เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 339 ตกแต่งร้าน
บทที่ 339 ตกแต่งร้าน
บทที่ 339 ตกแต่งร้าน
ภาพวาดตกแต่งร้านที่เสี่ยวเถียนวาด เธอยืมมาจากสไตล์ร้านอาหารตะวันตกในยุคหลัง เพราะแบบนั้นมันจึงดูเป็นธรรมชาติขึ้น และมีความหรูหรามากกว่าปกติ
“แต่มันต้องใช้เงินเยอะเลยนะ!” ตู้ถงเหอพึมพำ
“แต่ปู่ลดค่าเช่าลงตั้งเยอะไม่ใช่หรือคะ? พอดีเลย เงินตรงนั้นหนูจะได้เอามาลงทุนตกแต่งร้านแทน” เสี่ยวเถียนปิดปากหัวเราะคิกคัก
“พวกเราปิดบังหลานไว้ไม่ได้จริง ๆ สินะ!” ชายชราไม่คิดปิดบังอยู่แล้ว เพราะเด็กคนนี้เป็นเด็กฉลาด อย่างไรเสียเธอก็ต้องเดาออกอยู่แล้ว
“ขอบคุณค่ะคุณปู่ แต่แบบนี้ปู่จะเสียเปรียบเอานะ” เธอว่า
มูลค่าของอาคารสองชั้นหลังเล็กราคาไม่น้อยเลย แล้วค่าเช่ารายเดือนแค่สี่สิบหยวนเอง ต่อให้จ่ายสองร้อยหยวน ไม่ว่าใครก็ยอมเช่ากันทั้งนั้น
“ไม่เสียเปรียบ ๆ!” ตู้ถงเหอมองเสี่ยวเถียน ก่อนจะพูดว่า “เสี่ยวเถียน หลานไม่ต้องเกรงใจปู่นะ เดี๋ยวเรื่องแต่งร้าน ปู่จะไปหาคนมาให้!”
ตู้ถงเหออยากจะช่วยซูเสี่ยวเถียนจริง ๆ
และเสี่ยวเถียนเองก็รู้ เธอไม่คุ้นเคยกับผู้คนเมืองหลวง และยังห่างชั้นจากปู่บุญธรรมมาก ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่เกรงใจ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของชายชราไป
ส่วนตัวเธอเป็นคนเสนอจ่ายค่าตกแต่งเอง
ตู้ถงเหอว่า “เสี่ยวเถียน บ้านหลานเป็นยังไงปู่รู้ดี ปู่จะออกให้ก่อน ไว้รอร้านเปิดทำเงินได้เมื่อไรก็ค่อยเอามาให้ปู่ มันก็เหมือนกันนั่นแหละ”
เขาเอ่ยปฏิเสธโต้ง ๆ เลย เพราะรู้นิสัยหลานกับคนบ้านนี้ดี ถ้าเขาไม่พูดจริงจัง อีกฝ่ายก็จะไม่ยอมรับ
“คุณปู่ หนูมีเงินนะ!” เสี่ยวเถียนกระซิบ “จริง ๆ นะ!”
ชายชรารู้สึกขบขันกับท่าทางจริงจังของหลานที่กลัวคนอื่นจะได้ยินเสียเหลือเกิน เขาจึงอดเบาเสียงลงตามไม่ได้ “หลานยังเป็นเด็กน้อยอยู่เลย จะมีเท่าไรกันเชียว?”
ว่าจบเขาก็เอ่ยต่อทันที “ตอนที่รับหนูมาเป็นหลานสาว ตามกฎของเมืองหลวงแล้ว ปู่ต้องให้ของขวัญอวยพรแก่หลานนะ ถ้วยทองคำกับตะเกียบเงินเป็นสิ่งจำเป็นนะ”
เสี่ยวเถียนตกใจมากกับคำพูดของตู้ถงเหอ
ปู่พูดออกมาได้อย่างไร? ตะเกียบเงินก็ว่าไปอย่าง นี่ยังให้ถ้วยทองคำอีกหรือ?
“หนูไม่เอาถ้วยทองคำอะไรนั่นหรอกค่ะ มันไม่คุ้มเลยปู่ เอาชามกระเบื้องให้หนูก็พอแล้ว!”
เธอเดาว่าถ้วยกับตะเกียบควรเป็นสิ่งจำเป็น ส่วนถ้วยทองคำนั่นจะมีหรือไม่มีไว้ค่อยว่ากัน
เพราะอย่างไรเสียเรื่องรับเป็นหลานบุญธรรมก็ไม่ใช่แค่กับครอบครัวใหญ่หรอกนะ ครอบครัวเล็กก็มี
หรือบ้านเราใกล้จะอยู่ไม่รอดแล้ว เลยต้องให้คนมีเงินสำรองมาซื้อถ้วยทองคำกับตะเกียบเงินหรือ?
“งั้นก็ได้!” ตู้ถงเหอทำท่าเหมือนตัวเองเป็นคนให้คำปรึกษาได้ดีมาก
เสี่ยวเถียนตอบสนองไม่ถูกไปชั่วขณะเมื่อปู่ยังยืนกราน
“เสี่ยวเถียน รอร้านอาหารเปิดเมื่อไร เราจะจัดงานเลี้ยงฉลองอย่างเป็นทางการกันนะ ปู่ปรึกษาเรื่องนี้กับปู่ซูของหลานแล้ว วันนี้ไม่ต้องคิดเรื่องอื่นแล้วล่ะ ไปตั้งใจอ่านหนังสือเถอะ”
หลังจากหยุดไปชั่วคราว เขาก็กล่าวต่อ “จื่อเจินบอกว่า หลานกดดันพี่ ๆ มากเกินไป หลานแค่อ่านหนังสืออยู่ในห้องตัวเองก็พอ ไม่ต้องไปกดดันพวกเขาเพิ่มแล้วนะ!”
มีน้องสาวที่เก่งเกินไป คนเป็นพี่เลยรู้สึกทำตัวสบาย ๆ ไม่ได้เท่าไร
เด็กบ้านซูอาจจะเก่งกว่าเด็กบ้านอื่น แต่พวกเขามีน้องสาวที่เก่งกว่าพวกเขาอยู่ด้วย แล้วเธอยังมีไหวพริบดี มีความสามารถในการเรียนกว่าพวกเขาอีก แสงจ้าจนมองอะไรไม่เห็นแล้วล่ะ
เสี่ยวเถียนพูดไม่ออกเมื่อปู่เอ่ยออกมา
อ่านหนังสือก็ผิดหรือ?
ช่างเถอะ ผิดก็ผิด
เธอกลับห้องมาทบทวนบทเรียนต่อ เพราะคุ้นเคยกับเนื้อหาพวกนี้แล้ว เธอจึงเปลี่ยนไปศึกษาความรู้ด้านการเกษตรต่อ
แต่สิ่งที่ทำให้เสี่ยวเถียนประหลาดใจก็คือ หนังสือที่เธอหยิบออกมาจากระบบห้องสมุดในคราวนี้ไม่ใช่เรื่องการเกษตรแล้ว
รู้ไหมว่าหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ หนังสือที่เธอหยิบออกมาเก้าในสิบเล่มเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเกษตรหมดเลย
แต่คราวนี้กลับกลายเป็นหนังสือเศรษฐศาสตร์ไปเสียแล้ว
หรือเพราะระบบมันอัปเกรดนะ?
เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มีหนังสือเศรษฐศาสตร์ออกมาเลย
เสี่ยวเถียนมองมันด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่ระบบห้องสมุดเป็นแบบที่ถ้าหนังสือที่หยิบออกมายังอ่านไม่จบ ครั้งต่อไปที่หยิบออกมาอาจจะเป็นเล่มเดิม
เศรษฐศาสตร์ก็เศรษฐศาสตร์
เธอถือหนังสือและเริ่มศึกษาอย่างจริงจัง
นอกเหนือจากการเรียนเรื่องนี้แล้ว เสี่ยวเถียนยังไปขายวัตถุดิบให้กวางฮุยตามที่นัดกันไว้ด้วย
วัตถุดิบที่เธอจัดหามาให้เป็นประโยชน์ต่อพ่อครัวติงมาก เขาคิดจะเจรจราเพื่อขอเพิ่ม แต่เสี่ยวเถียนปฏิเสธ
ถึงพ่อครัวติงจะเอาเรื่องนี้มาพูด เธอก็เอาแต่ปฏิเสธลูกเดียว
ล้อกันเล่นหรืออย่างไร ช่วงนี้คะแนนเธอไม่ค่อยเพิ่มเท่าไรเลย แต่เพราะเอาแต่แลกของเยอะแยะไปหมด แล้วก็ต้องดูแลเรื่องร้านอาหารตัวเองเป็นหลักอีก จะเอาไปให้คนอื่นเสียเปล่าได้อย่างไร?
แต่เพราะขายให้เขามาอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ในมือเสี่ยวเถียนมีเงินอยู่หกพันหยวนแล้ว
แค่นี้ก็เป็นเงินจำนวนที่มากพอแล้วล่ะ เสี่ยวเถียนคำนวณในใจ นอกจากตกแต่งแล้ว เราต้องซื้อโต๊ะ เก้าอี้ และเครื่องครัว แค่นี้มันก็น่าจะเพียงพอรองรับร้านที่เพิ่งเปิดใหม่ได้ไประยะหนึ่ง
วัตถุดิบน่าจะขายได้อีกหลายวัน ครบเดือนเมื่อไรเธอจะไม่ขายต่อแล้วล่ะ
ตอนที่เสี่ยวเถียนเอาเงินสามพันไปให้ปู่ตู้ อีกฝ่ายตกใจมากและไม่ยอมรับเงินไปจากเธอ
เขาสงสัยนักว่าพื้นเพบ้านซูเป็นอย่างไร ทำไมถึงดีขนาดนี้?
เสี่ยวเถียนเป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่ง จะมีเงินถึงสามพันเลยหรือ?
“เสี่ยวเถียน เอาเงินพวกนี้มาจากไหนหรือ?” เขากังวลมาก กลัวว่าหลานจะไปทำเรื่องไม่ดีมา
เขาเห็นเธอเหมือนลูกหลานของตัวเอง และนี่คือเหตุผลที่ถามออกไป
“ปู่ไม่ต้องห่วงนะ หนูได้มันมาอย่างถูกวิธีแน่นอนค่ะ”
เธอขายวัตถุดิบให้ร้านอาหารหลายแห่งด้วยตัวเองนะ ไม่มีอะไรถูกต้องไปกว่านี้แล้ว
ตู้ถงเหอฟังไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรอีก
เด็กคนนี้เป็นเด็กที่มีความตั้งใจ เมื่อคิดอะไรแล้วก็จะไม่พูดออกมา ไม่ว่าจะถามอย่างไรก็ไม่พูดมากไปมากกว่านี้แล้ว
“งั้นปู่ไม่ถามแล้วล่ะ ปู่รู้ว่าหลานเป็นเด็กฉลาด หลานย่อมรู้ดีว่าอะไรควรอะไรไม่ควร”
พอฟังคำสอนของปู่บุญธรรม เธอก็พยักหน้า “คุณปู่ ถึงหนูจะเรียกว่าคุณปู่บุญธรรมก็ตาม แต่ในใจหนู ปู่เหมือนกับปู่แท้ ๆ ของหนู หนูไม่มีทางทำเรื่องเลวร้ายแน่นอนค่ะ หนูจะทำให้ปู่ภูมิใจในตัวหนู!”
เมื่อได้ยินคำสาบาน เขาก็อดน้ำตาซึมไม่ได้
เด็กคนนี้กำลังให้ความมั่นใจแก่เขาสินะ
“เด็กดี หลานเป็นความภาคภูมิใจของปู่มาตลอดเลยนะ!”
ในวันต่อมา ตู้ถงเหอทุ่มเทไปกับการช่วยเหลือคนบ้านซูในเรื่องตกแต่งร้านอาหาร
ฉือเก๋อให้ความช่วยเหลือด้านนี้ไม่ได้ก็จริง แต่เขาก็ถามปู่ซูตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้วว่าร้านอาหารแห่งนี้ชื่ออะไร พอรู้ว่าเสี่ยวเถียนเป็นคนตั้งชื่อ ‘หออีหมิง’ เขาก็เขียนลงบนแผ่นป้ายด้วยตัวเอง ทั้งยังหาช่างผู้ชำนาญมาทำป้ายเป็นการพิเศษด้วยเพื่อเตรียมให้พร้อมเอาไว้
คุณปู่ซู เหลียงซิ่ว และหลานชายที่ไม่ต้องสอบร่วมด้วยช่วยกันทำ
คุณย่าซู เถาฮวา และรุ่ยหยวนรับผิดชอบเรื่องอาหาร
สรุปแล้วทุกคนยุ่งไปกับการวิ่งไปข้างหน้าเพื่อไปสู่ชีวิตใหม่ที่ดีกว่าในอนาคต
เสี่ยวเถียนรู้สึกว่าตนเป็นคนที่ว่างที่สุดแล้ว
เธออ่านหนังสือทุกวันก็พอ
เพียงครู่เดียวก็ถึงวันสอบ
เช้าตรู่ของวันสอบ คุณย่าซูออกไปซื้ออาหารเช้ากลับมา
หญิงชราซื้อปาท่องโก๋มาห่อหนึ่ง แล้วก็ซื้อไข่ต้ม เด็กที่สอบแต่ละคนได้กินปาท่องโก๋หนึ่งอัน ไข่ต้มสองฟอง และโจ๊กลูกเดือยหนึ่งชาม!
“รีบกินเร็วเข้า ทุกคนเอาปาท่องโก๋ไปคนละอันกับไข่ต้มสองฟองนะ กินให้หมดล่ะ” คุณย่าซูตะโกนเรียกหลาน ๆ
เสี่ยวปาลูท้อง “ย่า เยอะจังเลย กินไม่หมดทำยังไงครับ?”
“ถ้ากินปาท่องโก่กับไข่แล้วกินโจ๊กไม่ไหวก็ไม่ต้องกิน ย่าได้ยินมาว่าถ้ากินของสองอย่างนี้จะสอบได้ร้อยคะแนนเต็มนะ”
คุณย่าซูเป็นคนที่เชื่อในโชคลางอยู่เสมอ ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่เชื่อหรอกว่าเสี่ยวเถียนจะเป็นที่โปรดปรานของราชามังกรมาได้นานหลายปีน่ะ
เสี่ยวเถียนยิ้ม “ย่า ย่าให้ไข่เราคนละสองฟอง ไม่กลัวพวกเราไล่*[1] หรือคะ?”
คุณย่าได้ยินเช่นนั้นก็รีบถ่มน้ำลายออกไปนอกบ้านสองที “เป็นเด็กเป็นเล็กพูดให้เป็นลางเสียได้”
ท่าทางของคุณย่าซูที่เชื่อในคำพวกนั้นทำให้ทุกคนหัวเราะลั่น
หลังจากกินข้าวเสร็จ ตู้ถงเหอและคนอื่น ๆ วางแผนจะไปส่งเด็ก ๆ เข้าสอบด้วยตนเอง และไม่ว่าหลานจะพูดอะไร พวกเขาก็ไม่ยอมท่าเดียว
อากาศร้อนขนาดนี้ มีแต่คนแก่ทั้งนั้น จะตามมาทำไม?
สุดท้ายก็กลายเป็นเสิ่นจื่อเจินที่ไปส่งพวกเขา
เฉินจื่ออันมีเรื่องต้องไปทำ คนที่เหลืออยู่เป็นคนคุ้นเคยกับเมืองหลวงดี และอายุน้อยลงมาหน่อย นั่นก็เหลือแค่เสิ่นจื่อเจินเท่านั้น
เดิมทีเสี่ยวเถียนบอกด้วยว่าไม่ต้องไปส่งหรอก แต่อีกฝ่ายไม่เห็นด้วย
ล้อกันเล่นแล้ว เด็กกลุ่มนี้เพิ่งจะเข้าเมืองหลวงมานะ เผื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ?
*[1] 鸡蛋 แปลว่า ไข่ไก่ คำว่า ไล่ ที่เสี่ยวเถียนหมายถึงคือ คำว่า 滚蛋 ซึ่งเป็น 蛋 คำเดียวกับคำว่า 蛋 ไข่ เสี่ยวเถียนจึงเอามาเล่นคำพ้องเสียง