เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ - บทที่ 367 บะหมี่พี่สะใภ้
บทที่ 367 บะหมี่พี่สะใภ้
บทที่ 367 บะหมี่พี่สะใภ้
คุณปู่ซูส่ายหัว “ไม่ใช่หรอก ครอบครัวเรามาจากตะวันตกเฉียงเหนือน่ะ!”
“งั้นแม่ครัวมาจากหูหนานหรือครับ?” ผู้อำนวยการหลี่ถามต่อ
คุณปู่ซูส่ายหัวอีกครั้ง “ร้านเราไม่มีคนทำอาหารจากข้างนอกหรอก มีแต่คนบ้านเราทั้งนั้นแหละ”
ได้ยินแบบนี้ ผู้อำนวยการหลี่ก็สับสนมาก จะเป็นไปได้อย่างไร? คนตะวันตกเฉียงเหนือทำอาหารหูหนานแท้ ๆ เนี่ยนะ?
ไม่น่าจะเป็นไปได้นะ
“ผู้อำนวยการหลี่คะ ที่จริงทำไมถึงต้องยึดติดกับคนทำอาหารด้วยล่ะคะว่าเป็นคนจากที่ไหน คุณรู้แค่ว่าอาหารจานนี้ถูกใจคุณแค่นั้นก็พอแล้วนี่นา?”
เสี่ยวเถียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม และอีกฝ่ายก็ตระหนักขึ้นได้
เขาเชื่อแล้วล่ะ
ทำไมต้องหาว่าคนทำอาหารเป็นคนที่ไหนด้วยล่ะ?
ถึงจะเป็นคนหูหนาน แต่จะทำอาหารหูหนานแบบแท้ ๆ ได้เชียวหรือ?
ก็ไม่ใช่
“หลังจากนี้ต้องมาฝากท้องไว้ที่บ้านพวกคุณแล้วล่ะ!” ผู้อำนวยการหลี่ว่า
เสี่ยวเถียนไม่คิดว่าแค่เลี้ยงอาหารเป็นการขอบคุณทำได้ผลแบบนี้เลย
“ยินดีต้อนรับ ๆ! ผู้อำนวยการหลี่ไม่พอใจตรงไหนบอกเราได้เลยนะ เราจะแก้ไขให้ได้เอง!”
คุณปู่ซูดีใจมากที่ได้ยินว่าจะมีลูกค้าประจำ
เสี่ยวเถียนพูดไว้ตั้งนานแล้วว่าลูกค้าขาประจำเป็นสิ่งสำคัญมากในการทำให้ธุรกิจร้านอาหารดำเนินต่อไปได้ดี
และเขาไม่รู้เลยว่าเมื่อไรคนพวกนั้นจะเป็นลูกค้าประจำของเรา
ผู้อำนวยการหลี่ไม่พูดพร่ำทำเพลงอีก แล้วเริ่มกินหัวปลาราดพริกอย่างรวดเร็วราวกับว่าจะเสียเปรียบถ้าตนกินช้าอย่างไรอย่างนั้น
ครูอวี่สับสนมาก หัวปลาราดพริกอร่อยกว่าหมูตุ๋นเชียวหรือ?
ในตอนที่คิด เขาก็ยื่นตะเกียบออกไปแล้ว
ในตอนที่ถือตะเกียบเอาไว้ ผู้อำนวยการหลี่ก็ลากหัวปลาราดพริกมาทางเขาโดยไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์ของตนเองเลย
และขณะเดียวกันนั้นสายตาก็จดจ้องไปที่ครูอวี่ ท่าทางไม่ต่างไปจากลูกสุนัขที่ปกป้องอาหารเลย
ครูอวี่พูดไม่ออก แล้วแบกท่าทางอยากจะลองชิมอาหารด้วยการคีบเนื้อปลาเข้าปากเพื่อลองชิม
หลังจากกินเข้าไปคำหนึ่ง ครูอวี่ก็มองอาหารจานตรงหน้าผู้อำนวยการด้วยสายตาคลุมเครือ
ผู้อำนวยการหลี่เห็นและคิดเพียงว่าครูอวี่คิดจะแย่งหัวปลาไปเขาจึงเพิ่มความเร็วในการคีบอาหารให้ไวขึ้น!
ส่วนครูอวี่นั่น หลังจากที่เขามองก็กลับไปก้มหน้าก้มตากินหมูตุ๋นน้ำแดงต่อ
เขาเทน้ำลงบนข้าวแล้วคนให้เข้ากัน สีของข้าวเปลี่ยนไปในทันที น้ำมันใสแจ๋ว กลิ่นซอสหอมเข้มข้น กลิ่นหอม ๆ ของข้าวสวยผสมสานกับกลิ่นหอมของหมูตุ๋นน้ำแดงทำให้ครูอวี่รู้สึกอยากอาหาร
เขาตักเนื้อและข้าวคำโต และคิดว่านี่เป็นสิ่งที่มีความสุขที่สุดในชีวิตเลย!
ทั้งยังคิดไปด้วยว่าปลาจานนั้นมันมีอะไรให้อร่อยน่ะ? ไม่มีน้ำมันสักนิด เทียบไม่ได้กับรสชาติเข้มข้นของซอสหมูตุ๋นหรอก
ส่วนฝั่งผู้อำนวยการหลี่ไม่รู้ว่าครูอวี่กำลังคิดอะไรอยู่
เขากินเอา ๆ กินจนปลาราดพริกหมดจาน ไม่เหลืออะไรเลย
ผู้อำนวยการหลี่กินไวมากจนแทบจะกินลิ้นตัวเองเข้าไปแล้ว
ก็มันอร่อยมากเลยนี่!
หลังจากกินข้าวเสร็จ เขาก็เอนหลังพิงเก้าอี้อย่างพึงพอใจ
“ผู้อำนวยการหลี่ อาหารถูกปากไหมครับ?” คุณปู่ซูถาม
เพราะเขาเป็นผู้นำนะ แน่นอนว่าต้องเคยกินอาหารดี ๆ มาไม่น้อยอยู่แล้ว จึงเป็นการดีที่จะถาม
“ดีเลยครับ มันอร่อยมากจริง ๆ คุณซู หัวปลาราดพริกของบ้านคุณของแท้ชัด ๆ เลย”
หรือคนบ้านนี้จะเคยเป็นศิษย์ปรมาจารย์ด้านอาหารหูหนานมาก่อน เลยทำรสชาติแท้ ๆ ของมันได้
คุณปู่ซูโล่งใจมาก
ตอนนั้นเองที่เสี่ยวลิ่วเดินมาพร้อมกับจานอีกใบหนึ่ง
ในจานมีบะหมี่หกถ้วย เป็นบะหมี่เส้นยาวซึ่งเป็นอาหารพิเศษของทางตะวันตกเฉียงเหนือ หรือจะเรียกว่าบะหมี่พี่สะใภ้*[1] ก็ได้
ถึงผู้อำนวยการหลี่จะกินอิ่มแล้ว แต่พอได้กลิ่นเปรี้ยวของบะหมี่ถ้วยนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายอีกครั้ง
เขาจะไม่ยอมรับเด็ดขาดว่าตัวเองตะกละ
สาเหตุหลักเพราะกลิ่นน้ำซุปเปรี้ยวพวกนั้นนั่นแหละที่ชวนให้น้ำลายสอได้ง่าย
ใช่ มันต้องเป็นแบบนี้แน่
เสี่ยวเถียนเห็นการกระทำของอีกฝ่ายแล้ว แล้วรู้ด้วยว่าเจ้าตัวเป็นนักชิมตัวยง ไม่มีทางอิ่มหรอก
ก่อนหน้านี้ยังบอกว่าอยากเจอปู่ฉืออยู่เลย ไหงตอนนี้ลืมความตั้งใจเดิมกลายเป็นคนตะกละไปเสียแล้ว
“ผู้อำนวยการหลี่ครับ นี่คือรสชาติของบ้านเกิดของเราเอง เด็ก ๆ ชอบมันมาก ผมไม่รู้ว่าชินกับรสชาติหรือเปล่า”
คุณปู่ซูเฝ้ามองผู้คนมาทั้งชีวิต และมีสายตาอันหลักแหลม มีหรือที่จะมองไม่ออกถึงสิ่งที่ผู้อำนวยการแสดงออกมา ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ผู้อำนวยการมองบะหมี่ที่เสี่ยวลิ่ววางไว้โต๊ะข้าง ๆ
น้ำซุปสีน้ำตาลอ่อน บะหมี่เส้นเล็ก ต้นหอมสับ ไข่สับสีทอง เต้าหู้ก้อนสีขาว และเนื้อผัดกลิ่นหอมฉุย การผสมผสานของวัตถุดิบพวกนี้ทั้งเรียบง่ายและบริสุทธิ์ แต่รสชาติมันไม่เรียบง่ายเช่นนั้น
อย่างน้อยผู้อำนวยการหลี่ก็รู้สึกว่าตนไม่ได้กินบะหมี่น่าอร่อยแบบนี้มาหลายปีแล้ว
“ผู้อำนวยการหลี่ บะหมี่ถ้วยนี้มีไม่เยอะนะ ไม่งั้นลองชิมสักถ้วยไหม?” คุณปู่ซูรีบถาม
“งั้นผมลองชิมสักถ้วยแล้วกันครับ บะหมี่แบบนี้ผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลย” ผู้อำนวยการหลี่ตอบอย่างไม่เกรงใจ
เสี่ยวลิ่วรีบวางถ้วยไว้ตรงหน้าอีกฝ่าย และอีกถ้วยเอามาไว้ตรงหน้าครูอวี่
“จะกินบะหมี่เส้นยาวต้องมีผักดองนะ” คุณปู่ซูยิ้มและสั่งให้หลานชายเอาผักดองจานเล็กมาเสิร์ฟที่โต๊ะ
บะหมี่อันเรียบง่ายและแสนละเอียดอ่อนถูกเสิร์ฟลงบนโต๊ะ มันดูเพลินตาอย่างน่าประหลาด
ผู้อำนวยการหลี่หยิบถ้วยขึ้นมาแล้วจับตะเกียบ “เส้นบะหมี่เหนียวนุ่มดีจัง!”
เสี่ยวเถียนยิ้ม “มันคือบะหมี่ที่ม้วนทำมือของบ้านเกิดเราเองค่ะ คุณย่าหนูเป็นคนทำ”
“ทั้งม้วนทั้งตัดเองเลยหรือ?” ผู้อำนวยการหลี่ถามด้วยความประหลาดใจ
ฝีมือสุดยอดจริง ๆ นะ
การตัดเส้นบะหมี่ฝีมือระดับพ่อครัวเลย
และจู่ ๆ ผู้อำนวยการหลี่ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคนตระกูลซูถึงกล้าเดินทางจากตะวันตกเฉียงเหนือมาเปิดร้านที่เมืองหลวง
ทักษะการทำอาหารของบ้านนี้ดีจริง ๆ เดาว่าหลังจากมาถึงได้ไม่นานก็เปิดร้านเลยสินะ!
“ผู้อำนวยการหลี่ลองชิมดูสิ ถ้าชอบก็มากินบ่อย ๆ นะ” คุณปู่ซูพูดอย่างสุภาพ
เขาเป็นผู้อำนวยการนะ คนใหญ่คนโตเลย พวกเด็ก ๆ ที่ไปโรงเรียนเนี่ยอย่าไปทำให้เขาขุ่นเคืองเชียว!
ผู้อำนวยการหลี่กินอย่างมีมารยาท ส่วนครูอวี่ไม่เป็นเช่นนั้น เขากินมันอย่างรวดเร็วเลย
เส้นบะหมี่เหนียวนุ่มจริง ๆ ซุปรสเปรี้ยวก็อร่อยมาก เดิมทีเขาไม่ใช่คนกินรสเปรี้ยว แต่ยังคิดเลยว่ารสชาตินี้มันอร่อยจริง ๆ นะ
“ครูอวี่ รับอีกชามไหมครับ?”
ครูอวี่มองถ้วยแล้วเอามือกุมท้อง เขาอิ่มมากเลย กินต่อไปไม่ไหวแล้ว เขาเริ่มเสียใจขึ้นมา ถ้ารู้ว่ายังมีบะหมี่อีกคงไม่กินข้าวถึงสองชามหรอก
“ไม่กินแล้วครับ ไว้กลับมารอบหน้านะครับ”
อาหารคนอื่น แต่เขาเป็นคนกิน ในที่สุดครูอวี่ก็สกัดกลั้นความตะกละเอาไว้ได้ ส่วนผู้อำนวยการหลี่กินชามเดียวก็อิ่มแล้ว
ชายกินอิ่มทั้งสองมีความเข้าใจต่อคนบ้านนี้ใหม่หมดเลย
ก่อนหน้านี้คิดว่าบ้านนี้พึ่งพาอาจารย์ฉือมาใช้ชีวิตในเมืองเสียอีก ทว่าตอนนี้เราเปลี่ยนความคิดใหม่โดยสิ้นเชิง
เป็นบ้านที่มีความสามารถที่แท้จริง ครอบครัวเขาจะตั้งหลักอย่างมั่นคงในเมืองหลวงได้ในไม่ช้าอย่างแน่นอน
*[1] บะหมี่พี่สะใภ้ คือ บะหมี่ที่คลุกกับน้ำขลุกขลิกปรุงรส (เป็นน้ำที่นำเนื้อหมูไปผัดและคลุกเคล้าเครื่องปรุงต่าง ๆ โดยเน้นรสชาติน้ำส้มสายชูและน้ำพริกพื้นเมือง) ซึ่งมีทั้งแบบน้ำ (น้ำซุปข้นสีเข้ม) และแบบแห้ง โดยจะเน้นรสชาติเปรี้ยวและเผ็ด
บะหมี่พี่สะใภ้มีที่มาของชื่อคือ ครอบครัวหนึ่งมีพี่สะใภ้ที่ทำอาหารเก่งมาก น้องชายของสามีจึงชอบกลับบ้านมากินอาหารฝีมือพี่สะใภ้อยู่บ่อย ๆ จึงเรียกกันว่าบะหมี่พี่สะใภ้ ซึ่งคำว่าพี่สะใภ้ 嫂子 (เส่าจื่อ) คนออกเสียงเพี้ยนจนมาเป็น 臊子 (เส้าจื่อ) ที่หมายถึงเนื้อสับผัด