เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 350 แต่เธอชอบพี่จริง ๆ นะ
บทที่ 350 แต่เธอชอบพี่จริง ๆ นะ
บทที่ 350 แต่เธอชอบพี่จริง ๆ นะ
แต่ตอนนี้ถ้าคิดจะหนีก็สายไปเสียแล้ว เสี่ยวหรุ่ยยืนอยู่ตรงหน้าของตนเองพร้อมรอยยิ้ม ใบหน้าของเธอยังงดงามเหมือนก่อนหน้านี้ แค่ให้หนียังทักไม่ทันเลย และก็ไม่คิดจะเป็นฝ่ายทักก่อนด้วย
ฉืออี้หย่วนขมวดคิ้ว และตัดสินใจที่จะไม่สนใจอีกฝ่าย
“ทำไมนายทำแบบนี้ล่ะ? พูดอะไรกับฉันสักประโยคไม่ได้เลยหรือ?” เสี่ยวหรุ่ยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
เธออุตส่าห์เป็นฝ่ายเข้ามาทักเขา ทำไมถึงปฏิบัติต่อกันแบบนี้?
“ขอโทษด้วยครับ แต่พวกเราไม่รู้จักกัน!” น้ำเสียงของฉืออี้หย่วนเต็มไปด้วยความเย็นชา
แต่เสี่ยวรุ่ยยังยืนกรานจะพูดเรื่องนู้นเรื่องนี้ให้อีกฝ่ายได้ฟัง
เด็กหนุ่มรำคาญมาก เขากวาดสายตาไปรอบ ๆ เพื่อมองหาเสี่ยวเถียน
เขาไม่มีประสบการณ์ด้านจัดการเด็กสาวที่ดื้อรั้นและเอาแต่ใจ จึงต้องการให้เสี่ยวเถียนออกหน้าจัดการเรื่องนี้ให้ตนเอง
พี่ชายบ้านซูรวมถึงฉืออี้หย่วนกลายเป็นคนที่เคยตัวไปแล้วกับการที่เมื่อพวกเขาเจอผู้หญิงจะให้น้องมาออกหน้าแก้ปัญหาให้
แต่เพราะเสี่ยวเถียนไม่อยากเจอเสี่ยวหรุ่ยเหมือนกัน จึงหนีไปซ่อนตัวที่หลังครัวก่อนใครเพื่อน แบบนี้จะหาเจอได้อย่างไร
“งั้นนายบอกชื่อให้ฉันรู้หน่อยได้ไหม? บางทีเราอาจจะได้เป็นเพื่อนร่วมชั้นกันในอนาคตก็ได้นะ!” เสี่ยวหรุ่ยยังคงตอแยต่อ
“ฉันเป็นเพื่อนร่วมชั้นของเธอไม่ได้หรอก!”
ฉืออี้หย่วนรู้มาตั้งนานแล้วว่าเด็กแปลก ๆ คนนี้สอบห้องเดียวกับเสี่ยวเถียน ส่วนเขาสมัครเข้ามัธยมปลายปีสอง
“ถึงจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นไม่ได้ แต่เป็นเพื่อนในโรงเรียนเดียวกันไม่ได้หรือ?”
ต้องบอกว่าเสี่ยวหรุ่ยยังมีข้อดีอยู่บ้าง อย่างน้อยก็พูดเองตัดสินใจเอง คนอื่นเทียบไม่ติดเลย
ฉืออี้หย่วนคิดแต่จะหลบหนี แต่เสี่ยวหรุ่ยขวางทางเอาไว้ การจะหนีเธอไปได้ มีหนทางเดียวเท่านั้นคือเขาจะต้องผลักเธอออกไป
แต่ในฐานะเด็กผู้ชาย เขาผลักผู้หญิงไม่ได้
ในตอนที่กำลังตกที่นั่งลำบาก จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเย็นชาของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น
“เสี่ยวหรุ่ย!”
ฉืออี้หย่วนเงยหน้าขึ้นก็พบว่าเป็นหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง ใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับเสี่ยวหรุ่ยหลายส่วน
“คุณแม่!” เสี่ยวหรุ่ยรีบเอ่ย
“ลูกยังมีกฎระเบียบบ้างไหม?” วาจาของแม่ของเสี่ยวหรุ่ยดูรุนแรงมาก
เสี่ยวหรุ่ยสะดุ้งโหยงทันที
“คุณแม่คะ หนู… หนูแค่เจอเพื่อนร่วมห้อง…” เสี่ยวหรุ่ยไม่เคยกลัวบิดาผู้ให้กำเนิด แต่กลับกลัวมารดาผู้เข้มงวดคนนี้มาก
“เพื่อนร่วมห้อง?” ผู้เป็นมารดามองฉืออี้หย่วนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แล้วเอ่ยเสียงเย็นออกมาอย่างเหยียดหยาม
เห็นกันจะ ๆ ว่าช่วยงานร้านอาหาร พ่อลูกคู่นี้ไม่รู้เอาแต่มองอะไรอยู่ถึงได้คิดว่าคนแบบนี้เป็นเด็กนักเรียนจริง ๆ
ต้องบอกว่าท่าทางของฉืออี้หย่วนดูไม่เหมือนนักเรียนจริง ๆ
เพราะเขาไม่ได้ไปโรงเรียนมาหลายปีแล้ว อีกทั้งนิสัยใจคอยังแตกต่างไปจากนักเรียน เขามีนิสัยออกไปทางชนบทเสียมากกว่า
ไม่น่าแปลกใจที่แม่เสี่ยวหรุ่ยรู้สึกโดยจิตใต้สำนึกว่า ฉืออี้หย่วนไม่ใช่นักเรียนอีกต่อไป
“ขอทางด้วยครับ ผมยังมีงานต้องทำ!” เด็กหนุ่มเมินพวกเขาทั้งสาม และเอ่ยขอทางตรง ๆ
ผู้เป็นแม่เอ่ยกับลูกสาวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นี่ลูกรู้จักที่จะโกหกแล้วหรือ? เพื่อนร่วมชั้น? เป็นเพื่อนร่วมชั้นจริง ๆ หรือ?”
“คุณแม่ มันเป็นเรื่องจริงนะคะ พวกเราสอบที่โรงเรียนมัธยมอันดับเจ็ดด้วยกันค่ะ!” เสี่ยวหรุ่ยรีบอธิบายด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
ทว่าแค่ประโยคเดียว แม่ของเสี่ยวหรุ่ยยิ่งสัมผัสได้ว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง
แค่สอบด้วยกันก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นแล้ว? ไอ้หนุ่มไร้การศึกษาอาจจะสมัครสอบก็จริง แต่มันไม่มีทางสอบผ่านหรอก!
ในมุมมองเธอคือ ฉืออี้หย่วนเป็นคนที่สอบตก
“เสี่ยวหรุ่ย ลูกเป็นลูกสาวตระกูลโจวของพวกเรา ลูกต้องรู้ว่าสถานะตนเองมีค่าแค่ไหน จะมาทำทีรู้จักกับใครสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้ไม่ได้!”
เธอเอ่ยอย่างไร้ความปรานี โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำเสียงพวกนั้นคงจะทำให้คนฟังรู้สึกไม่ดีอย่างมาก
ฉืออี้หย่วนไม่มีความคิดที่จะอยู่ตรงนี้อีกต่อไป ในตอนที่เสี่ยวหรุ่ยขยับออกไปเพียงนิดเดียว เขาก็มุ่งตรงเข้าไปในครัว
พอเห็นเด็กหนุ่มจากไป แม่เสี่ยวหรุ่ยก็มั่นใจในสิ่งที่ตนเองคิดมากกว่าเดิม
เขาคือคนงานที่ช่วยอยู่ในร้านอาหาร ไม่รู้ว่าเป็นพนักงานหรือเด็กฝึกงานกันแน่
สรุปแล้วไม่ใช่คนเหมาะสมที่จะมาเป็นเพื่อนกับบ้านเราด้วย
“นาย เดี๋ยวก่อน…” เสี่ยวหรุ่ยยังไม่ทันพูดจบก็โดนมารดาห้ามปรามด้วยสายตาเย็นชา!
“กลับเดี๋ยวนี้!” หญิงวัยกลางคนตัดสินใจไม่กินข้าวและต้องการกลับบ้านลูกเดียว
แต่เสี่ยวหรุ่ยไม่เต็มใจ ทว่าจะไปทำอะไรได้?
ที่บ้านของเรา แม่พูดคำไหนคำนั้นเสมอ แม้แต่พ่อก็ยังต้องเชื่อฟังแม่ นับประสาอะไรกับเธอล่ะ
ถึงจะไม่เต็มใจ แต่ก็ทำได้เพียงหันหลังกลับและเดินจากไปเท่านั้น
ตอนที่ฉืออี้หย่วนเข้าครัวมาก็เห็นเสี่ยวเถียน เขาอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปยีผมเธอ
สาวน้อยคนนี้ฉลาดจริง ๆ แอบมาซ่อนตัวอยู่ตั้งนาน
เขาตัดสินใจว่า ถ้าเขาเห็นผู้หญิงสติไม่ค่อยดีคนนั้นอีก เขาจะมาซ่อนด้วย
“โอ๊ยพี่อี้หย่วน ผมหนูยุ่งหมดแล้วเนี่ย!” เสี่ยวเถียนพึมพำ
“เธอมาแอบอยู่ตรงนี้นี่เอง เห็นคนสมองพังแล้วไม่บอกพี่สักคำเลยนะ น่าอายจริง ๆ!” ฉืออี้หย่วนยีผมเด็กหญิงตัวน้อยอีกครั้ง
เสี่ยวเถียนหัวเราะคิกคักแล้วจ้องใบหน้านั้น ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มพึงพอใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
“เด็กคนนี้ ยังจะหัวเราะอยู่อีก!”
“พี่อี้หย่วน ผู้หญิงคนนั้นหลงใหลความเป็นชายของพี่!” เสี่ยวเถียนเอ่ยออกมาตรง ๆ และตอนนั้นเธอไม่ได้คิดอะไรด้วย
ฉืออี้หย่วนตกใจมากกับประโยคที่ว่า หลงใหลความเป็นของเขา
คำพูดจานี้มันคืออะไรกันเนี่ย
เขาจ้องมองเสี่ยวเถียนด้วยแววตาอันตราย
“สาวน้อย อย่าพูดจาน่าเกลียดแบบนี้อีกนะ!”
จากนั้นเสี่ยวเถียนก็ตระหนักได้ว่าตนเองได้เอ่ยคำพูดที่สะเทือนเลือนลั่นอะไรออกมา
เธอพูดแบบนั้นออกไปได้อย่างไรกันเนี่ย
ก่อนจะรีบเอ่ยทันที “หนูแค่พลั้งปากค่ะ ไม่มีความหมายอื่น พี่อี้หย่วนไม่ต้องคิดมากนะคะ!”
แล้วก็พูดต่อ “แต่เธอชอบพี่จริง ๆ นะ!”
ความชอบบนใบหน้าปิดไม่มิดเลย แถมยังเห็นมากกว่าหนึ่งครั้งด้วย ไม่รู้ว่าทำไมถึงชอบ
ฉืออี้หย่วนไม่คิดว่าเด็กในวัยเดียวกับเสี่ยวเถียนจะรู้จักว่าการชอบใครสักคนมันคืออะไร
แต่เด็กตรงหน้ากลับพูดคำว่าชอบเขาออกมาสองคำ แบบนี้มันไม่ถูกต้องนะ!
“อย่าพูดแบบนี้อีกนะ ไม่งั้น…”
เขาไม่ได้เอ่ยคำขู่ออกมา และก็ไม่รู้ด้วยว่าถ้าเสี่ยวเถียนพูดจาไร้สาระอีก เขาจะลงโทษเธออย่างไรดี
แต่เจ้าตัวกลับแลบลิ้นปลิ้นตาและวิ่งหนีไปแล้ว!
ตอนออกมาจากในครัว เธอไม่เจอครอบครัวเสี่ยวหรุ่ยแล้ว
เธอยังมองไปทุกซอกทุกมุมของร้านอาหาร ก่อนจะแน่ใจว่าพวกเขาไปแล้วจริง ๆ
เกิดอะไรขึ้น? มากินข้าวไม่ใช่หรือ ทำไมไม่กินก่อนแล้วค่อยไปล่ะ?
หรือพี่อี้หย่วนจะพูดอะไรที่ทำให้เสี่ยวหรุ่ยไม่พอใจล่ะ?
ไม่ได้การแล้ว กลับไปต้องบอกพี่เขาแล้วว่าคนที่เข้าร้านมาคือแขกนะ เราจะปฏิเสธเขาไม่ได้