เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 287 การเปลี่ยนแปลง
บทที่ 287 การเปลี่ยนแปลง
บทที่ 287 การเปลี่ยนแปลง
ฉางฮุ่ยอวิ๋นไม่คิดเลยว่าลูกชายจะพูดจาไม่เกรงใจกันแบบนี้
เธอทำแบบนี้เพื่อปกป้องหน้าตาลูกนะ? ทำไมถึงทำแบบนี้ล่ะ?
เธอทนไม่ไหวก่อนจะชี้หน้าลูกชายแล้วถามด้วยน้ำเสียงสั่นระริก “แม่เป็นแม่นะ ทำไมพูดแบบนี้กับแม่ล่ะ?”
“แม่กลับบ้านไปอธิบายให้พ่อฟังเถอะ ผมไม่สนใจแล้ว แต่ผมขอร้องล่ะ หลังจากนี้อย่ามาโรงเรียนผมอีกนะ!”
ว่าจบต้วนซิงกั๋วก็หมุนตัวออกจากห้องไป แต่เขาไม่ได้เดินกลับเข้าไปในห้องเรียน แต่เดินออกจากโรงเรียนไปเลย
ฉางฮุ่ยอวิ๋มองดูลูกชายที่เดินจากไปด้วยความโง่เขลา ไม่รู้ว่าเธอทำอะไรผิด
ในที่สุดครูใหญ่กัวก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก
พอได้ยินต้วนซิงกั๋วพูด เขาเชื่อแล้วว่าผู้หญิงตรงหน้าจะไม่น่ากลัวอีก
ตอนนั้นเองที่มีเสียงเคาะประตูห้องทำงานของครูใหญ่อีกครั้ง
ครูใหญ่กัวไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนนี้อีกแล้ว จึงรีบเดินไปเปิดประตูทันที
คนตรงหน้าครูใหญ่กัวรู้จักเป็นอย่างดี
อธิบดีของหน่วยงานแห่งหนึ่งในเมือง อีกตำแหน่งหนึ่งคือ พ่อของต้วนซิงกั๋ว
ครูใหญ่กัวผวา อธิบดีต้วนมาโรงเรียนพร้อมกับฉางฮุ่ยอวิ๋นด้วยความคิดเดียวกันหรือ?
เขาก็รอหัวหน้าเฉินไปก่อน แล้วค่อยมาสร้างปัญหาหรือ?
“อธิบดีต้วน มาได้ยังไงครับ?” ครูใหญ่กัวพูดด้วยท่าทีสุภาพ
ครูใหญ่กัวต้องสุภาพอยู่แล้ว ถึงอีกฝ่ายจะมาสร้างปัญหา แต่ก็ต้องรักษาท่าทีสุภาพเอาไว้
เพราะคนตรงหน้าไม่ใช่ผู้อำนวยการศึกษา ยุ่งกับเขาไม่ได้
แต่โชคใช่ว่าโชคจะอยู่กับเราตลอดไป ก็ไม่แน่ว่าผู้อำนวยการหน่วยงานเกษตรจะย้ายไปฝั่งการศึกษาหรือเปล่า
“ครูใหญ่กัว ผมสร้างปัญหาให้คุณเสียแล้ว!” ต้วนเฉียนจิ้น พ่อของต้วนซิงกั๋วกล่าวกับครูใหญ่กัวด้วยรอยยิ้มขมขื่น
แต่ครูใหญ่กัวเกรงใจมาก “อธิบดีต้วน คุณสุภาพเกินไปแล้วครับ”
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่จิตใจของครูใหญ่กัวก็สงบลงมาก
ต้วนเฉียนจิ้นพูดคุยอย่างรื่นรมย์กับครูใหญ่กัวอยู่สองประโยค ก่อนจะจ้องมองไปที่ฉางฮุ่ยอวิ๋น
ฉางฮุ่ยอวิ๋นมองสามี แต่จู่ ๆ ก็รู้สึกกลัวขึ้นมา
“ฉางฮุ่ยอวิ๋น ใครใช้ให้เธอมาสร้างปัญหาที่โรงเรียน? ที่ฉันบอกไปก่อนหน้านี้ไม่ได้สนใจฟังหรือ?”
เขาไม่คิดจะรักษาหน้าภรรยาเลย
ฉางฮุ่ยอวิ๋นไม่คิดว่าสามีจะไล่ตามมาทัน และสิ่งที่พูดก็หยาบคายมาก
ทั้งพ่อทั้งลูกทำให้เธอเสียหน้ากันทั้งนั้น
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉางฮุ่ยอวิ๋นก็เกิดอาการตีโพยตีพาย
“ต้วนเฉียนจิ้น คุณมีมโนธรรมบ้างไหม? แล้วฉันทำแบบนี้ไปเพื่อใคร? ไม่ใช่เพื่อหน้าตาตระกูลต้วนหรือ?”
ต้วนเฉียนจิ้นมองภรรยาราวกับไม่คิดว่าเธอจะพูดออกมาเช่นนี้
ไม่สมเหตุสมผลเลยจริง ๆ
“เธอทำเพื่อตระกูลต้วนหรือทำเพื่อตัวเอง?”
ฉางฮุ่ยอวิ๋นหยุดพูดทันที และพยายามรักษามาดไว้
เมื่อก่อนเธอมักจะโดนคนอื่นกดหัวอยู่เสมอ และในตอนที่เธอมีความสุขได้มันก็ต้องอวดอยู่แล้ว
อีกอย่าง การที่เธอวางท่ามันก็เพื่อหน้าตาของตระกูลต้วนไม่ใช่หรือไง?
“ลูกบ้านเราโดนไอ้พวกบ้านนอกมันข่มเหงนะ ถ้าไล่พวกมันออกไปได้ ตระกูลต้วนเราก็จะมีหน้ามีตาในเมืองไม่ใช่หรือไง?” ฉางฮุ่ยอวิ๋นยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าสามีไม่เข้าใจตน เธอจึงตะคอกพร้อมกับร้องไห้ออกมา
ต้วนเฉียนจิ้นมองเธอด้วยสายตาโหดเหี้ยม ทำไมจะต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่ทำอะไรไม่เคยดีสักอย่างด้วย?
ก่อนหน้านี้บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าไปยุ่งกับคนบ้านซู เธอไม่ฟังกันบ้างเลยหรืออย่างไร?
“ตระกูลต้วนอับอายเหลือเกินที่มีผู้หญิงอย่างเธอ!”
ต้วนเฉียนจิ้นพูดใส่หน้าภรรยาอย่างเย็นชา คร้านจะแยแสเธออีกต่อไป ก่อนจะหันไปหาครูใหญ่กัว
ครูใหญ่กัวกำลังใช้เท้าเขี่ย ๆ พื้นด้วยความอึดอัด
สองสามีภรรยาคู่นี้ไปทะเลาะกันที่อื่นไม่ได้หรือ?
ทำไมถึงต้องเลือกห้องทำงานของเขา?
ถ้าคนไม่รู้เรื่องมาได้ยินเขา ก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปพูดกันถึงไหนต่อไหน
เศร้าใจมาก!
“ครูใหญ่กัว ผมขอโทษจริง ๆ นะครับ ภรรยาผมไม่ค่อยรู้ความเลยแอบผมมาที่โรงเรียน”
“ไม่เป็นไรครับ ๆ ผู้ปกครองมาโรงเรียนไม่ใช่เรื่องผิดอะไรเลยครับ” ครูใหญ่กัวกล่าวอย่างสุภาพมาก “อธิบดีต้วนก็เกรงใจเกินไปแล้วครับ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย”
เพราะอธิบดีกล่าวขอโทษไปแล้ว ครูใหญ่กัวละอายใจหากพูดอะไรมากไปกว่านี้ เลยพูดด้วยความสุภาพออกมาเป็นชุด ๆ
แต่ต้วนเฉียนจิ้นรู้ว่าสำหรับทางโรงเรียนมันไม่ใช่เรื่องเล็ก
อย่างน้อยผลกระทบก็เลวร้ายมาก
ผู้หญิงคนนี้บื้อจริง ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะให้กำเนิดลูกชายสามคนและลูกสาวอีกสองคน เขาก็หย่ากับเธอไปแล้ว!
ครูใหญ่กัวไม่ได้สนใจอะไรมาก ตราบใดที่เขาสามารถส่งทั้งคู่ออกจากห้องทำงานไปได้ เขาก็จะได้สบายใจเสียที
ฉางฮุ่ยอวิ๋นโดนสามีพาตัวไป ขากลับเธอหลุบตาลงต่ำ กิริยาแตกต่างจากตอนที่เข้ามามาก
และเรื่องที่แสนยุ่งเหยิงก็พลันหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น
แต่มันเคยเกิดขึ้นแน่ ๆ และได้เปลี่ยนชีวิตใครหลายคน
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ต้วนซิงกั๋วก็ไม่มาโรงเรียนอีกเลย และแม้แต่พวกลูกกะจ๊อกที่ติดตามเขาบ่อย ๆ ก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีปัญหาอะไร
ทุกวันนี้ต้วนซิงกั๋วเอาแต่หมกตัวอยู่ในบ้าน ไม่ได้ออกไปไหนเลย
ฉางฮุ่ยอวิ๋นไม่คิดว่าลูกชายจะไม่ไปโรงเรียนเพราะเหตุนี้
เธอพยายามเกลี้ยกล่อมและหวังว่าเขาจะคิดได้
แต่ต้วนซิงกั๋วยังเงียบมาตลอด นอกจากเรื่องกินเขาก็ไม่เปิดปากพูดอีกเลย
ต้วนซิงกั๋วปรากฏตัวอีกครั้งที่โรงเรียนในหนึ่งเดือนต่อมา
เขาปรากฏตัวในเช้าวันหนึ่ง ก่อนเดินไปต่อที่แถวหลังของห้องเรียนอย่างเงียบ ๆ นั่งลง จากนั้นก็ตั้งใจเรียนหนังสือ
ถึงพรรคพวกก่อนหน้านี้จะมาหา แต่ก็ไม่ได้ยินอะไรสักคำจากปากเขาเลย
ทุกคนรู้สึกว่าต้วนซิงกั๋วแปลกมาก และเฝิงเสียงอวี่ถึงกับวิ่งไปดู
ฐานะทางบ้านต้วนและบ้านเฝิงคล้าย ๆ กัน และนิสัยของเด็กทั้งสองก็คล้ายในบางมุมด้วย
ความแตกต่าง บ้านเฝิงจะไม่ยื่นมือเข้ามายุ่งชีวิตของเฝิงเสียงอวี่ที่โรงเรียน
“เสี่ยวเถียน เธอรู้ไหมว่าต้วนซิงกั๋วกำลังตั้งใจเรียนมากเลยนะ”
ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนเองเห็นเลยด้วยซ้ำ
แต่เขาเห็นว่าอีกฝ่ายตั้งใจเรียนจริง ๆ
ไม่น่าเชื่อมาก ๆ
ถ้าอีกฝ่ายตั้งใจแบบนี้จะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แน่นอน
และความจริงนั้น ต้วนซิงกั๋วก็เริ่มตั้งใจเรียนแล้วด้วย
ทุก ๆ วันเขาจะมาแต่เช้าและกลับเย็น มาถึงโรงเรียนคนแรก และออกเป็นคนสุดท้าย
เสี่ยวเถียนพอเข้าใจ สำหรับเด็กอายุเท่านี้ หน้าตาเป็นสิ่งสำคัญมาก
ถ้าการสู้กับเสี่ยวปาทำให้เขาเสียหน้าแล้ว การที่แม่มาสร้างปัญหาที่โรงเรียนก็ยิ่งทำให้เขาเสียหน้าอีก
เสี่ยวเถียนคาดเดาไม่ผิด ต้วนซิงกั๋วรู้สึกว่าตนไม่มีหน้ามีตาสำหรับคนอื่น ดังนั้นเขาจึงขังตัวเองไว้ที่บ้านตลอดทั้งเดือน
การนิ่งเงียบเป็นเวลาหนึ่งเดือนทำให้ฉางฮุ่ยอวิ๋นรู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก และไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกมาแม้แต่น้อย
สุดท้ายเธอก็ให้คำสัญญาว่าจะไม่ไปหาที่โรงเรียนอีก ต้วนซิงกั๋วจึงตัดสินใจที่จะเรียนต่อ
อันที่จริง เขาวางแผนที่จะไม่กลับไปเรียนและหางานทำแทน
แต่เขายังไม่โตพอและอายุยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะทำงานเลยต้องล้มแผนนี้ลง ดังนั้นเลยตั้งสินใจกลับไปเรียนต่อ
ตอนนี้เขาเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้นปีที่สอง และหลังจากจบภาคการศึกษานี้ เขาจะสอบเข้ามัธยมปลาย
เขาเชื่อว่าถ้าตนตั้งใจเรียนจะสอบเข้ามัธยมปลาย
ในขณะเดียวกัน เขาก็ตัดสินใจว่าหลังจากเข้ามัธยมปลายแล้วจะไม่กลับบ้าน
เขาอยากอยู่ที่โรงเรียน
ต้วนซิงกั๋วผู้ตั้งเป้าหมายเอาไว้กำลังนั่งเงียบ ๆ ที่โต๊ะทุกวัน เขาตั้งใจเรียนในสิ่งที่ยังไม่รู้ชัดอย่างหนัก
ไม่รู้ว่าทำไม จู่ ๆ ก็เหมือนจะเข้าใจบางอย่าง ไม่ว่าอะไรก็เข้าใจได้
ต้วนซิงกั๋วรู้สึกว่าความคิดของตัวเองเปิดกว้างมากขึ้น
ครูและเพื่อนร่วมชั้นคนอื่น ๆ ในโรงเรียนต่างคิดว่านี่คือการเปิดกว้างของอีกฝ่าย
เสี่ยวลิ่วและเสี่ยวชีอยู่ชั้นมัธยมปีที่สองเหมือนกัน แต่ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกับต้วนซิงกั๋ว และไม่ได้มีความประทับใจต่อตัวเขาเลย
นั่นมันปีศาจในคราบมนุษย์ชัด ๆ และตอนนี้ปีศาจตนนั้นกำลังเริ่มเรียนแล้วด้วย ทำให้ทั้งสองรู้สึกร้อนรน
พวกเขาต้องตั้งใจแล้ว และมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาผ่านการเรียนและกลายเป็นเจ้าคนนายคน
เพราะเหตุนี้ เด็กบ้านซูจึงรู้ถึงความสำคัญของพลังแห่งความรู้
แน่นอนว่าผู้คนไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่ออำนาจ แต่อำนาจนั้นสำคัญมากสำหรับทุกคนที่อาศัยอยู่บนโลก
อาเขยมีความสามารถ และทุกคนในเมืองต่างก็เกรงกลัวเขา แม้ว่าตระกูลต้วนจะอยากสร้างปัญหา แต่ก็ยังรอจนกว่าอาเขยจะออกไปเลย
และถ้าพวกเขาแข็งแกร่งพอ จะไม่ถูกฉางฮุ่ยอวิ๋นรังแกเช่นนั้น
เด็กบ้านซูต่างตัดสินใจอย่างเงียบ ๆ ว่าพวกเขาต้องการที่จะเป็นเจ้าคนนายคนให้ได้
การเป็นเจ้าคนนายคนเท่านั้นที่จะไม่ถูกรังแก และเราจะได้ทำผิดซ้ำเหมือนในวันนี้อีก
เป็นพวกชาวไร่ขาวนาแล้วมันทำไม? อย่างน้อยก็มีความหวังนะ!