เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 295 ทำงานแล้วก็ต้องมีค่าตอบแทน
บทที่ 295 ทำงานแล้วก็ต้องมีค่าตอบแทน
บทที่ 295 ทำงานแล้วก็ต้องมีค่าตอบแทน
“วันนี้พวกเราเอาไข่ต้มชามาหนึ่งร้อยฟองนะคะ ไข่ต้มห้าสิบฟอง ซาลาเปาสามสิบลูก และแป้งทอดอีกยี่สิบแผ่น หนูนับแล้วจากราคาน่าจะได้ 36.5 หยวนค่ะ มีขายแบบปัดเศษทิ้งด้วยก็น่าจะ 36 หยวนค่ะ”
เสี่ยวเถียนสั่งให้พี่ ๆ คำนวณเงิน แล้วก็คิดบัญชีทีละ 5-10-15 เธอพูดชัดถ้อยชัดคำ ทั้งจริงจังและตั้งใจมาก
“ตรงนี้เราซื้อไข่ 15.75 หยวน แป้งกับเนื้อรวม 7.40 หยวน รวมเป็น 23.15 หยวน เราใช้กุยช่ายบ้านเราเอง ไม่เสียเงิน แต่ถ้าซื้อจากข้างนอกก็ราคาห้าจินต่อ 0.25 หยวน รวมเป็น 23.40 หยวนค่ะ”
ตอนที่เสี่ยวเถียนคิดบัญชี เสี่ยวซื่อก็เอ่ยขึ้นมา “ไข่ไก่ราคา 0.09 หยวน 150 ฟองน่าจะ 13.5 หยวนนะ ทำไมถึงบอก 17.75 หยวนล่ะ?”
เสี่ยวซื่อคิดว่าน้องรีบร้อนเลยคิดผิด จึงอดเตือนไม่ได้
เสี่ยวเถียนตอบ “ไม่ผิดค่ะ ไข่แต่ละฟองเป็นส่วนแบ่งให้ลุงจู้จื่อไงคะ ถ้ารวมเข้าไปก็เท่ากับที่คิดนั่นแหละ”
เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ ก็เลยเป็นแบบนั้นน่ะหรือ?
เขารีบคิดเงินเงินส่วนแบ่งที่ว่า แล้วก็เป็นอย่างที่เสี่ยวเถียนว่าจริง ๆ
ในไม่ช้า เงินทั้งหมดก็คิดจนเสร็จ รวมเป็น 36.15 หยวน
“ย่า พวกเราขายได้ 12.75 หยวนครับ” เสี่ยวซื่อตะโกนด้วยความประหลาดใจ
ในหนึ่งวันเราจะขายได้มากขนาดนี้เลยหรือ เป็นไปได้อย่างไร?
ถ้าทำเงินได้มากขนาดนี้ เราจะรวยในไม่ช้าเลยนะ
“เสี่ยวเถียน พวกเรากำลังจะรวยแล้ว เดือนนึงจะได้มากกว่า 300 หยวนเลยนะ!”
เสี่ยวเถียนมองพี่สี่ที่กำลังตื่นเต้น เลยอดเทน้ำเย็นให้ไม่ได้
“พี่สี่คิดง่ายเกิดไปแล้ว เราทำแบบนี้ได้ไม่กี่วันหรอก เดี๋ยวก็ไม่ราบรื่นแบบนี้แล้วค่ะ”
เสี่ยวซื่อไม่รู้ว่าทำไม
“เดี๋ยวจะมีคนคอยจับจ้องแล้ว ไม่ใช่มาจับคนทำมาค้าขายนะ แต่จะมีคนมาทำธุรกิจเหมือนเรา”
เสี่ยวเถียนคิดว่ามันน่าจะเกิดขึ้นได้ แต่ไม่รู้อะไรจะเกิดก่อน
ตอนแรกเสี่ยวซื่อตื่นเต้นมาก แต่ผลคือโดนน้องดับไฟเสียได้
เขามองเสี่ยวเถียนด้วยความไม่พอใจ เจ้าเสี่ยวเถียน จะให้พี่มีความสุขหน่อยไม่ได้หรือ?
เสี่ยวเถียนอดหัวเราะไม่ได้
“พี่สี่ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธีอื่นสักหน่อย”
“ยังทำอะไรได้อีกหรือ?” ดวงตาพี่สี่เป็นประกายอีกครั้ง
“เราคว้าโอกาสช่วงนี้แล้ว พอได้เงินเพิ่มมาหน่อยแล้ว จากนั้นค่อยหาวิธีเปิดร้านขายขนมกันค่ะ”
“เปิดเองได้หรือ?” เด็กหนุ่มคิดว่ามันน่าจะฝัน
จะเป็นไปได้อย่างไร? ร้านค้าทั้งหมดเป็นของรัฐและของส่วนรวม แล้วคนคนนึงจะเปิดร้านได้หรือ?
“มีทางสิคะ!” เสี่ยวเถียนตอบด้วยรอยยิ้มมั่นใจ
ความจริง เธอคิดว่าต่อให้เป็นปัจจุบันก็ยากที่จะทำ
แต่พี่สี่ไม่รู้ เขากำลังมีความสุขอยู่
“เราจะใช้วิธีนี้หาเงินในช่วงวันหยุด พอเปิดเทอมเราก็จะเปิดแผงขายอาหารแล้วก็ร้านขนม” เสี่ยวเถียนวางแผนล่วงหน้าไว้อย่างง่าย ๆ
“ตกลง!” คุณย่าซูหลับหูหลับตาเชื่อว่าหลานสาวจะต้องพูดไม่ผิด
ส่วนคุณปู่อดพูดไม่ได้ว่า “ถ้าทำแล้วโดนจับได้ล่ะ?”
วันนี้ไม่เกิดเรื่องก็ไม่ได้หมายความว่าอนาคตจะไม่มีเรื่องเกิดขึ้น
เสี่ยวเถียนยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอกค่ะปู่ พวกเราใช้แค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร”
ช่วงนี้คนเก่ง ๆ เริ่มคิดหาช่องทำมาหากินแล้ว แล้วจะมีสักกี่คนที่รีบมาจับกัน?
ถึงชายชราจะกังวล แต่ก็ตอบตกลงด้วยความไม่เต็มใจ ในอนาคตเขาจะต้องระมัดระวังไม่ให้คนพวกนั้นจับหลาน ๆ
เสี่ยวเถียนไม่รู้ว่าปู่คิดเยอะไปถึงไหนต่อไหนแล้ว เธอหยิบเงินหนึ่งหยวนออกมาจากกองแล้วยื่นให้ฉืออี้หย่วนในทันใด
“เสี่ยวเถียน…” รอยยิ้มบนใบหน้าเขาหายไปตอนมองเงินในมือ ความรู้สึกผสมปนเปกันไปหมด
“พี่อี้หย่วน นี่คือเงินเดือนของพี่ค่ะ!”
เด็กหนุ่มวางเงินคืนบนโต๊ะด้วยสีหน้าเย็น ๆ “พี่ไม่เอา”
ได้เงินวันละหยวน โอ้ ไม่สิ ไม่ถึงสิบนาทีก็ได้ตั้งหนึ่งหยวนแล้ว เขาไม่ได้ไร้ยางอายขนาดนั้น
อีกอย่างคือ เขาไม่ได้ทำอะไรเลยตอนอยู่บนรถไฟ
ตลอดทางเขาเป็นแค่เพื่อนร่วมทางที่ติดตามเสี่ยวเถียนเท่านั้นเอง
“พี่อี้หย่วน มันคือสิ่งที่พี่สมควรได้นะคะ ทำงานแล้วก็ต้องมีค่าตอบแทนค่ะ” เด็กหญิงยิ้มอย่างซื่อสัตย์
ทำงานแล้วก็ต้องมีค่าตอบแทน?
ทุกคนรู้สึกเหมือนมีอะไรผิดปกติในคำพูด แต่ไม่เข้าใจได้ทันทีว่ามันผิดตรงไหน
ถ้าพูดประโยคนี้ให้ยุคหลัง ๆ คงไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าในยุคนี้มันเป็นปัญหาอย่างเห็นได้ชัดและเป็นปัญหาใหญ่ด้วย
“แต่พี่ไม่ได้มาช่วยเพื่อเอาเงิน!”
ใบหน้าเด็กหนุ่มเย็นเฉียบ แต่ในความหนาวเหน็บยังมีความอึดอัดและลำบากใจ
เสี่ยวเถียนเพิ่งตระหนักได้ว่าเหมือนตนจะทำอะไรผิดไป
“พี่อี้หย่วน หนูไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะ แค่คิดว่างานของทุกคนควรค่าแก่การเคารพเท่านั้นเองค่ะ” เธอรีบอธิบาย
พอเห็นหลานสาวเป็นแบบนี้ หญิงชราอดยิ้มไม่ได้
เด็กคนนี้ประมาทเกินไปแล้ว ให้เงินเสี่ยวหย่วน แล้วเด็กคนนั้นจะคิดอย่างไร?
เสี่ยวเถียนไม่รู้ แต่คุณย่าซูมองออกว่าเด็กหนุ่มเป็นคนที่อ่อนไหวมาก
“เสี่ยวหย่วนอย่าถือสาเลย เสี่ยวเถียนเป็นแค่เด็ก เธอคิดไม่รอบคอบน่ะ” เขามองเด็กหญิงตรงหน้า หลังจากนั้นก็มีรอยยิ้มปรากฏ
ใช่แล้ว ทำไมต้องไปโต้เถียงกับเด็กคนเดียวด้วยล่ะ?
แค่เด็กคนหนึ่งเอง จะไปรู้เยอะได้อย่างไร?
เธอคงอยากแบ่งเงินให้เขาก็เท่านั้นเอง!
“คุณย่า หนูว่าควรให้ค่าตอบแทนทุกคนนะ ไม่ใช่แค่พี่อี้หย่วน แต่พี่ ๆ และก็ควรได้ด้วย” เสี่ยวเถียนพูดเสียงแผ่ว
แต่ทุกคนไม่คิดว่าเสี่ยวเถียนจะพูดออกมาแบบนี้
ทุกคนมองด้วยสายตาโง่เขลา
“เสี่ยวเถียน พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง?”
“ก็ถึงทุกคนจะช่วยกัน แต่ก็ควรได้ค่าตอบแทนไงคะ”
จู่ ๆ เธอก็คิดว่าตอนนี้ไม่เหมาะที่จะพูดเสียเลย
แต่เธอพูดไปแล้ว คืนคำไม่ทันแล้ว
คุณย่าซูไม่คิดเลยว่าหลานสาวจะพูดเช่นนี้
“เสี่ยวเถียน ทำไมมีความคิดแบบนี้ล่ะ? ถ้าหาเงินได้ก็ควรให้ปู่ให้ย่าหรือเปล่า?” เสี่ยวอู่ว่า
ปกติน้องสาวฉลาดมาก แต่ทำไมยุ่งเหยิงในตอนนี้เสียได้?
เสี่ยวเถียนพึมพำ แต่ไม่ได้พูดอะไร
ก็พวกลูกหลานรุ่นหลังช่วยงานอะไร คนที่บ้านก็ให้เงินนี่นา…
แต่เธอพูดไม่ได้
“คุณย่า หนูผิดไปแล้วค่ะ!” เธอมองพวกพี่ ๆ รอบข้างที่มีท่าทางไม่เห็นชอบ แล้วรีบเอ่ยขอโทษ
ตอนนั้นเองที่เสี่ยวซื่อก็เอ่ย “ผมว่าที่เสี่ยวเถียนพูดไม่น่ามีปัญหานะ ย่าครับ พอพวกเราเปิดเทอมย่าก็ต้องทำคนเดียวแล้ว ไม่มีคนช่วย ถึงตอนนั้นค่อยจ้างคนมาช่วยก็ได้ครับ จะต้องมีค่าจ้างให้แน่นอน”
พอพูดจบ แต่เหมือนทุกคนจะไม่เข้าใจ เสี่ยวซื่อเลยกล่าวอีกว่า “เหมือนทุกคนทำงานโรงงานแล้วได้เงินเดือนไง”
“แต่เราเป็นครอบครัวเดียวกันนะ”
“มันมีประโยคที่ว่า เงินทอง แม้แต่พี่น้องก็ต้องคิดให้ถี่ถ้วนนะ”
ตอนที่เสี่ยวซื่อพูด ใบหน้าหญิงชราดูไม่ได้เลย
“ย่า ผมไม่ได้หมายความว่าจะต้องคิดบัญชีให้ถี่ถ้วนอะไรแบบนั้น แค่ยกตัวอย่าง เพราะย่าปฏิบัติต่อพวกเราเหมือนคนงานที่จ้างมาเลย ย่าจะให้เงินวันละ 3 เหมา 2 เหมา อะไรก็ได้ เดือนหนึ่งได้เท่าไรก็เท่านั้น”
“ไอ้เด็กเวรนี่ แกกล้าคิดเรื่องเงินกับย่าแกหรือ!” คุณปู่ซูโกรธทันที
ชายชราไม่เคยโกรธขนาดนี้มาก่อน ใบหน้าเขาแดงก่ำด้วยความโมโห ฝ่ามือเหวี่ยงหมายจะตบ
เสี่ยวเถียนเห็นปู่จะตบพี่ชายก็รีบเข้าไปกอดแขนทันที
“คุณปู่ มันเป็นความผิดหนูเอง หนูคิดแบบนั้นพี่สี่เลยพูดตามใจที่หนูคิดออกมา”
มันเป็นเพราะเธอ ถ้าไม่ใช่เธอ ปู่ก็ไม่โกรธถึงขนาดอยากตบพี่สี่หรอก
คุณปู่ซูถูกหลานสาวกอดแขนไว้ เขาไม่รู้จะต้องทำอย่างไรอยู่ครู่หนึ่ง
ถ้าเป็นไอ้เด็กนั่น เขาจะตบอย่างไร้ความปรานีแน่
แต่ต่อหน้าหลานสาว เขาทำแบบนั้นไม่ได้
“เสี่ยวเถียน ทำไมถึงคิดอย่างนั้น?” คุณย่าซูเป็นฝ่ายได้สติก่อน
เธอรู้สึกว่าต้องมีเหตุผลที่หลานสาวพูดแบบนี้
“ย่า หนูแค่คิด ถ้าเป็นแบบนี้ทุกคนจะสามารถทำงานด้วยความขยันได้ค่ะ มันเรียกว่าแรงใจน่ะ!”
“ถ้าย่าไม่ให้เงิน พวกหลานจะไม่ขยันกันเลยหรือ?” เห็นได้ชัดว่าคุณปู่ซูไม่เห็นด้วยกับคำพูดนี้
ตลอดชีวิตของชายชรา เขาคิดว่าตนฉลาดที่สอนลูก ๆ ได้ แต่ทำไมพวกรุ่นหลานถึงกลายเป็นแบบนี้?
เสี่ยวเถียนไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
สำหรับเธอแล้ว มันเป็นความเคยชินน่ะ ถ้าเป็นคนยุคนี้มันเป็นเรื่องยากมากที่จะยอมรับแนวคิดดังกล่าว
ทุกคนต่างเงียบสงัด
หลังจากนั้นไม่นาน คุณย่าซูก็เอ่ย “ตาเฒ่า ถ้าคิดดี ๆ ฉันว่าที่หลานสาวพูดมันก็สมเหตุสมผลนะ”
คุณปู่ซูมองภรรยาด้วยสายตาไม่เห็นด้วย มันหมายถึงว่าย่าคงบ้าไปแล้ว
ส่วนหลานชายจะเอาเงินที่ไหนมาจ้าง
“ตาเฒ่า อย่ามามองกันแบบนี้ ฉันแค่คิดว่าที่เสี่ยวเถียนพูดมันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล”
“แล้วทำไมมันถึงมีเหตุผลล่ะ? ฉันในฐานะที่เป็นปู่ ส่วนเธอในฐานะที่เป็นย่า จะสั่งสอนหลานมันหน่อยไม่ได้หรือ?” น้ำเสียงของคุณปู่ซูยังคงหงุดหงิดมาก
คุณย่าซูยิ้ม “ถ้ามองแบบนี้ก็ไม่ผิดหรอก แต่ว่านะตาเฒ่า ถ้าลองคิดอีกมุมหนึ่งคือ เราจ้างคนอื่นทำงานก็ต้องจ่ายค่าจ้าง แล้วทำไมเราจะให้ค่าจ้างหลานมันไม่ได้?”
เห็นได้ชัดว่าคุณปู่ซูยังคงรับไม่ได้ และเอาแต่ลูบเครา