เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 320 ไม่อยากเจ็บปวดอีกต่อไป
บทที่ 320 ไม่อยากเจ็บปวดอีกต่อไป
บทที่ 320 ไม่อยากเจ็บปวดอีกต่อไป
ยิ่งเธอคิดเกี่ยวกับมันมากเท่าไรก็ยิ่งอึดอัดมากขึ้นเท่านั้น อวี่รุ่ยหยวน ผู้หญิงที่ชีวิตโดนบีบคั้นอย่างหาสิ่งใดเปรียบรู้สึกเหมือนกำลังพังทลาย
เธอสะอึกสะอื้นอย่างช่วยไม่ได้
และถึงเธอจะกำลังร้องไห้ด้วยความหดหู่เสียใจ แต่เสียงสะอื้นไห้ก็แผ่วเบา แม้แต่คนข้างนอกก็ไม่ได้ยินเสียง
ตอนที่เสี่ยวเถียนมาหา เธอบังเอิญเห็นอวี่รุ่ยหยวนปิดปากร้องไห้พอดี
เสียงร้องไห้ที่อดกลั้นเอาไว้มันรู้สึกอึดอัดเหมือนโดนคนทำร้ายอย่างไรอย่างนั้น
จู่ ๆ คนที่มีความสุขเพราะหลาน ๆ มาหาก็ร้องไห้แบบนี้ เสี่ยวเถียนจึงไม่สนใจมารยาทอะไรอีก
เธอรีบร้อนเข้าไปอยู่ข้าง ๆ หญิงชรา ก่อนลูบหลังปลอบประโลมเบา ๆ
อวี่รุ่ยหยวนสังเกตเห็นเสี่ยวเถียนเข้ามาแล้ว เธอกลัวว่าท่าทางของเธอจะทำให้หลานตกใจจึงรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเพื่อเช็ดน้ำตา
“เป็นความผิดของย่าเอง ย่าทำให้หลานตกใจแล้ว!” อวี่รุ่ยหยวนฝืนยิ้ม หากแต่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง
“คุณย่า ถ้าเศร้าก็ร้องไห้ออกมานะคะ!” เสี่ยวเถียนพูดอย่างขมขื่น
ก่อนหน้านี้ยังดีอยู่เลย ถึงหม่าซ่านฟางจะมาสร้างปัญหาที่บ้าน แต่ก็ไม่มีใครร้องไห้นี่นา แล้วทำไมถึงร้องไห้เหมือนเจ็บปวดมากขนาดนี้
อวี่รุ่ยหยวนรู้สึกผิด แต่เรื่องพวกนี้เธอพูดกับเสี่ยวเถียนที่เป็นเพียงเด็กหญิงตัวน้อยไม่ได้!
ยิ่งไปกว่านั้น มันก็แค่ความสงสัยของตนเอง แต่ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานใด เธอจะทำอะไรบุ่มบ่ามไม่ได้
“ย่าไม่เป็นไรแล้วจ้ะ แค่จู่ ๆ ก็คิดถึงลุงตู้ของหลานขึ้นมา ถ้าเกิดว่าเขายังอยู่…”
ถ้าเขายังอยู่ เขาจะกลัวลูกนอกสมรสของตู้ถงเหอที่จู่ ๆ ก็มาปรากฏตัวได้อย่างไร?
และถ้าเขายังอยู่ หม่าซ่านฟางและตู้เทียนเหอจะกล้ามาฉกชิงทรัพย์สินของบ้านอย่างหน้าไม่ได้อายเลยได้อย่างไร
ตอนที่ลูกชายไปรบ ในฐานะพ่อแม่ไม่ยินยอมอยู่แล้ว
แต่ลูกชายพูดว่าอะไรนะ?
เขาพูดว่า ถึงไม่ใช่เขาก็ต้องเป็นคนอื่นอยู่ดี ถึงไม่ใช่ลูกชายตระกูลตู้ ก็ต้องเป็นลูกชายตระกูลอื่น
เขาไปสนามรบเพื่อไม่ให้คนอื่นต้องไปแทน
ตอนนั้นเธอตกลงทำตามคำขอของลูกชายด้วยความเต็มใจ และทุกครั้งที่เธอนึกถึงการตัดสินใจของเธอในตอนนั้น อวี่รุ่ยหยวนก็รู้สึกเสียใจแทบตาย!
ถ้าเธอรู้ว่าการที่ลูกชายไปสนามรบในครั้งนั้นเป็นการบอกลาครั้งสุดท้าย เธอจะไม่มีวันปล่อยให้ลูกไปแม้จะต้องถูกข่มก็ตาม
ลูกคนอื่นจะเป็นอย่างไรเธอไม่สน แต่เธอมีลูกแค่คนเดียว!
แล้วดูตอนนี้สิ มันคืออะไรกัน?
ลูกชายหายไปตั้งหลายปี ในความทรงจำของเธอ เขายังเด็กอยู่เลย…
เสี่ยวเถียนเข้าใจแล้ว เพราะเป็นเรื่องครอบครัวของหม่าซ่านฟาง เลยกระตุ้นให้หญิงชราเกิดความรู้สึกโหยหาลูกชาย
อีกอย่าง ถ้าลูกชายของพวกเขายังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้ก็คงมีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมืองแล้ว แล้วทำไมต้องโดนคนพาหลานมาข่มเหงด้วย?
พอนึกถึงเรื่องนี้ เสี่ยวเถียนก็ได้แต่เกลียดตัวเอง ทำไมเธอไม่ตบหม่าซานฟางอีกสักสองสามทีนะ
พวกที่เอาแต่ทิ่มแทงจิตใจคนอื่น แม้จะโดนตบจนตายก็สมควรแล้ว
“คุณย่า ไม่เป็นไรนะคะ ไม่เป็นไรนะ”
ซูเสี่ยวเถียนเอื้อมมือไปกอดหญิงชรา แล้วปลอบโยนอย่างนุ่มนวล
พอได้รับการปลอบประโลมและรู้สึกถึงความจริงใจจากหลาน อวี่รุ่ยหยวนจึงสบายใจขึ้นมากในทันที
เด็กคนนี้เป็นคนดีจริง ๆ
หลายปีที่ผ่านมา หากไม่ได้เด็กที่ใจดีและน่ารักแบบนี้ เราสองสามีภรรยาคงจะถูกฝังอยู่ที่นั่นแล้ว
“เด็กดี ย่ามีหลานก็พอใจแล้ว!”
เสี่ยวเถียนเป็นหลานสาว และเป็นหลานสาวเพียงคนเดียว
แต่ถ้าฮั่วซิวเฉิงเป็นลูกนอกสมรสของสามีเธอจริง ๆ เธอจะทนได้อย่างไร?
แล้วจะทำอย่างไรล่ะ?
กล้ำกลืนฝืนทนหรือ?
หรือจะไม่ติดต่อกันอีก?
พอนึกถึงปัญหานี้ อวี่รุ่ยหยวนก็เงียบอีกครั้ง
แต่เสี่ยวเถียนไม่ได้สังเกตถึงความคิดหมุนวนของย่า ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่อยู่ลึกที่สุดในหัวใจของย่าด้วย
แน่นอนว่าเธอไม่เข้าใจว่ามันยากแค่ไหนที่คู่สามีภรรยาที่อยู่ด้วยกันมาหลายปีจะโดนคนหนึ่งหักหลัง
เด็กหญิงปลอบอวี่รุ่ยหยวนเสียงแผ่ว “คุณย่า ไม่เป็นไรแล้วนะ ถึงหนูจะอยู่ในเมืองหลวงไปตลอดไม่ได้ แต่อีกสองปีน่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วค่ะ ถ้าสอบได้จะได้อยู่ข้าง ๆ ย่าอีกนานเลย”
เป้าหมายของเธอคือสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีที่สุด มันคงตลกถ้าเธอสอบไม่ได้ทั้งที่มีระบบห้องสมดอยู่ในมือ
สำหรับแผนการในอนาคต เสี่ยวเถียนยังไม่รู้แน่ชัด เธอคิดว่ามาคุยกันหลังจากที่สอบเข้าได้แล้วจะดีกว่า ดูเหมือนว่าคิดตอนนี้ก็ยังไม่สำคัญเท่าไร
“ได้จ้ะ ย่าจะรอนะ” อวี่รุ่ยหยวนยิ้มทั้งน้ำตา
ใช่แล้ว ในอีกสองปีข้างหน้า เด็กคนนี้จะเข้ามหาวิทยาลัยได้
อืม แต่เหมือนจะแปลก ๆ นะ เด็กคนนี้เพิ่งจะอายุเท่าไรเอง?
“เสี่ยวเถียน ปีนี้หลานเพิ่งอายุสิบสองปีเองไม่ใช่หรือ?” หญิงชราถาม
“ใช่ค่ะ ปีนี้หนูอายุสิบสอง ถ้านับแบบเก่าก็สิบสามแล้ว อีกสองปีก็จะอายุสิบห้าค่ะ!”
นับแบบโบราณอายุสิบห้า งั้นอายุจริง ๆ ก็สิบสี่น่ะสิ อายุเท่านี้เด็กเกินไปที่จะสอบหรือเปล่า?
ที่สำคัญคือ ทางมหาวิทยาลัยยินดีที่จะรับเด็กอายุน้อยแบบนี้ด้วยหรือ?
อายุสิบสี่ก็เพิ่งจะมัธยมต้นเองนะ!
ถึงอวี่รุ่ยหยวนจะคิดแบบนั้นอยู่ แต่เธอรู้ว่าหลานทั้งสิบคนของบ้านซูต่างมีความโดดเด่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการเรียน แต่ละคนเก่ง ๆ กันทั้งนั้น เห็นได้จากเด็กห้าคนแรกที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้
แต่พี่ชายทั้งเก้ากลับด้อยกว่าเสี่ยวเถียนอยู่เล็กน้อยนะ!
ไม่สิ เราจะปล่อยให้เสี่ยวเถียนเสียเปรียบเพราะปัญหาเรื่องอายุไม่ได้นะ
เรื่องนี้ต้องเริ่มวางแผนตั้งแต่ตอนนี้เลย
พรุ่งนี้เจอเสิ่นจื่อเจินเมื่อไรจะหารือกับเขาก่อนเลย แล้วกับฉือเก๋อด้วย เพราะหลังจากที่กลับมาอาจจะไม่ค่อยได้ไปสอนเนื่องด้วยอายุที่มากแล้ว แต่เขาต้องมีวิธีช่วยแน่
เสี่ยวเถียนไม่รู้ว่าหญิงชรากำลังคิดเรื่องของหลานสาวคนนี้เยอะแค่ไหน
เพราะตัวเธอกำลังคิดหาวิธีปลอบย่าอยู่
ผู้เฒ่าทั้งสองอยู่กันตามลำพังในเรือนหลังใหญ่แห่งนี้ มันค่อนข้างเหงานะ ไม่รู้ว่าพวกพี่ ๆ มีเวลามาเยี่ยมบ้างเป็นครั้งคราวบ้างได้ไหม และก็อยู่คุยเป็นเพื่อนสักพัก
เสี่ยวเถียนคิดว่ากลับออกไปต้องไปคุยกับพี่ ๆ แล้ว
อีกอย่างตอนนี้เปิดเทอมแล้ว ถึงตอนอยู่หงซินจะยังมองไม่ค่อยออก แต่พอมาถึงเมืองหลวงกลับเห็นได้ชัด
หรือจะหาวิธีพาคนที่บ้านมาเมืองหลวงดีนะ?
คนย้ายรอด ต้นไม้ย้ายตาย*[1] ถึงมาเมืองหลวงก็ไม่รู้ว่าจะปรับตัวกันได้หรือเปล่า?
ในความเข้าใจของเสี่ยวเถียน ตอนนี้การใช้ชีวิตในเมืองหลวงเป็นเรื่องที่ยาก แต่ง่ายกว่าในอนาคตแน่นอน
ถ้ารู้ว่าอีกสิบยี่สิบปีต่อมา การที่คนต่างถิ่นมาลงหลักปักฐานที่เมืองหลวงมันยากมาก มีเงื่อนไขมากมายเยอะแยะไปหมด
แต่ว่าตอนนี้เงินในมือยังน้อยเกินไป
ถ้ามากกว่านี้สักหน่อยก็ซื้อบ้านสักหลังแล้วก็ใช้ชีวิตในเมืองหลวงได้เลย อาจจะทำธุรกิจขนาดเล็กหรืออะไรสักอย่างก็ได้
ปีนี้เป็นปีแห่งยุคทอง และความรุ่งเรืองของแต่ละทีก็ไม่เหมือนกัน อย่างเช่นความรุ่งเรืองบ้านเราจะไปเทียบกับเมืองหลวงได้อย่างไร?
เสี่ยวเถียนต้องเริ่มคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะทำให้คนทั้งบ้านเรามาอยู่เมืองหลวงได้แล้ว
แต่ต่อให้คิดเยอะก็รู้ว่าเธอเป็นแค่เด็ก เรื่องใหญ่ขนาดนี้ บอกไปใครจะฟัง
โดยเฉพาะพ่อใหญ่แม่ใหญ่ พ่อรองแม่รอง และพ่อแม่ของเธอเองที่มีหน้าที่การงานมั่นคง พวกเขาคงไม่อยากย้ายมาใช่ไหมล่ะ?
ไม่งั้นให้ปู่กับย่ามาก่อนดีไหม?
ซูเสี่ยวเถียนรู้สึกว่ามันเป็นไปได้
ทั้งสองเงียบอยู่นาน กระทั่งตู้ถงเหอมาตามทั้งคู่
“รุ่ยหยวน ได้เวลาทำอาหารแล้ว”
อวี่รุ่ยหยวนตกใจเมื่อได้ยินเสียงสามี ก่อนจะคิดได้ว่าไม่ใช่แค่ควรจะทำอาหาร เด็กสองคนนี้อาจจะไม่ได้กินของอร่อย ๆ ระหว่างทางมาเลยก็ได้
เธอนี่มันโง่เง่าจริง ๆ ลืมแม้กระทั่งเรื่องสำคัญแบบนี้
สำหรับฮั่วซิวเฉิงที่ต้องสงสัยว่าเป็นลูกนอกสมรสของสามีหรือเปล่า อวี่รุ่ยหยวนปัดออกไปก่อน
ตู้ถงเหอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับภรรยา แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
เพราะเข้าใจว่ารุ่ยหยวนคงอารมณ์ไม่ดีหลังจากที่ครอบครัวน้องชายของเขามาสร้างเรื่องวุ่นวายที่บ้าน
ทุกครั้งที่สองคู่นี้มาหา รุ่ยหยวนจะรู้สึกไม่สบายใจอยู่ครึ่งค่อนวัน
“เสี่ยวเถียน หนูอยากกินอะไร? บอกย่ามา เดี๋ยวย่าทำให้”
เสี่ยวเถียนจับหญิงชรา ก่อนจะยิ้ม “คุณย่า กินอะไรก็ได้ค่ะ หนูไม่เลือกกินนะ”
อืม… ก็เธอเป็นคนไม่เลือกกินจริง ๆ ที่เป็นแบบนี้เพราะเมื่อก่อนตอนที่เธอลำเค็ญที่สุดก็อาศัยกินซาลาเปานึ่งเป็นอาทิตย์
ชีวิตนี้มีอะไรที่ยังกินดื่มไม่พออีกหรือ?
“ย่าให้ปู่ไปซื้อซี่โครงหมูมาตอนเช้า งั้นเรากินซี่โครงผัดบ๊วยตอนเที่ยงดีไหม? ทำแบบเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ เด็ก ๆ น่าจะชอบกินนะ”
เสี่ยวเถียนยินดีและเต็มใจช่วยเหลือ
หลานบ้านซูไม่มีนิสัยรอกินข้าว ดังนั้นแต่ละคนเลยเข้าไปช่วยทำอาหาร
อวี่รุ่ยหยวนเตรียมผักและเนื้อสัตว์ไว้เพียบ เสี่ยวเถียนสงสัยว่านี่เป็นส่วนแบ่งจากในเดือนนี้ของปู่ย่าใช่ไหม?
ในครัวมีอวี่รุ่ยหยวนและเด็ก ๆ ง่วนอยู่กับการล้างผัก สับ และทำกับข้าว
เพราะเช่นนี้เลยทำให้ฮั่วซิวเฉิงถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง เขารู้สึกเบื่อหน่ายมาก
เดิมทีหน้าด้านมาเป็นแขก แต่จะมาฝึกการต่อสู้ในบ้านเขาก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?
แล้วจะให้อยู่เฉย ๆ…
ตู้ถงเหอยืนอยู่ตรงทางเดิน เขารู้สึกละอายใจที่เห็นฮั่วซิวเฉิงกำลังนั่งเล่นนิ้วอย่างเบื่อ ๆ เขาไม่รู้ว่าควรเดินไปหาหรือเปล่า
ถึงชื่อจะคล้าย แต่ก็ดูเด็กกว่าเยอะเลย จะใช่จริงหรือ?
แต่ในใจก็มีอีกเสียงหนึ่งว่าตอบว่า ไม่งั้นก็ถามเลยดีไหม? มีโอกาสแล้วก็ถามเลย เดี๋ยวจะไม่มีเอานะ!
สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินเข้าไปคุยกับอีกฝ่าย
“สหายฮั่ว!”
“คุณลุงตู้” พอเห็นตู้ถงเหอทรุดตัวลงอยู่ฝั่งตรงข้าม ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นทักทาย
ก่อนตู้ถงเหอจะบอกให้นั่ง ซึ่งเขาก็ไม่คัดค้าน
ตู้ถงเหอมีเรื่องจะคุยด้วย เขาก็เหมือนกัน และทั้งสองคนก็เห็นพ้องต้องกันในประเด็นนี้
“สหายฮั่วเป็นคนที่ไหนหรือ?” เมื่อตู้ถงเหอถามคำถามนี้ น้ำเสียงของเขาสั่นเล็กน้อย
“ผมเป็นคนทางตะวันตกเฉียงใต้ครับ จากจังหวัดxxx เมืองxxxครับ” ฮั่วซิวเฉิงตอบอย่างจริงจัง
สถานที่ถูกต้อง ลูกชายเขาไปก็ไปรบที่นั่นในปีนั้นเหมือนกัน
“ปีนี้สหายฮั่วอายุเท่าไรหรือ”
“ปีนี้อายุสามสิบสี่ปีครับ!”
อายุสามสิบสี่ปี?
ใบหน้าของตู้ถงเหอมีความตื่นเต้นขึ้นอีกเล็กน้อย ตอนแรกที่ได้ยินชื่อฮั่วซิวเฉิง มันทำให้ความทรงจำของเขาหวนกลับมา แต่คิดว่าตนอาจจะจำผิดไป
เพราะคนตรงหน้าดูไม่แก่เลย
แต่เขาเพิ่งบอกว่าอายุสามสิบสี่ปีนะ!
“คุณดู…” ตู้ถงเหอไม่รู้ว่าจะถามอย่างไร
ชายหนุ่มคนนี้เหมือนอายุไม่เกินยี่สิบปีด้วยซ้ำ
ฮั่วซิวเฉิงลูบแก้มตัวเองแล้วยกยิ้มขึ้น “ช่วยไม่ได้ครับ ผมหน้าตาแบบนี้ตั้งแต่เกิด หน้าเด็กเลยดูไม่แก่เลย”
ด้วยเหตุนี้ คนในกองทัพเลยเอาไปล้อกันสนุกสนาน
ตอนมีทหารเกณฑ์มาใหม่ เขาในตอนนั้นก็ยังโดนล้อเหมือนกัน
ไม่อยากเจ็บปวดอีกต่อไป…
*[1] เปรียบว่าคนเราเวลาย้ายถิ่นที่อยู่ เราสามารถปรับตัวได้ แต่ต้นไม้ถ้าย้ายแล้วก็ไม่แน่ว่าจะปรับตัวกับสภาพแวดล้อมได้หรือเปล่า