เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 284 แก้ไขผลงาน
บทที่ 284 แก้ไขผลงาน
บทที่ 284 แก้ไขผลงาน
ซูเสี่ยวเถียนรู้สึกว่าบางจุดในหนังสือของหม่านซิ่วค่อนข้างแข็งทื่อไปเล็กน้อย จินตนาการยังไม่กว้างไกลพอ
แต่ก็เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
ทว่าในยุคนี้เรียกได้ว่าเป็นผลงานที่หาได้ยาก
หากแก้ไขเนื้อหาทั้งหมดอีกสักรอบและปรับปรุงส่วนที่ไม่สมเหตุสมผล น่าจะใช้เวลาประมาณครึ่งปี ใช้เวลาจัดการแค่ครึ่งปีก็เพียงพอแล้ว
เป็นโอกาสที่หนังสือเล่มนี้จะได้รับการตีพิมพ์หรือเผยแพร่ด้วย
ในเมื่อเป็นแบบนี้ อาใหญ่ก็จะกลายเป็นปัญญาชน ไม่ใช่แม่บ้านอย่างตอนนี้
ซูหม่านซิ่วไม่รู้ว่าเสี่ยวเถียนมีความคิดมากมายอยู่ในใจ
เธอรู้สึกว่างานเขียนพวกนั้นก็แค่เขียนเล่น ๆ ตอนนั้นไม่รู้ว่าทำไมถึงมีความคิดแปลก ๆ เยอะแยะแบบนั้น
งานเขียนยุ่งเหยิงแบบนี้ให้ลูกหลานที่บ้านอ่านก็พอ จะตีพิมพ์ออกมาเป็นนิยายได้อย่างไร?
“ช่างมันดีกว่าเสี่ยวเถียน อาว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก อาไม่เคยอ่านหนังสือด้วยซ้ำ”
ตอนที่ซูหม่านซิ่วพูด เธอก้มหัวลงเล็กน้อย
เธอเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจมาแต่ไหนแต่ไร ถึงจะอยู่กับจื่ออันมาสองปีและทำให้ชีวิตเธอสมความปรารถนามากก็ตาม
แต่ปมด้อยที่ฝังรากลึกอยู่ในกระดูกตั้งแต่ยังเด็กส่งผลกระทบต่อเธอมาโดยตลอด และเธอก็ยังเป็นคนที่ไม่เชื่อมั่นในตัวเอง
ซูเสี่ยวเถียนรู้จักนิสัยของซูหม่านซิ่วเป็นอย่างดี และรู้ว่าตอนนี้จิตใจของอีกฝ่ายกำลังคิดสิ่งใด
แต่เธอไม่ได้กังวลอะไรมาก ถึงอาใหญ่จะไม่มีความมั่นใจ แต่หลายปีมานี้มันก็เปลี่ยนมาในทิศทางที่ดีขึ้นแล้วไม่ใช่หรือ
“อาใหญ่ ถ้าไม่เชื่อก็เอางานเขียนมาให้พวกเราอ่านก็ได้ค่ะ ถ้าหนูกับพี่ ๆ อ่านจบแล้วว่าดี อาใหญ่ลองส่งต้นฉบับไปไหมคะ?”
เสี่ยวเถียนครุ่นคิด แต่ก็ดีนะได้ชี้ให้เห็นข้อบกพร่องด้วย ซูหม่านซิ่วจะได้แก้ให้ดีขึ้น
ถึงจื่ออันจะไม่เชื่อในการตัดสินของหลานสาว แต่เขาก็ยังหยิบงานเขียนขึ้นมาอ่านด้วยความสนอกสนใจ
เขาคิดแค่ว่าถ้าเขียนสะดุดตาจะชมสักหน่อย เพราะภรรยาของตนเองเขียนไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องชม
พอเขาได้เริ่มอ่านแต่ละประโยคก็ตกใจกับงานเขียนของภรรยาเป็นอย่างมาก ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าภรรยาจะมีความคิดสร้างสรรค์ขนาดนี้ ไม่อยากจะเชื่อเลย
อนาคตข้างหน้าเทคโนโลยีจะพัฒนามาถึงจุดนี้ได้จริงหรือ?
ถ้ามันทำได้จริง ๆ ประเทศจะเจริญและมีอำนาจขนาดไหนกัน
เฉินจื่ออันที่นิ่งสงบมาตลอดรู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อได้พบเจอสิ่งที่หาดูยาก
พอเห็นท่าทางสามี หม่านซิ่วกลับรู้สึกไม่สบายใจมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ และถามออกมาอย่างลังเล
“มันไม่ดีหรือ?”
“ซิ่วเอ๋อร์ ดีมากเลย ๆ คุณรู้หรือเปล่า?”
ตอนจื่ออันพูด น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“คุณเป็นอัจฉริยะโดยแท้ ซิ่วเอ๋อร์ คุณเป็นอัจฉริยะเลยนะ”
ถ้าแม่ยายกับหลาน ๆ ไม่ได้อยู่ที่นี่ เฉินจื่ออันคงอุ้มหม่านซิ่วขึ้นมาจูบแล้ว
เสี่ยวเถียนมองท่าทางของอาเขยก่อนจะคลี่ยิ้ม
พวกเขาเป็นเด็ก ถ้าพูดไปซูหม่านซิ่วอาจไม่เชื่อ แต่ถ้าเป็นเฉินจื่ออันจะแตกต่างออกไป
“จริงหรือ ไม่ได้ปลอบใจใช่ไหมคะ?” หม่านซิ่วยังคงมีท่าทีลังเล
“จริงสิ ซิ่วเอ๋อร์ ถึงจะอ่านไปแค่ไม่กี่หน้า แต่มันน่าสนใจมากเลย” เฉินจื่ออันกล่าวอย่างหนักแน่น
ความจริงแล้วเธอไม่ค่อยเชื่อกับสิ่งที่หลาน ๆ พูดสักเท่าไร
แต่คำพูดของสามีกลับทำให้เธอเต็มไปด้วยความมั่นใจ และตัดสินใจกลับไปจะแก้ไขงานอย่างจริงจัง
แค่ในช่วงเวลาสั้น ๆ หม่านซิ่วไม่มีเวลาทั้งยังไม่มีแรง เพราะเธอต้องออกเดินทางไปกับสามี
ก่อนจะไป เสี่ยวเถียนอ่านนิยายทั้งเล่มจบแล้ว เธอมองภาพรวมและแยกส่วนที่มีปัญหาออกมา
ซูหม่านซิ่วตื่นเต้นมากตอนเห็นคำถามและคำแนะนำที่หลานสาวจัดการให้
“ขอบคุณมากนะเสี่ยวเถียนที่เขียนปัญหาในงานของอาให้” หม่านซิ่วกอดหลานสาวอย่างตื่นเต้น ก่อนจะหอมแก้มหลานสาว
เฉินซิ่วหย่วนตัวน้อยเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งปรี่เข้าไปทันที
“แม่ แม่ จุ๊บ ๆ” เจ้าตัวน้อยกอดขามารดา พยายามออดอ้อนให้มารดาหอมแก้มตนเองบ้าง
หลังจากขอร้อง เฉินซิ่วหย่วนก็พูดกับเสี่ยวเถียน “แม่ ของผม ของผม!”
เสี่ยวเถียนอดหัวเราะไม่ได้ แล้วกอดแขนหม่านซิ่วบ้าง “อาใหญ่ ของพี่ ๆ”
เห็นเด็กสองคนตัวโตคนตัวเล็กคนหนึ่งกำลังแย่งกัน มันทำให้ซูหม่านซิ่วหัวเราะออกมา วันเวลาแห่งความสุขที่ไม่เคยนึกมาก่อนอยู่รอบตัวนี่เอง ทำไมยังไม่พอใจอีกนะ?
เธอย่อตัวลงหอมแก้มลูกชายฟอดใหญ่
ก่อนออกเดินทาง เดิมทีเฉินจื่ออันและหม่านซิ่วอยากจะขายบ้านหลังนี้
พวกเขามีเงินออมในมือไม่มาก ถ้าไปที่ใหม่น่าจะมีค่าใช้จ่ายเยอะ แต่ถ้าขายออกไปได้เงินจะได้คล่องมือสักหน่อย
พวกเขาเพิ่งพูดสิ่งที่วางแผนเอาไว้ แต่เสี่ยวเถียนกลับค้าน
“อาเขยจำได้ไหมคะ ก่อนหน้านี้หนูพูดไว้ ไม่ว่ายังไงก็ห้ามขายบ้านหลังนี้”
“ทำไมล่ะ?” เฉินจื่ออันถามด้วยสงสัย
“มีเหตุผลค่ะ แต่ตอนนี้ยังพูดไม่ได้ อีกปีสองปีเดี๋ยวอาเขยก็รู้ค่ะ”
แม้จะไม่รู้ว่าทำไม แต่เฉินจื่ออันจำได้ว่าหลายปีก่อนเสี่ยวเถียนเคยพูดเรื่องนี้ เด็กคนนี้ไม่น่าพูดไร้สาระหรอก มันน่าจะมีเหตุผมแน่ ๆ
สุดท้ายสองสามีภรรยาก็ตัดสินใจจะเก็บบ้านหลังนี้เอาไว้ แต่อนาคตพวกเขาอาจจะได้กลับมาอยู่ที่นี่อีกครั้ง
ส่วนเรื่องตึงเครียดตอนนี้ที่จริงก็เอาตัวรอดได้แล้ว
ถ้าได้เลื่อนตำแหน่ง เงินเดือนก็จะเพิ่มขึ้นด้วย
และถ้ามีโอกาส หม่านซิ่วก็จะได้งานเหมือนกัน พอถึงตอนนั้นบ้านเราก็จะมีคนหาเงินสองคน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็จะผ่านไปได้
คุณย่าซูคาดการณ์ถึงเหตุผลที่แท้จริงเรื่องลูกสาวกับลูกเขยจะขายบ้าน
เพราะงั้นหญิงชราจึงให้เงินลูกสาวไปร้อยหยวนและตั๋วกองหนาเป็นการส่วนตัว
แล้วหม่านซิ่วจะรับได้อย่างไร?
ในฐานะลูกสาว เธอรู้สึกผิดมากที่ไม่สามารถกตัญญูต่อพ่อแม่ได้ แล้วจะให้คนที่บ้านมาช่วยเหลือได้อย่างไร?
“แม่ทำแบบนี้ไม่ได้นะ แม่เก็บมาด้วยความลำบาก หนูจะเอาของของแม่มาได้ยังไงคะ?”
ถึงสถานการณ์บ้านเราตอนนี้จะดีขึ้น แต่มันไม่ง่ายเลยนะที่แม่จะเก็บเงินได้ขนาดนี้
“ลูกเอาไปเถอะ แม่ให้ แม่มีอยู่แล้ว” หญิงชราว่าแล้วยื่นเงินคืนให้ลูกสาว
“แม่ช่วยเหลือฉันมาตลอด ถึงพวกพี่สะใภ้จะไม่พูด แต่พวกเธออาจจะรู้สึกอึดอัดอยู่ในใจก็ได้นะคะ”
“พวกพี่สะใภ้เขาไม่สับสนหรอก เขารู้ดี หลายปีมานี้ลูกกับจื่ออันก็แอบช่วยบ้านเราไว้ไม่น้อยเลยใช่ไหมล่ะ?”
คุณย่าซูถอนหายใจ เผิน ๆ เหมือนเธอจะให้เนื้อกับไข่ แต่ความจริงจื่ออันช่วยเราไว้มากกว่านั้น
ไม่ต้องพูดเยอะแยะ สองปีมานี้การที่ฉีเหลียงอิงและเหลียงซิ่วทำงานในโรงงานได้อย่างสบายใจ เพราะมีเฉินจื่ออันอยู่เบื้องหลัง
ถ้าไม่มีเขา คงไม่สามารถทำงานได้อย่างราบรื่น
ยิ่งเหล่าซานที่เพิ่งย้ายเข้ามาได้ไม่กี่ปี ตอนนี้เขาเป็นรองหัวหน้าในทีมยานยนต์แล้ว
“ซิ่วเอ๋อร์ พี่ชายกับพี่สะใภ้ล้วนมีเหตุผล ถ้าไม่ได้เราช่วยเหลือ ลูกคงไม่สามารถเก็บเงินได้นะ”
ตอนหญิงชราพูด น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความจริงจัง
หลายปีมานี้ คุณย่าซูให้ตั๋วหม่านซิ่วไม่น้อย แต่ให้เงินเธอน้อยเกินไป
เพราะลูกเขยมีงานมีรายได้ทุกเดือน แต่เพราะต้องดูแลเด็กกำพร้าของสหายร่วมรบหลายคน การใช้ตั๋วเลยไม่ค่อยสะดวกนัก
และทุกครั้งที่ให้ตั๋ว ลูกสาวกับลูกเขยจะให้ของตอบแทนกลับมาเสมอ
และของที่ส่งมาให้เป็นของหายาก ซื้อได้เฉพาะช่องทางพิเศษเท่านั้น
ทั้งยังคิดหาวิธีที่จะให้ผลประโยชน์แก่ผู้อำนวยการหลี่และคนในทีมยานยนต์ด้วย
และเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่น้อย
เดิมทีหม่านซิ่วคิดจะทำเรื่องต่าง ๆ ให้เสร็จโดยไม่พูดอะไร แต่ไม่คิดว่าแม่จะเอ่ยออกมาตรง ๆ โดยที่เธอไม่ได้พูดอะไรสักคำ
“ซิ่วเอ๋อร์เอ้ย ถ้าลูกไปแล้วเราอาจจะไม่ได้เจอกันอีกนาน ตอนนี้มีเงินอยู่ในมือแล้ว ลูกน่าจะมั่นใจได้มากขึ้นแล้วนะ” คุณย่าซูพูดอย่างจริงจัง
ที่ลูกสาวไม่สามารถหาเงินได้เพราะมันเป็นข้อผิดพลาด และนี่คือปมในใจคุณย่าซู
หลายปีมานี้พวกสะใภ้หาเงินได้ มันทำให้เธอรู้สึกว่าลูกสาวควรมีอาชีพที่จริงจังได้แล้ว
หม่านซิ่วไม่ปฏิเสธ ก่อนจะหยิบเงินและตั๋วไป
“แม่คะ ถือว่าเป็นการยืมแล้วกันนะ ในอนาคตหนูจะคืนให้อย่างแน่นอน”
คุณย่าซูพูดอย่างเป็นทุกข์ “เด็กโง่ พูดอะไรเนี่ย”
“แม่ บ้านหลังนี้ขายไม่ได้ ก็ต้องมีคนดูแลนะ มันลำบากแม่” หม่านซิ่วว่า
“ไม่เป็นไรน่า ไม่ต้องกังวล แม่จะมาทำความสะอาดแล้วก็ระบายอากาศสองสามวันครั้ง ไม่ได้ยากอะไรหรอก” คุณย่าซูตอบโดยไม่ลังเล
“ถ้ามีคนเช่าบ้าน และแม่เห็นว่าเช่าได้ ได้เท่าไรก็ถือว่าเป็นเงินช่วยเหลือแล้วกันนะ!” หม่านซิ่วเตือนอีกครั้ง
หญิงชราตอบตกลง
หลังจากนั้น ครอบครัวเฉินจื่ออันเดินทางไปทางใต้ท่ามกลางความไม่เต็มใจของคุณย่าซูและหลาน ๆ
มันก็แค่เรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่ง อย่างน้อยเสี่ยวเถียนก็คิดแบบนั้น
ที่เธอคิดคือ ไม่ว่าอาเขยกับอาใหญ่จะอยู่ในเมืองหรือไม่ มันก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อชีวิตของพวกเขามากนัก