เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 304 เตรียมตัว
บทที่ 304 เตรียมตัว
บทที่ 304 เตรียมตัว
หลังจากที่ได้รับจดหมายตอบรับ เสี่ยวซื่อและเสี่ยวอู่ก็เตรียมพร้อมกับการไปมหาวิทยาลัยของตนแล้ว
ส่วนคุณย่าซูก็คุ้นเคยกับการเตรียมสัมภาระให้หลาน ๆ ด้วย
“ช่วงนี้อากาศร้อนเกินไป อาหารที่เตรียมไปก็ปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้! ไม่รู้ว่าขึ้นรถไฟไปแล้วจะทำยังไงกัน” หญิงชราพึมพำ
อากาศช่วงนี้ร้อนเกินไปจริง ๆ ถ้าแบกขึ้นรถไฟไปด้วยคาดว่าคงอยู่ไม่ถึงวันรุ่งขึ้นหรอก ไม่นานก็คงบูดแล้ว
แต่ถ้าไม่พกของกินไปด้วย คงต้องกินข้าวที่ขายบนรถไฟ แบบนั้นเด็ก ๆ คงทนไม่ไหวหรอก
เสี่ยวเถียนได้ยินที่ย่าพูด แล้วคิดว่านี่ก็เป็นปัญหาจริง ๆ
อาหารบนรถไฟไม่ค่อยอร่อยเลยต้องเอาของกินไปเอง
แต่ในสภาพอากาศร้อนเช่นนี้ ไม่ว่าจะเอาซาลาเปา เกี๊ยว หรือแป้งทอดไป พวกมันก็จะเสียในไม่ช้า
“คุณย่า ในเมืองมีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปด้วยนะ พอเราไปถึงซื้อมาติดตัวเอาไว้ก็พอแล้วค่ะ”
คุณย่าซูเคยเห็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาก่อน เหล่าซานเคยเอามาด้วยหลังจากที่กลับมาจากการเดินทางไกล
แต่ไม่อร่อยเท่าบะหมี่ที่ทำเองเนี่ยสิ แถมแพงมากด้วย
“แต่มันไม่อร่อยเท่าที่ย่าทำนะ” หญิงชราพูดด้วยความรังเกียจ
เสี่ยวเถียนยิ้ม คุณย่าของเธอมีความมั่นใจมาก
แต่แกเป็นคนทำอาหารเก่ง แม้จะเป็นอาหารที่มีส่วนผสมที่เรียบง่ายที่สุด แต่ก็ทำออกมาให้อร่อยได้
เรื่องนี้ต่อให้เสี่ยวเถียนฝึกเป็นร้อยปีก็ไม่อาจเทียบเคียงได้เลย
แค่เสียดายที่คุณย่าไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมือการทำอาหาร
ถ้าอีกหลายปีเปิดร้านอาหารด้วย ความสามารถการทำอาหารของย่าจะทำเงินได้มหาศาลแน่นอน
พอคิดขึ้นมา เสี่ยวเถียนก็เอ่ยขึ้น “ย่า ไม่งั้นเข้าเมืองหลวงไปกับหนูไหมคะ?”
ถ้าเปิดร้านอาหารให้ย่าในเมืองด้วย แกอาจจะตั้งหลักแหล่งที่นั่นก็ได้นะ
ยิ่งเสี่ยวเถียนคิดเรื่องนี้มากเท่าไรก็ยิ่งคิดว่ามันเป็นไปได้ แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ต้องรอให้คุณย่าตอบตกลงเสียก่อน
หญิงชราจ้องมองหลานสาว “เด็กคนนี้ คิดอะไรไม่รอบคอบเลย หลานไปหาปู่ย่าบุญธรรมนะ แล้วย่าจะตามไปทำไม?”
“ก็ไปเยี่ยมด้วยเหมือนกันไงคะ ใครบอกว่าถ้าไม่มีอะไรทำจะเข้าเมืองไม่ได้ล่ะ?” เสี่ยวเถียนไม่เห็นด้วยสักนิด
แต่อีกฝ่ายก็มีเหตุผลของตนเช่นกัน “หลานเอ๋ย ไม่ได้เป็นคนดูแลบ้านไม่รู้ว่าข้าวของมันแพงยังไงจริง ๆ”
เอาเถอะ เสี่ยวเถียนก็คิดว่าตนเป็นเช่นนั้นจริง ๆ!
“กว่าจะเปิดร้านได้ก็ลำบาก ถ้าหยุดไปสิบยี่สิบวัน กว่าจะกลับมาลูกค้าไม่โดนแย่งไปหมดแล้วหรือ?”
เสี่ยวเถียนอยากจะบอกย่าว่า ที่เข้าเมืองไปก็เพื่อไปเปิดร้านหาเงินนี่แหละ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา และเธอก็ไม่อยากทำให้ย่าตกใจด้วย
ช่างเถอะ บางเรื่องก็ต้องทำไปทีละขั้นตอนจึงจะดี
“คุณย่า ย่าเคยคิดจะรับลูกมือไหมคะ?” จู่ ๆ เสี่ยวเถียนก็ถามขึ้นมา
พอหญิงชราได้ยิน เธอก็ตกใจแล้วรีบมองไปรอบ ๆ เพื่อให้แน่ใจว่านี่คือบ้านของตนและไม่มีคนอื่นใด จากนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“เด็กคนนี้ กล้าพูดออกมาได้ยังไง? รับลูกมือไม่ได้ เรากดขี่ให้คนทำงานไม่ได้นะ!”
เอ่อ…
เสี่ยวเถียนไม่รู้จะตอบอะไร
รับลูกมือแล้วมันเกี่ยวอะไรกับกดขี่แรงงาน?
แต่เธอก็นึกได้ว่าลูกมือที่เธอกับย่าเข้าใจน่าจะไม่เหมือนกัน
“ย่า หนูแค่คิดว่าย่าทำอาหารเก่ง เลยน่าจะหาคนมาสืบทอดค่ะ!”
คุณย่าซูหยิกแก้มหลานสาว “หาคนมาสืบทอด แต่ย่าเป็นยายแก่จากครอบครัวชาวนานะ”
คุณย่าคงไม่เคยคิดมาก่อนว่าฝีมือทำอาหารของเธอจะเก่งขนาดไหน
ไม่แปลกใจ เพราะหลายปีก่อนแม้แต่ข้าวยังหากินยาก นับประสาอะไรกับของอร่อยล่ะ
เพราะงั้นการที่ย่าจะไม่รับรู้ถึงฝีมือของตัวเองไม่ใช่เรื่องแปลก
สุดท้าย อาหารที่คนบ้านซูกินบนรถไฟก็คือบะหมี่สำเร็จรูปที่ทำเอง
เพื่อให้บะหมี่อร่อยยิ่งขึ้น คุณย่าซูทำเนื้อผัดซอสให้โดยเฉพาะ และบรรจุลงในโหลใส
ด้วยความเก่งกาจของคุณย่าซู แกทำเนื้อผัดซอสได้หลายหม้อในคราวเดียว
เพราะแบบนี้ต่อให้จ่ายตั๋วเนื้อให้ลูกชายลูกสะใภ้ทั้งเดือนก็ไม่เสียใจ
คุณย่าซูบรรจุใส่โหลสิบห้าโหล แต่ละโหลมีเนื้อผัดซอสใส่อยู่หนึ่งจินกว่า ๆ
“โหลนี้เอาขึ้นไปกินด้วยได้นะ” หญิงชรายื่นให้เสี่ยวอู่
เด็กหนุ่มได้กลิ่นหอมของมันก็รู้สึกน้ำลายสอ แต่ย่าทำมาตั้งเยอะ ทำไมให้เขาแค่โหลเดียวล่ะ?
“ย่า ให้ผมอีกโหลนึงสิ!” เสี่ยวอู่ร้องขอ
“เด็กคนนี้ โหลเดียวไม่พอหรือไง?” หญิงชรายิ้มแล้วตีหลานชาย
หากแต่เสี่ยวอู่ไม่รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่น้อย แค่แสร้งทำเป็นลูบบริเวณที่โดนแล้วโอดครวญว่า “ย่า ผมเป็นหลานชายของย่านะ”
“ฉันมีหลานชายที่ไหน ฉันมีแต่หลานสาวเท่านั้น!” คุณย่าซูพูดห้วน ๆ โดยไม่สนใจสีหน้าอันบอบช้ำของเด็กหนุ่มเลย
เห็นท่าทางขี้เล่นของเสี่ยวอู่ เสี่ยวซื่ออดหัวเราะไม่ได้
สุดท้ายคุณย่าซูก็ทนไม่ไหว “ย่าไปถามมาแล้ว พวกหลานนั่งรถไฟสี่วัน โหลเดียวกินพออยู่นะ”
“แต่มันยังเหลืออีกตั้งเยอะนะ!” เสี่ยวอู่พึมพำ
ใครว่าลงรถไฟมาแล้วจะกินไม่ได้ล่ะ? พี่ ๆ ไปเมืองหลวงกันตั้งปีครึ่งแล้วยังไม่กลับมาเลย แล้วเขาไปทางใต้นะ คงไม่ได้กลับในเร็ววันเหมือนกันหรอก
คุณย่าซูมองกระป๋องและโหลที่เหลือ ก่อนจะอธิบายในที่สุด
“สองโหลนี้ให้ป้าเถาฮวา ส่วนสองโหลนี้ให้คุณปู่คุณย่าตู้ โหลนี้ให้พี่ชายทั้งสามคนของหลาน ส่วนที่เหลือก็ให้คุณปู่ฉือกับคนอื่น ๆ กินระหว่างทางไง!”
คุณย่าซูวางแผนไว้แล้ว
เสี่ยวอู่ไม่พูดอะไรมากเมื่อได้ยินสิ่งที่ย่าวางแผนเอาไว้
ช่างเถอะ รอบหน้าตอนกลับมาค่อยกินก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนหรอก
แต่เสี่ยวเถียนทนไม่ไหว หยิบเนื้อผัดซอสอีกโหลให้พี่ชายแท้ ๆ ของเธอไป
“พี่คะ อันนี้ของหนู ให้พี่ไปกินตอนอยู่ที่โรงเรียนนะ!”
ทุกคนประหลาดใจที่จู่ ๆ เสี่ยวเถียนก็หยิบโหลเนื้อผัดซอสให้เสี่ยวอู่
“เสี่ยวเถียน ทำไมให้แค่พี่ห้าล่ะ ไม่ให้พี่บ้างหรือ?” เสี่ยวซื่ออดแกล้งไม่ได้
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกค่ะพี่สี่ โรงเรียนที่พี่หนูไปกับพี่สี่ไปไม่เหมือนกัน และเขาต้องอยู่คนเดียวที่นั่น เรื่องอาหารการกินเขายังไม่ชินด้วยซ้ำ!”
คนอื่นไม่รู้ แต่เสี่ยวเถียนรู้เรื่องอาหารทางเหนือและทางใต้ดี ต้องใช้เวลาเกือบสักพักเลยจึงจะชิน
ถ้าเอาไปเพิ่มอีกโหล เอาไปกินกับหมั่นโถวหน่อยก็ยังดี
พอได้ยินหลานสาวพูดเช่นนี้ คุณย่าซูพลันรู้สึกเศร้าใจอีกครั้งที่เสี่ยวอู่จะไปโรงเรียนทหารทางใต้
“ยังเป็นน้องเล็กที่รักหลานอยู่นะ” คุณย่าซูยิ้มแล้วตีหลานชายไปทีนึง “ถ้าไปแล้วไม่สบายตรงไหนก็เขียนจดหมายส่งมา บอกย่าว่าอยากกินอะไร เดี๋ยวย่าทำแล้วส่งไปให้”