่อ
ผู้ดูแลสหกรณ์ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
“ผู้ดูแล ไม่ได้นะ มันเป็นงานน้องสาม ต้องให้หลานชายผมสิ” คังเหรินเสียนรีบก้าวไปข้างหน้า และคว้าแขนเสื้อของผู้ดูแลเอาไว้
“งานหรือ? ทางชุมชนใหญ่จัดการไว้แล้ว คังเหรินเต๋อไร้ศีลธรรม ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ ต้องถูกส่งไปเหมืองและโดนไล่ออกอยู่แล้ว”
ผู้ดูแลสหกรณ์เป็นคนที่ค่อนข้างซื่อสัตย์ การกระทำของบ้านคังเขาไม่มีความรู้สึกดีให้เลยสักนิด
“แต่คนตายหมดแล้วนะ!”
“คนตายแล้วมันยังไง?” ผู้ดูแลสหกรณ์มองเขาอย่างเย็นชา
ถ้าไม่ใช่เพราะความไร้ยางอายของคนบ้านนี้ที่ทำให้เกิดเหตุนี้ขึ้น หลานชายเขาก็คงไม่มีวิธีจัดการหรอก
รออยู่สักพัก คังเหรินเสียนก็ยอมรับความจริง
งานนี้จบแล้ว ไม่เหลืออะไรเลย!
หลังจากที่สมาชิกของตระกูลคังได้ยินว่าหลานชายของผู้อำนวยการสหกรณ์มาทำงานในตำแหน่งนี้ พวกเขาก็คิดว่าอีกฝ่ายจะโลภอยากจะได้งาน
มันจึงเกิดความโกลาหลอยู่หลายวัน เลยต้องไปมาหาสู่กับทางชุมชนใหญ่บ่อยครั้ง
แต่คนที่สหกรณ์มีเอกสารไล่ออกของคังเหรินเต๋ออยู่ในมือ แค่นี้ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่า คังเหรินเต๋อโดนไล่ออก และไม่มีคนมารับตำแหน่งต่อ
ตระกูลคังทะเลาะกันอยู่หลายวัน ที่สุดพวกเขาก็จบลงด้วยความขายหน้า
เรื่องราวกลายเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?
เงินก็ต้องจ่าย งานก็ไม่มี?
เสียค่าโง่ซะแล้ว
แต่ทั้งสองเก่งในการคิดคำนวณมาก ครั้งนี้เสียเปรียบ แต่จะยอมเสียเงินได้อย่างไรล่ะ?
สองพี่น้องและภรรยาของพวกเขาเริ่มทะเลาะกัน และเงินค่าทำศพในตอนแรกก็ต้องออกเงินสิบห้าเหมาสิบห้าเจี่ยว
แม้กระทั่งทะเลาะกันยกใหญ่ ถึงขนาดที่ว่าต้องให้คนบ้านซูเป็นฝ่ายออกมาจ่ายด้วย
ตลอดเดือนหนึ่งทั้งสองครอบครัวทะเลาะกันอึกทึกครึกโครม สุดท้ายทั้งสองพี่น้องก็แปรเปลี่ยนเป็นศัตรู เวลาเจอหน้าไม่มีใครพูดอะไรสักอย่าง
เรื่องราวกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ต่อให้วุ่นวายมากแค่ไหน งานก็ไม่มีอีกต่อไป
ตอนนั้นคนบ้านคังไม่รู้เลยว่าผลกระทบในครั้งนี้มันส่งผลมากกว่านั้น
อีกหลายปีข้างหน้า ลูกชายจะแต่งงานไม่ได้ ส่วนลูกสาวจะกลายเป็นผู้หญิงที่ไม่มีใครต้องการ
หากถ้ามีคนมาแต่งงานด้วย แต่ก็มักจะเป็นคนพิการ!
สรุปคือ ไม่มีใครยินดีแต่งงานด้วย
แน่นอนว่าเรื่องราวหลังจากนั้นขอไม่พูดถึง
ส่วนฝั่งบ้านซูที่มีชีวิตที่ดีมาตลอดทั้งปี เดิมทีมันดีมาก ๆ แต่เพราะหายนะนี่เลยทำให้เงามืดปกคลุมจนมิด
เพื่อปลอบโยนพ่อตาแม่ยาย ครอบครัวจื่ออันคิดจะกลับไปเยี่ยมหลังจากวันที่สามของวันปีใหม่ แต่ก็ต้องอยู่ยาวจนถึงวันที่สิบ
หม่านซิ่วเปิดกล่องจดหมาย ก่อนจะพบจดหมายข้างใน
มีจ่าหน้าซองถึงเธอ และมันก็หนามาก ไม่รู้ว่าเนื้อความข้างในเขียนไว้ว่าอย่างไร
ประหลาดใจนักว่าทำไมถึงมีคนเขียนจดหมายหา?
เธอเดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับจดหมาย ตอนนั้นสามีกำลังง่วนอยู่กับการจุดเตาไฟอยู่
ไม่มีคนอยู่บ้านเกือบครึ่งเดือน ตอนนี้อากาศภายในบ้านเลยหนาวมาก ๆ
“ใครเขียนจดหมายมาหาหรือ?” เฉินจื่ออันถามไปด้วยพลางจุดไฟไปด้วย
“ไม่รู้สิคะ มันเขียนถึงฉันด้วย!” เธอพลิกจดหมายในมือไปมา “ไม่รู้ใครเขียน เขียนมาซะหนาเชียว”
“เปิดอ่านเลย!” เฉินจื่ออันรีบใส่ฟืน ท่วงท่าคล่องแคล่วมาก
หม่านซิ่วฉีกซองก่อนจะเริ่มอ่านข้อความในจดหมาย
พอเห็นธนบัตรในมือเป็นปึก เธอก็ได้แต่ตกใจเป็นอย่างมาก
ทันใดนั้นก็รู้สึกไม่ค่อยดี ร่างกายสั่นสะท้านคล้ายจะล้มลงไป
ธนบัตรจำนวนมากขนาดนี้ ดูก็รู้ว่าเก็บไว้มานาน จดหมายจริง ๆ เป็นกระดาษแผ่นบาง เขียนไม่กี่ประโยค และมีจุดที่เขียนผิดด้วย
จดหมายเขียนโดยซูหม่านเซียง และกล่าวว่าเธอใช้ชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว และจะตายไปพร้อมกับคนที่ข่มเหงเธอ ทั้งยังขอร้องให้หม่านซิ่วเอาเงินพวกนี้ให้แม่ นั่นคือความกตัญญูครั้งสุดท้าย
“ซิ่วเอ๋อร์ เป็นอะไรไป?” พอเห็นน้ำตาของภรรยาไหลพราก เฉินจื่ออันก็รีบโยนฟืนในมือทิ้งทันที
“หม่านเซียงเขียนจดหมายมาหาฉัน…” เธอหลับตาลง น้ำตายังคงไหลอาบหน้าไม่อาจหักห้ามไว้ได้
เธอยื่นจดหมายในมือให้จื่ออัน
อีกฝ่ายอ่านจบก็เงียบไป
ก่อนหน้านี้เขามีความรู้สึกแปลก ๆ อยู่ตอนเห็นฉากที่ไฟไหม้บ้าน แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก พอตอนนี้ได้อ่านจดหมายฉบับนี้ก็เข้าใจในทันที
มันไม่ใช่อุบัติเหตุแต่อย่างใด แต่ซูหม่านเซียงเป็นคนจุดไฟเผาเอง
อะไรที่ทำให้เธอจุดไฟเผาไปทั้งครอบครัว แม้กระทั่งลูก ๆ ของตัวเองกัน?
เฉินจื่ออันไม่กล้าคิดเลย
“ซิ่วเอ๋อร์ เก็บเรื่องนี้ไว้อย่าบอกใคร!” เฉินจื่ออันฉกซองจดหมายจากมือภรรยาด้วยความตระหนก และยังยัดกลับไปอย่างลวก ๆ ด้วย
“ทำไมคะ?” ซูหม่านซิ่วไม่รู้ว่าทำไม
แต่เธอไม่ใช่คนโง่ และในไม่ช้าก็เข้าใจความหมายของสามี
ใบหน้าของเธอซีดเผือด จะเป็นไปได้จริงหรือ?
หม่านเซียงจุดไฟเผาคนทั้งครอบครัว?
สุดท้ายเธอก็เลือกเก็บการคาดเดาไว้ในใจ เหมือนที่จื่ออันว่า อย่าพูดถึงมันอีก และอย่าแม้แต่จะคิดถึงด้วย
ณ ชุมชนการผลิตหงซิน
บรรยากาศในบ้านซูอึมครึมมาตลอด
และยังเป็นเช่นนี้จนถึงวันที่ 14 เดือน 1
ใกล้จะถึงเทศกาลโคมไฟแล้ว และเมื่อมันสิ้นสุดลง ครอบครัวเถาฮวาจะไปเมืองหลวงด้วยกันกับเสิ่นจื่อเจิน
หลานคนโตทั้งสามของบ้านซูก็จะไปด้วย
ตระกูลซูเตรียมสัมภาระให้หลาน ๆ เพื่อเข้าไปเรียนในเมืองหลวง รวมถึงอาหารและเครื่องดื่มระหว่างทาง
คุณย่าซูนั่งลงกับพื้น แล้วช่วยสะใภ้เตรียมอาหารการกิน
พวกเธอทำหมูก้อนทอดและแป้งทอด
ของทอดจะอยู่ได้นาน กินบนรถไฟจะเป็นการดีที่สุด
คุณย่าซูยังทำเนื้อผัดซอสให้เป็นพิเศษ แล้วใส่โหลเพื่อเอาขึ้นรถไฟไปกิน
นอกจากนี้ คุณย่าซูยังอุ่นแป้งทอดไส้กุยช่ายให้อีกด้วย
“ทุกคนชอบกินแป้งทอดไส้กุยช่ายที่ฉันทำ แต่ฤดูนี้ไม่มีกุยช่ายเลย ก็เลยเอาทำเป็นมันฝรั่งให้เอาไปแทน” หญิงชราพูดพล่าม
เสี่ยวเถียนเฝ้ามองจากด้านข้าง พลันรู้สึกเศร้าขึ้นมา
คุณย่าอาจจะทำตัวให้ยุ่งเพื่อที่จะลืมเรื่องของอาเล็ก
แต่จะลืมได้จริงหรือ?
ชาติที่แล้วคุณย่าเสียลูกสาวคนโต ชาตินี้คุณย่าเสียลูกสาวคนเล็ก…
เป็นไปได้ไหมว่า ถึงจะกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งและมีหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไป แต่บางอย่างจะกลับตาลปัตรไปอีกทาง
เธอไม่กล้าแม้แต่จะคิดเลย ถ้าทุกอย่างจะกลับเข้าสู่เส้นทางเดิม คุณปู่คุณย่าจะจากไปเร็วด้วยไหม?
เสี่ยวเถียนกลัว นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกหวั่นไหวกับความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง
เด็กหญิงตัวน้อยนั่งบนเก้าอี้ และเริ่มคุยกับระบบแอนนา
“แอนนา ฉันจะเปลี่ยนชะตากรรมของคนรอบข้างได้จริง ๆ หรือ?”
[ทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมีกฎเกณฑ์ มีประโยคที่ว่า เส้นทางต่างจะมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน!]
หัวใจของเสี่ยวเถียนจมดิ่งอย่างสมบูรณ์
เส้นทางต่างจะมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน มันก็ไม่ได้แปลว่า…
ไม่… เธอไม่ต้องการแบบนั้น เธออยากให้ปู่กับย่ามีชีวิตอยู่ไปอีกหลายปี มีความสุขไปอีกหลายปี วันเวลาที่ดีใกล้จะมาถึงแล้ว!
จู่ ๆ สาวน้อยก็น้ำตาไหลออกมา
ในตอนที่คุณย่าซูกลับมา เธอแทบขาดใจตอนเห็นหลานสาวร้องไห้
“หลานรัก หนูเป็นอะไร? ทำไมร้องไห้แบบนี้ล่ะ?” คุณย่าซูลืมความเศร้าไปชั่วขณะ และรีบเดินไปปลอบเสี่ยวเถียน
“คุณย่า หนูไม่อยาก… ไม่อยากได้แบบนี้ หนูอยากให้ทุกคนสบายดี!”
เด็กหญิงพูดจาละล่ำละลักจนหญิงชราไม่เข้าใจว่าเสี่ยวเถียนอยากพูดอะไร และไม่อยากได้อะไร
คุณย่าซูกลับคิดแค่ว่า หลานสาวคงผวากับท่าทางสิ้นหวังของตนเมื่อไม่นานมานี้ จึงรีบปลอบประโลม
“ย่าจะไม่เป็นไร หลานรักไม่ต้องกลัวนะ ย่าแค่ไม่สบายใจเท่านั้น เดี๋ยวก็ดีขึ้น!”
เสี่ยวเถียนร้องไห้อยู่นาน
หลังจากร้องไห้ เสี่ยวเถียนก็ตกใจที่พบว่าเหมือนคุณย่าจะรู้สึกดีขึ้น
อย่างน้อยก็ไม่กระวนกระวายอย่างสองวันก่อน แล้วดวงตาก็กลับมาสดใสอีกครั้ง
กระทั่งอาการของคุณปู่ซูเองก็ดูเหมือนจะดีขึ้นมากแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงเสี่ยวเถียนเลย แม้แต่ผู้ใหญ่ในบ้านซูก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อแม่ถึงดีขึ้นไวขนาดนี้
แต่ทุกคนเดาว่า ผู้อาวุโสทั้งสองไม่อยากให้หลานไปเมืองหลวง และอาจจะกังวล จึงแสร้งเป็นร่าเริง