เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 315 เจอกันอีกครั้ง
บทที่ 315 เจอกันอีกครั้ง
บทที่ 315 เจอกันอีกครั้ง
“หนูมีมะเขือเทศนะ แต่หนูไม่อยากให้ ทำยังไงดีคะ?” เสี่ยวเถียนกลืนลงไปก่อนจะคลี่ยิ้มเย็น
หญิงชราไม่คิดว่าเสี่ยวเถียนจะรั้นขนาดนี้
“แม่เฒ่า คุณอย่ามาใส่ความคนที่นี่เลย หลานชายคุณนั่งร้องไห้อยู่คนเดียว ใครเขาก็เห็นกันทั่ว” มีคนหนึ่งทนไม่ไหวจึงเอ่ยปากออกมา
หญิงชราไม่คิดเลยว่าจะมีคนยืนขึ้น แต่ไม่ได้ช่วยเธอพูด กลับไปช่วยนังเด็กนั่นแทน
“พวกแก พวกแกต้องอยู่กลุ่มเดียวกันแน่!” หญิงชราเริ่มโกรธขึ้นมาแล้ว จึงเริ่มจิกกัดคนอื่น
อีกฝ่ายไม่คิดเลยว่าหญิงชราจะเป็นคนไม่สนใจอะไรแบบนี้ เลยไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อดี
ข้าง ๆ มีเด็กหญิงวัยสิบกว่าปีพูดด้วยน้ำเสียห้วน ๆ “หนูก็เห็น เด็กคนนั้นลงไปนั่งร้องไห้เอง แล้วก็ดิ้นไปมาเอง”
พอเธอพูดแบบนี้ อีกหลายคนก็ยืนขึ้นทันทีเพื่อเป็นพยานว่าเสี่ยวเถียนไม่ได้เป็นคนเตะเด็กชายจนล้มลงไป
เสี่ยวเถียนไม่คิดเลยว่าจะมีหลายคนที่มีหัวใจแห่งความยุติธรรมแบบนี้
เธอจะจดจำไว้
มะเขือเทศในถุงยังมีเหลืออยู่ รอกินเสร็จค่อยดูว่าจะแบ่งให้คนละครึ่งกับใครได้ไหม
เดิมทีหญิงชราคิดจะใส่ความเสี่ยวเถียน แต่ไม่คิดว่าคนอื่นจะลุกขึ้นมาเป็นพยานให้เยอะขนาดนี้
แต่ต่อให้ไม่สนใจ ก็คงดั้นด้นต่อไปไม่ได้
“ไอ้เด็กนี่ยังไม่ลุกอีกหรือ น่าอายเหลือเกิน แค่หิวมันไม่ตายหรอกนะ กะอีแค่มะเขือเทศลูกเดียวไม่เคยเห็นหรือไง? รอลงรถไปจะให้แกกินให้พอเลย!” ด่าจบก็ดึงเด็กขึ้นมาแล้วจ้องเสี่ยวเถียนด้วยสายตาดุร้าย
“แต่ก็มีบางคนไม่รู้ว่ากินเข้าไปแล้วไม่กลัวสำลักตายหรือไง?”
เสี่ยวเถียนร้องเหอะแล้วกัดมะเขือเทศคำใหญ่ “อร่อยจังเลย กินของของตัวเองจะไปสำลักตายได้ยังไงคะ? ก็มีแค่บางคนที่อยากกินของคนอื่น พวกคนที่ไร้มารยาทนั่นล่ะที่น่าจะสำลักตาย!”
ได้ยินเช่นนั้น ฮั่วซิวเฉิงก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
เสี่ยวซื่อร้องเหอะแล้วจ้องเขม็งไปที่ชายหนุ่ม “คุณหัวเราะอะไร? กินของเราไปตั้งเยอะ ไม่เห็นพูดอะไรสักคำ”
ฮั่วซิวเฉิงหัวเราะไม่ออก
เขากินเยอะแล้วไม่ได้ให้ตั๋วกับเงินหรือไง?
ช่างเถอะ เป็นผู้ใหญ่อย่าไปทะเลาะกับเด็กเลย
ฉืออี้หย่วนพูดอย่างเย็นชา “เสี่ยวเถียน ข้าวมื้อหน้าไม่ต้องเตรียมให้บางคนนะ!”
“ไอ๊หยา ๆ จะทำแบบนี้ไม่ได้นะ ฉันก็ไม่ได้มัวแต่กินมะเขือเทศเสียหน่อย อีกอย่างคนอยู่กันเต็มตู้โดยสารทั้งนั้นเลยนะ เขาคิดว่าเราเป็นพวกเดียวกันนะ ฉันเอ่ยปากไม่ได้หรอก”
ต่อให้เขาพูดก็อาจจะโดนค้านก็ได้ ใครจะไปรู้
และเสี่ยวเถียนก็รู้ว่าถึงจะไม่มีฮั่วซิวเฉิงอยู่ด้วย แต่ผู้โดยสารส่วนใหญ่ก็คงคิดเหมือนกัน
กระทั่งหญิงชราจากไปพร้อมกับหลานชาย เสี่ยวเถียนก็หยิบขะเขือเทศออกมาผ่าเป็นสองซีก แล้วแบ่งให้คนที่ช่วยเธอเอาไว้
ตอนที่ชายหนุ่มมอง ดวงตาคู่นั้นจับจ้องไปที่เหล่ามะเขือเทศที่กำลังแจกจ่ายให้ทีละคน
บางส่วนที่ไม่ได้ช่วยเสี่ยวเถียนในตอนนั้นรู้สึกเสียใจจริง ๆ
ถ้ารู้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ว่าจะได้มะเขือเทศครึ่งซีก พวกเขาก็คงจะเอ่ยปากพูดเหมือนกัน
แต่ตอนนี้สายเกินไปที่จะเสียใจแล้ว จึงทำได้แค่เฝ้ามองคนอื่นกินอย่างเอร็ดอร่อย
หญิงชราขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน จ้องเสี่ยวเถียนตาเขม็ง นังเด็กนี่ คิดจะตบหน้าเธอจริง ๆ สินะ
มีมะเขือเทศตั้งเยอะแยะ ทำไมให้สี่เป่าหลานเธอไม่ได้?
ขี้เหนียว ทีแบบนี้ล่ะเอาออกมาได้ตั้งเยอะ
พอเห็นเสี่ยวเถียนเอามาแบ่งให้คนอื่น สี่เป่าก็เบะปากร้องไห้อีกครั้ง
หญิงชราด่าเสี่ยวเถียนด้วยความโมโห ทั้งด่าหลานทั้งปลอบไปด้วย สถานการณ์โกลาหลไปหมด
เสี่ยวเถียนได้ยิน แต่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ไม่ต้องมาเอ่ยถึงเธอหรอก และถึงต่อให้เอ่ยก็ไม่ต้องไปสนใจ เธอกินของเธอดีกว่า
รอบนี้ไปเมืองหลวง สัมภาระของเราไม่เยอะ ในกระเป๋าส่วนใหญ่ก็เป็นของกินที่คุณย่าซูกับเสี่ยวเถียนเตรียมไว้มากินหลาย ๆ วัน
ก่อนเดินทางยังโทรคุยกับฝั่งตู้ถงเหอและเสิ่นจื่อเจินก่อนแล้วด้วย
ทั้งสองบ้านบอกว่าเตรียมตัวไว้เสร็จแล้ว ไม่ต้องให้พวกเขาเอาที่นอนไป
กระทั่งเสิ่นจื่อเจินยังบอกว่าของเสี่ยวซื่อก็เตรียมไว้พร้อมเหมือนกัน
เสี่ยวเถียนเลยไม่เกรงใจ เอาเสื้อผ้าไปแค่ไม่กี่ชุดก็พอ
วันต่อมา พวกเสี่ยวเถียนก็ยังมีของให้กินเยอะ
พวกคนที่ขึ้นรถไฟมาหลังจากนั้น ไม่ได้กินอะไรอร่อย ๆ มาเลย พอเห็นพวกเสี่ยวเถียนเอาของกินออกมาเรื่อย ๆ ก็อิจฉามาก
แต่พวกเขาก็เห็นนะว่าตอนที่เสี่ยวซื่อเอาอาหารให้ฮั่วซิวเฉิง เขามักจะเก็บเงินและตั๋วได้เพียบเลย
พวกเขาไม่ได้มีเงินกับตั๋วมากขนาดนั้น เลยทำได้แค่มอง!
ถึงปีนี้ภาวะขาดแคลนอาหารจะไม่มากเท่าปีก่อน ๆ ทว่าแต่ละครัวเรือนก็ไม่ได้มีอาหารเยอะขนาดนั้น ไม่ต้องพูดถึงแป้งสาลีหรอก
และพวกเขาก็ไม่ได้หน้าหนาไปขอได้
รถไฟโคลงเคลงอยู่หลายวัน ในที่สุดก็มาถึงเมืองหลวง
เทียบกับคนอื่น ๆ ที่เหนื่อยล้า พวกเสี่ยวเถียนมีชีวิตชีวามาก
แต่เพราะอยู่บนรถนานเลยแข้งขาแข็งไปหมด
ตอนขึ้นมีกระเป๋าเล็กกระเป๋าน้อยมากมาย ตอนลงเหลือแค่ใบเล็ก ๆ เท่านั้น
ฉืออี้หย่วนพยุงปู่ เสี่ยวซื่อและเสี่ยวเถียนขนสัมภาระ และเดินลงจากรถไฟอย่างขยันขันแข็ง
ทันทีที่ลงจากรถไฟ เด็กหญิงเห็นพี่ชายทั้งสามมายืนรออย่างเรียบร้อยที่ชานชาลา
เพื่อที่จะได้ประหยัดเงิน พวกเขาทั้งสามกลับบ้านไปแค่รอบเดียวตั้งแต่มาได้ปีครึ่ง
ซูเสี่ยวเถียนมองใบหน้าพี่ ๆ ดวงตาร้อนผ่าวก่อนจะเดินเข้าไปหาพร้อมกระเป๋า
โส่วเวินกลัวน้องจะล้มเลยรีบตะโกน “เสี่ยวเถียนช้าหน่อย ๆ!”
ส่วนซื่อเลี่ยงและซานกงวิ่งเข้าไปหาแล้ว
พี่รองก้าวขายาว ๆ ด้วยความเร็วแล้วกอดเสี่ยวเถียนแน่น
“สาวน้อย มาสักที พี่รองคิดถึงจะตายอยู่แล้วเนี่ย!” เด็กหนุ่มพูดพร้อมกับสะอื้น
เขารอมาตั้งแต่วันที่รู้ว่าซูเสี่ยวเถียนจะเข้าเมืองหลวง
บอกได้เลยว่าหลายวันมานี้ทรหดสำหรับเขามาก
ซูเสี่ยวเถียนโยนกระเป๋าลงแล้วกอดเอวพี่รอง “พี่รอง หนูก็คิดถึงพวกพี่เหมือนกัน”
เห็นพี่น้องกอดกันกลม เสี่ยวซื่อก็รู้สึกขมขื่น
ตอนพี่รองไม่อยู่ เขาก็ยังได้เป็นพี่ชายอยู่ดี ๆ แล้วทำไมพอพี่รองออกมา เขาถึงดูไม่มีอะไรเลยเนี่ย?
พอเข้าไปหาพี่รองแล้ว เสี่ยวเถียนก็ไปหาพี่ใหญ่กับพี่สาม
คราวนี้ซูเสี่ยวซื่อเศร้ายิ่งกว่าเดิมอีก
มีพี่ชายอยู่ตั้งสามคนแล้ว และพี่สี่อย่างเขาเหมือนไร้ตัวตนเลย ทำอย่างไรดี?
ฉืออี้หย่วนก็อิจฉาเช่นกัน เขาอิจฉาพี่ ๆ บ้านซูที่ได้กอดเสี่ยวเถียนอย่างเปิดเผย
แต่เขาเป็นคนนอก ตอนนี้ใคร ๆ ก็มองออก
แล้วเมื่อไรล่ะที่จะได้กอดเสี่ยวเถียนอย่างเปิดเผยบ้าง?
ฉือเก๋อชำเลืองมองหลานชาย ก่อนจะยิ้มและเดินเข้าไปหาครอบครัวเสิ่นจื่อเจิน และสองสามีภรรยาตู้ที่ยืนอยู่ด้านหลังบ้านซู
“ไม่เจอกันนานเลย!” ฉือเก๋อยิ้ม
“ไม่เจอกันนานเลยครับ!” เสิ่นจื่อเจินเอื้อมมือเข้าไปกอดชายชรา
“สหายฉือ ไม่เจอกันเลยนะ!” ตู้ถงเหอเข้าไปกอดเช่นกัน
จากนั้นทุกคนที่รู้สึกขมขื่นก็มองหน้ากันแล้วก็ยิ้ม
ซูเสี่ยวเถียนหวนนึกถึงความสุขที่ได้กลับมารวมตัวกับพี่ ๆ อีกครั้ง ก่อนจะพบว่ามีคนมารับพวกเขาเยอะมาก
หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด…
เอ๊ะ มีคนมารับสิบกว่าคนได้ ยิ่งใหญ่จนคนคิดว่ากำลังต้อนรับบุคคลสำคัญเสียอีก
ที่จริงคนรอบ ๆ ก็กำลังมองมาที่พวกเขาอยู่ รวมถึงฮั่วซิวเฉิงที่ลงจากรถไฟช้ากว่าพวกเขาหนึ่งก้าวด้วย
ถึงชายหนุ่มจะได้ยินมานานแล้วว่าลูกบ้านซูทั้งสามเรียนมหาวิทยาลัย แต่เขาก็ยังประหลาดใจที่มีคนมารับเยอะขนาดนี้