เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 298 สถานการณ์ในโรงงานแย่ลง
บทที่ 298 สถานการณ์ในโรงงานแย่ลง
บทที่ 298 สถานการณ์ในโรงงานแย่ลง
“สะใภ้ ถ้าอึดอัดใจก็บอกฉันได้นะ เธอจะทนอยู่อย่างนี้ไม่ได้”
ตอนเหล่าซานพูด น้ำเสียงเขาเจือความกังวลเล็กน้อย
เหลียงซิ่วมอง ต่อให้เธอพูด แล้วสามีจะช่วยอะไรได้?
คุณย่าซูมองสะใภ้ แววตาเต็มไปด้วยความกังวล
เด็ก ๆ มองหน้ากันด้วยความตกใจ ท่าทางดูกังวลมาก แต่พวกเขาไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว และเข้าใจเรื่องราวเยอะด้วย
พวกเขายังอึดอัดใจกับเรื่องที่โรงเรียนไม่น้อยเลย นับประสาอะไรกับในโรงงานล่ะ
โลกของผู้ใหญ่ซับซ้อนกว่าของเด็กมาก
แต่เหลียงซิ่วส่ายหัวอย่างเด็ดเดี่ยว
“ไม่เป็นไร ไม่มีใครทำให้ฉันอึดอัดใจหรอก!”
แม้ว่าคำพูดของเหลียงซิ่วจะหนักแน่น แต่ถ้าพวกเขาไม่เชื่อก็ทำอะไรไม่ได้
“จริงหรือ?” เหล่าซานไม่เชื่อ เลยหันไปถามพี่สะใภ้รอง
“พี่สะใภ้รอง ตอนอยู่ที่โรงงานมันทำให้พวกพี่อึดอัดใจหรือครับ?”
ฉีเหลียงอิงกำลังสับสน เธอไม่คิดว่าเหลียงซิ่วจะพูดออกมาในทันใด
พวกเราสองคนทำงานเวลาเดียวกัน เข้าออกด้วยกันทุกวัน และรู้เรื่องในโรงงานทุกเรื่องเลยด้วย
เธอขมวดคิ้วและมองไปที่เหลียงซิ่ว นิ่งงันไม่ตอบสนองอยู่นาน
“น้องสาม สะใภ้สาม ทำไมคิดแบบนั้นล่ะ?” ตอนฉีเหลียงอิงพูด เธอคิดหนัก
เหลียงซิ่วละอายใจที่ทำให้คนในครอบครัวกังวลมาก
“ฉันไม่ได้อึดอัดใจ ทุกคนคิดดูนะ ไข่ของโรงงานก็มีพี่สะใภ้ใหญ่จัดส่งให้ แล้วใครจะรังแกเราได้?”
ตอนเหลียงซิ่วพูดแบบนี้ คนอื่น ๆ ก็รู้สึกวางใจ
วัตถุดิบหายากที่สุดสำหรับโรงงานขนมไข่คือไข่ไก่ ถึงจะเพราะไข่ แต่คนในโรงงานก็ไม่ควรรังแกคนจากหงซินหรอกนะ
“งั้นมีเรื่องอะไรหรือ?” คุณย่าซูรู้สึกว่าเหลียงซิ่วไม่ได้พูดเรื่องนี้โดยไร้เหตุผล
“ฉันแค่รู้สึกว่าค่าตอบแทนของโรงงานมันดูไม่ดีเท่าเมื่อสองปีก่อนค่ะ”
เธอลังเลอยู่นานตอนพูด เพราะมันเป็นสิ่งที่เธอเห็นเป็นการส่วนตัวและอาจไม่ใช่ความจริง
เสี่ยวเถียนมองแม่อย่างมีความหมาย ไม่คิดจริง ๆ ว่าแม่จะมองออก
สิ่งที่เหลียงซิ่วพูดเป็นสิ่งที่เสี่ยวเถียนคาดหวัง
ตอนนี้ค่าตอบแทนของโรงงานขนมไข่ไม่ได้แย่เท่าไร แต่หลังจากนั้นสองปี พอเศรษฐกิจพัฒนาขึ้น ค่าตอบแทนจะลดลง
เมื่อถึงเวลานั้น ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง โรงงานขนมไข่อาจกลายเป็นโรงงานแรกที่ถูกตลาดกำจัด
“แม่ แม่พูดถูก” เสี่ยวเถียนพูดในทันใด และมันทำให้ทุกคนประหลาดใจมาก
เด็กวัยสิบกว่าขวบจะรู้ได้อย่างไรว่าเหลียงซิ่วพูดถูก?
โดยเฉพาะฉีเหลียงอิงที่ทำงานอยู่ในโรงงานเองยังไม่สังเกตเห็นปัญหาพวกนี้เลย
“เสี่ยวเถียน ทำไมพูดพูดแบบนี้ล่ะ?” เหล่าซานมองลูกสาวด้วยความสงสัย
เสี่ยวเถียนยิ้ม “หนูคิดว่าช่วงนี้ที่ตลาดมีของสดเยอะขึ้นเรื่อย ๆ ค่ะ”
เหล่าซานฟังก็พยักหน้า “วันนั้นที่ต้องเดินทางไกลก็เจอเรื่องนี้เหมือนกัน แต่มันจะส่งผลต่อค่าตอบแทนของโรงงานขนมไข่ด้วยหรือ? มันอร่อยมากเลยนะ!”
ไม่ใช่แค่เหล่าซานที่ไม่เข้าใจ คนอื่น ๆ ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
“เพราะมันเป็นสินค้าอย่างเดียวของโรงงานไงคะ ความสามารถในการแข่งขันกับคนอื่นจะด้อย และค่าตอบแทนที่ได้รับก็จะลดลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ด้วยค่ะ” เสี่ยวเถียนกล่าวอย่างเฉยเมย
ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันทำให้โรงงานขนมไข่ยังอยู่รอดได้ แต่อีกสองปี ถ้าอยากจะอยู่ก็ต้องมีลักษณะเฉพาะเป็นของตัวเอง
“ขายแค่อย่างเดียวแล้วมันไม่ดียังไง? ขนมไข่อร่อยนะ คนชอบเยอะแยะไป” เหล่าซานยังรั้นตอบ
บางทีอาจเป็นเพราะการรับรู้โดยธรรมชาติ เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเหล่าซานคิดเสมอว่าขนมไข่ดีที่สุดในโลก
เสี่ยวซื่อเอ่ยทันที “พ่อสาม พ่อพูดไม่ถูกนะ”
“ตรงไหนไม่ถูกหรือ?” เหล่าซานมองหลานชาย แล้วถามด้วยความไม่เต็มใจ
ไอ้เด็กนี่ หรือขนมไข่มันจะไม่อร่อยแล้วหรือ?
“ที่พวกเราว่าขนมไข่อร่อยเพราะมันมีน้อย และตลอดทั้งปีกินไปไม่กี่ชิ้นเองครับ ถ้าให้พ่อกินทุกวัน พ่อก็ไม่อยากกินมันแน่นอน”
เมื่อได้ยินคำตอบ เขาก็พูดไม่ออก
เสี่ยวซื่อพูดถูก ถ้ากินทุกวัน ต่อให้อร่อยเขาก็คงเบื่อ
“ก่อนหน้านี้เราอดยาก พอได้กินแป้งเลยมีความสุขมากไง” หญิงชราตอบอย่างจำยอม
เสี่ยวเถียนเอ่ยทันที “เพราะสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย เราเลยไม่มีทางเลือกค่ะ แต่พอมันดีขึ้นทุกวัน ๆ เราจะไม่เลือกหรือคะ?”
“แต่ตอนนี้ ถึงเราจะซื้อขนมไข่กับขนมอบได้ แต่ขนมอบแห้งมากเลย ไม่อร่อยด้วย” คุณย่าซูยืนกรานในความเห็นของเธอ
เสี่ยวซื่อพูดอย่างจริงจัง
“ตอนผมอยู่หงซิน ได้ยินย่าสามเล่าว่า เมื่อก่อนตอนย่าเด็ก ๆ ย่าเคยทำงานในตระกูลเศรษฐี ที่บ้านนั้นมีขนมเพียบเลย มีขนมโก๋แผ่นเมฆ*[1] ขนมถั่วตัด ขนมแห้ว เค้กข้าวเหนียวอะไรพวกนี้ หลากหลายรสชาติ หวาน ๆ เค็ม ๆ รสชาติแปลก ๆ มากมายเลย ถ้ามีของอร่อยเยอะแบบนี้ ทำไมเราต้องกินขนมไข่ด้วยครับ?”
ซูเสี่ยวสื่อพูดความจริงตามความคิดของตัวเอง
เมื่อก่อนฐานะทางบ้านเราไม่ค่อยดีนัก ของดี ๆ อย่างขนมไข่ไม่ได้กินกันตลอดทั้งปีหรอก เลยคิดว่ามันคืออาหารอันโอชะ
แต่สองปีมานี้ แม่เขาทำงานที่โรงงานขนมไข่และเขาก็กินมันหลายครั้งด้วย
ตอนกินแรก ๆ ก็อร่อยแหละ แต่พอกินไปนาน ๆ เข้าก็รู้สึกไม่อร่อยขนาดนั้นแล้ว
เสี่ยวเถียนมองพี่สี่ด้วยแววตางดงาม ไม่คิดว่าพี่สี่จะคิดได้ถึงขนาดนี้
เด็กมีอนาคตสอนได้!
เหล่าซานนิ่งเงียบ
หลายปีที่ผ่านมาเขารู้สึกว่าขนมไข่อร่อย เพราะบ้านเรากินแป้งทอดธัญพืชไม่อิ่ม แล้วปีสองปีก็กินขนมไข่แค่ไม่เท่าไร เลยคิดว่ามันอร่อย
พอคิดแบบนี้ ขนมไข่มันก็เลยอร่อย แต่ไม่สามารถเทียบกับรสชาติก่อนหน้านี้ที่ทำให้คนรู้สึกเหมือนฝันได้เลย
หรืออย่างที่เสี่ยวซื่อว่า เพราะรู้สึกว่าขนมไข่อร่อยและเราไม่มีทางเลือกด้วย แต่ถ้ามีทางเลือกคนส่วนใหญ่ก็คงไม่สนใจขนมไข่หรอก
และจะเลือกขนมอื่น ๆ แทน
“ภรรยา โรงงานคุณไม่อยากทำขนมอย่างอื่นบ้างหรือ?”
เหล่าซานชักจูง ถ้ามีขนมอื่น ๆ บ้างคงจะดีนะ
เหลียงซิ่วมองเหล่าซาน สามีเธอโง่จริง ๆ เห็นว่าเธอเป็นเจ้านายหรือไง?
“พวกเราแค่เป็นคนงานธรรมดานะ จะไปรู้ความคิดของเจ้านายได้ยังไง?”
เหลียงซิ่วไม่รู้จริง ๆ ว่ารูปแบบการผลิตสินค้าอื่น ๆ จะเปลี่ยนไหม
ฉีเหลียงอิงได้ยินเหล่าซานโดนภรรยาตำหนิก็รีบอธิบายออกมา
“น้องสาม เราจะผลิตอะไร ผลิตเท่าไร มันเป็นเรื่องของคนระดับหัวหน้า พวกเราเป็นคนงาน ใส่ใจขนาดนั้นไม่ได้หรอก!”
พอพูดเรื่องนี้ ปกติฉีเหลียงอิงก็พอได้เห็นได้ฟังมาบ้างอยู่แล้ว
เธอประหลาดใจมากที่รู้ว่าสิ่งที่เหลียงซิ่วพูดอาจจะจริง
*[1] หุงเพี้ยงกอ ในภาษาแต้จิ๋ว ตัวขนมเป็นแผ่นสีขาวซ้อนกันหลายชั้นคล้ายเมฆ